บทที่ 153 : ตั้งคำถาม
เมื่อซิ่งเฉินถูกจับ ภารกิจก็สิ้นสุดลง
จากนั้น พวกเขาจึงเริ่มสอบสวนอีกฝ่าย ใบหน้าของหัวหน้าตระกูลซิ่งขาวซีดและอยู่ในห้วงลมหายใจสุดท้าย เขามองไปทางจ้าวเฟิงอย่างหวาดกลัว
หลังจากหลบหนีออกจากถ้ำได้อย่างโชคดี ซิ่งเฉินก็ได้ใช้ความคุ้นเคยกับพื้นที่ให้เป็นประโยชน์และพบกับที่พักลับในไม่ช้า เขามั่นใจว่ามีเพียงแค่ที่รู้ถึงที่ซ่อนนี้ นอกจากนั้นมันยังมีกับดักและกลไกอีกจำนวนมากที่นี่ ดังนั้นแล้ว แม้ว่าจะมีผู้อื่นติดตาม เขาก็จะรู้ตัวอยู่ดี
ทว่า กับดักและกลไกเหล่านี้นั้นราวกับธาตุอากาศเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มผมครามตาเดียวผู้นั้น จ้าวเฟิงไม่ได้แตะโดนกับดักใดๆ ยามที่เขาเข้าไปยังที่ซ่อนลับ ซิ่งเฉินพลันโจมตีทันทีที่เขาเห็นจ้าวเฟิง เขาคิดว่าด้วยพลังฝึกตนนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณของเขา เขาคงต้องการเพียงหนึ่งกระบวนท่าเพื่อจัดการอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส
ทว่ามันไม่ได้เป็นไปเช่นที่เขาวางแผน แทนที่จะจัดการอีกฝ่ายได้ในไม่กี่กระบวนท่า เขากลับถูกจับได้โดยเด็กหนุ่มผมครามในไม่กี่กระบวนท่าแทน
เมื่อคิดว่าเขาถูกจับเป็นได้โดยเด็กหนุ่มผู้หนึ่งในนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ซิ่งเฉินก็ยังคงเต็มไปด้วยความตะลึงและหวาดกลัว ภายใต้การสอบสวนของทั้งสี่ เขาได้เอ่ยตอบทุกสิ่ง
มันเริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ในตอนนั้น เขายังคงเยือกเย็นเช่นเคยและยังคงอยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ในวันหนึ่ง ซิ่งเฉินได้ไล่ล่าสัตว์อสูรระดับสุดยอดไปและพบกับค่ายกลมายาของลัทธิมารจันทราชาด
เขามีความชำนาญในเรื่องของค่ายกล ดังนั้นหลังจากใช้เวลาไปอย่างยาวนาน เขาจึงได้ผ่านค่ายกลนั้นไปโดยช่องว่างของมัน
“… ข้าตื่นเต้นและยินดีอย่างมากยามที่ข้าเข้าไปในถ้ำ ทว่าข้าได้พบกับผู้คุ้มครองแห่งลัทธิมารจันทราชาด ในตอนนั้น ผู้คุ้มครองอ่อนแอนักเพราะเขาเพิ่งจะฟื้นตื่นและไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ทว่ามันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ได้ใช้สมบัติในการล่อลวงข้า”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ซิ่งเฉินก็ถอนหายใจ เต็มไปด้วยความเสียใจ
จ้าวเฟิงสามารถคาดเดาได้ว่าเรื่องราวที่เหลือเป็นเช่นไร
ซิ่งเฉินได้ถูกพิษศพโดยบังเอิญและถูกข่มขู่โดยผู้คุ้มครองตำหนักรองศพโลหิต
หลังจากนั้น หัวหน้าตระกูลซิ่งจึงเชื่อฟังคำสั่งของผู้คุ้มครองเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดและเพิ่มพลังฝึกตนของตนเอง
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หัวหน้าตระกูลซิ่งก็ได้เข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และเขาต้องการที่จะเข้าร่วมลัทธิมารจันทราชาด
“โรคติดต่อมาจากที่ใด และมันต้องการอันใด?” ซู่เหรินเอ่ยถามอย่างเคลือบแคลง
ซิ่งเฉินเต็มไปด้วยความข่มขื่น
“โรคติดต่อนั้นถูกแพร่เช่นที่ท่านผู้คุ้มครองสั่งและมีเป้าหมายในการสร้างยาแก่นโลหิต เช่นเดียวกับยาหยกโลหิต ในเวลาเดียวกัน โรคติดต่อสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยาหยกโลหิตจะถูกสร้างขึ้น จากนั้นอาการบาดเจ็บของท่านผู้คุ้มครองจะถูกฟื้นฟูไปเล็กน้อย และจะกลับไปมีพลังฝึกตนในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ในตอนนั้น เราจะออกจากถ้ำและหาคลังสมบัติอื่นของลัทธิมารจันทราชาด…”
เมื่อรู้ความจริง ทั้งสี่ก็เริ่มเหงื่อไหลโชก ภารกิจนี้เป็นเพียงเหยื่อล่อศิษย์ของสำนัก ภารกิจนี้นับว่าเป็นภารกิจระดับสี่ดาวเป็นอย่างน้อย เป็นบางสิ่งที่หยวนจื่อและกวานเฉินไม่ได้คาดไว้เช่นกัน
จ้าวเฟิงวิเคราะห์ว่าบางส่วนของข้อมูลและรายงานนั้นได้ถูกปกปิดไว้
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาที่นี่ ได้มีผู้ฝึกตนหลายคนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณที่มาที่นี่ แต่พวกเขากลับหายไปอย่างลึกลับและกลายเป็นยาแก่นโลหิตไป
อันตรายที่แท้จริงที่ข้องเกี่ยวนั้นเหนือกว่าที่จินตนาการ และมันสามารถถูกจัดให้เป็นภารกิจระดับสามดาวได้เป็นอย่างน้อย
หยวนจื่อและกวานเฉินปกปิดเรื่องนี้และใช้หวงอวิ๋นร่วมกลุ่มกับซู่เหริน เซี่ยวซุน จ้าวเฟิง และหลินฟ่าน
มันอาจจินตนาการได้เลยว่าหวงอิว๋น ซู่เหริน และเซี่ยวซุนจะสามารถกดขี่จ้าวเฟิงได้ในภารกิจ หวงอวิ๋นเชื่อฟังหยวนจื่อและเป้าหมายของเขาคือการจัดการจ้าวเฟิง หลินฟ่านนั้นโชคร้ายยิ่งนักและถูกส่งออกมาในภารกิจนี้เช่นกัน
ไม่มีผู้ใดโง่เขลาที่นี่ และเมื่อรู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น ความจริงก็เริ่มที่จะเปิดเผย
สิ่งที่โชคดีคือจ้าวเฟิงได้ทำการพลิกโต๊ะและช่วยเหลือทุกคนไว้ได้
“หลินฟ่านกับเซี่ยวซุน พวกเจ้าสองคนกลับไปยังเทือกเขานภาจันทร์และบอกระดับสูงของสำนักเกี่ยวกับทุกสิ่ง ข้าจะอยู่ที่นี่กับศิษย์น้องจ้าวเพื่อคุ้มกันสถานที่นี้กับนักโทษไว้” รองหัวหน้ากลุ่มซู่เหรินเอ่ย
มันถูกตัดสินใจโดยเขากับจ้าวเฟิง
หลังจากหวงอวิ๋นตาย เด็กหนุ่มผมครามก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม และทุกคนได้มีความซาบซึ้งต่อเขา เพราะพลังของหลินฟ่านและเซี่ยวซุนนั้นด้อยกว่า พวกเขาจึงถูกส่งกลับไปยังสำนักจันทร์สลาย เมื่อจ้าวเฟิงและซู่เหรินแข็งแกร่งกว่า ทั้งสองจึงควบคุมตัวนักโทษและคุ้มกันคลังสมบัติไว้
ในยามนี้ จ้าวเฟิงและซู่เหรินได้สำรวจทุกซอกทุกมุมของถ้ำ พวกเขาพบทรัพยากรจำนวนมากรวมทั้งผลึกเริ่มต้น
“ผลึกเริ่มต้นระดับต่ำทั้งหมด 23 ผลึก ทรัพยากร 98 อัน ดาบชั้นมนุษย์ที่แตกหักอีกราวๆ 100…”
จ้าวเฟิงและซู่เหรินได้แบ่งแยกสิ่งของที่ยึดได้ไว้เป็นหมวดหมู่
ผลึกเริ่มต้นนั้นล้วนเป็นระดับต่ำ และทุกๆ ผลึกมีค่าเทียบเท่ากับผลึกเริ่มต้นจำลอง 100 ผลึก
ผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ 23 ผลึกหมายถึงผลึกเริ่มต้นจำลอง 2300 ผลึก เพียงแค่นั้นก็เหนือกว่ารางวัลที่สำนักจะมอบให้พวกเขา
ทรัพยากรและอาวุธชั้นมนุษย์ที่เหลือล้วนล้ำค่าและนับรวมกันได้เป็นผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ 100 ผลึกซึ่งเทียบเท่ากับผลึกเริ่มต้นจำลอง 10,000 ผลึก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ศิษย์น้องจ้าว เรารวยแล้ว!”
ซู่เหรินยินดีอย่างมาก
ของที่พวกเขายึดได้นั้นนับว่ามากมายอย่างมากสำหรับทั้งสี่ ทุกคนควรจะรู้ว่าศิษย์สายในธรรมดาจะได้รับผลึกเริ่มต้นจำลองเพียง 10 ผลึก และตามกฎนั้น ของที่ยึดได้จะถูกแบ่งกันในกลุ่ม
แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม จ้าวเฟิงก็ประมาณได้ว่าเขาจะได้รับผลึกเริ่มต้นระดับต่ำอย่างน้อย 30 ผลึก พวกมันเต็มไปด้วยพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งนับเป็นสิ่งดีสำหรับการฝึกตน
สำหรับของที่พวกเขายึดได้นี้ จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก สิ่งเดียวที่เขารู้สึกว่าสร้างปัญหาคือดาบสีโลหิตที่แตกหักนั้น
ราคาของอาวุธชั้นจิตวิญญาณไม่อาจประเมินได้ และมันยังถูกให้ความสำคัญอย่างมากจากสำนัก
ดาบสีโลหิตที่แตกหักไร้ประโยชน์ในมือเขา ในทางกลับกัน มันจะสร้างปัญหาให้เขาเพียงเท่านั้น
เด็กหนุ่มกำลังคิดหาวิธีการที่จะได้รับประโยชน์จากดาบสีโลหิตที่แตกหักนี้ให้ได้มากที่สุด
ไม่กี่วันต่อมา หลินฟ่านและเซี่ยวซุนก็ได้กลับไปยังสำนักพร้อมบอกทุกสิ่งเกี่ยวกับคลังสมบัติของลัทธิมารจันทราชาด
ข่าวนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งสำนัก
ลัทธิมารจันทราชาดเป็นขั้วอำนาจใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และทุกๆ กองกำลังได้หวาดกลัวลัทธินี้ สำนักจันทร์สลายนั้นเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ในทวีปนี้และเป็นเพียงมดปลวกเบื้องหน้าสำนักที่แท้จริง
บัดนี้ คลังสมบัติของลัทธิมารจันทราชาดได้ปรากฏขึ้นในชายขอบอาณาเขตของพวกเขา หลังจากได้ยินข่าว ผู้อาวุโสหลายคนก็ได้นำกลุ่มศิษย์ยอดฝีมือมุ่งตรงไปยังตระกูลซิ่ง
จ้าวเฟิงและซู่เหรินได้เฝ้าถ้ำมารจันทราชาดเป็นเวลา 4-5 วันโดยที่ไม่ได้สิ่งใดเกิดขึ้น ในค่ำคืนสุดท้าย คนจากสำนักจันทร์สลายจึงได้มาถึง
จากระยะไกลๆ นั้น จ้าวเฟิงได้รับรู้ถึงพลังจิตที่น่าสะพรึงสามกลิ่นอายเข้าใกล้มา
“คารวะผู้อาวุโส!”
จ้าวเฟิงและซู่เหรินพลันค้อมคำนับในทันที เพราะทั้งสามล้วนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ผู้ที่อยู่ใจกลางนั้นเป็นชายชราที่ดูราวกับเทพเซียนเมื่อชั้นสายลมสีเขียวได้ล้อมรอบกายของเขาไว้ และบัดนี้ค่อยๆ จางหายไป
ในบรรดาคนทั้งสาม กลิ่นอายของคนผู้นี้แข็งแกร่งที่สุด
เมื่อเห็นคนผู้นี้ หัวใจของซู่เหรินก็กระตุก
“ผะ…ผู้อาวุโสหนึ่ง!”
ผู้อาวุโสหนึ่งนั้นรั้งตำแหน่งที่สูงที่สุดของสำนัก และเขามีอำนาจเกือบจะเทียบเท่าจ้าวสำนัก
ด้านซ้ายของผู้อาวุโสหนึ่งเป็นบุรุษในชุดสีทอง คนผู้นี้ดูคุ้นเคยและจ้าวเฟิงนึกขึ้นได้ในไม่ช้าว่าเขาเป็นผู้อาวุโสเสวี่ยที่ปรากฏตัวขึ้นในการทดสอบพรสวรรค์และอาจารย์ของซุนหยวนเฮา
ด้านขวาของชายชราเป็นบุรุษหล่อเหลาในชุดขาว หลังจากเห็นผู้อาวุโสคนนี้ ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็กระตุก
ผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดของสำนักจันทร์สลาย!
ไฮ่หยุน!
เด็กหนุ่มผมครามสูดลมหายใจลึกและบังคับให้ตนเองเยือกเย็นลง เขาคาดไว้ว่าเขาต้องพบกับไฮ่หยุนในบางวัน แต่มิคาดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้
ผู้อาวุโสหนึ่ง ผู้อาวุโสเสวี่ย ไฮ่หยุน
ผู้อาวุโสทั้งสามได้นำกลุ่มยอดฝีมือมาและมุ่งตรงไปยังถ้ำ ในกลุ่มนั้น จ้าวเฟิงได้เห็นร่างที่คุ้นเคยเช่นหยวนจื่อและกวานเฉิน
“อาจารย์!”
หยวนจื่อและกวานเฉินได้ไปหยุดยังด้านขวาและซ้ายของผู้เป็นอาจารย์
เหล่าศิษย์เริ่มค้นหาอย่างละเอียดไปทั่วพื้นที่โดยที่พื้นที่ค้นหานั้นค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้น
เป้าหมายของพวกเขาคือผู้คุ้มครองตำหนักรองศพโลหิต
ซิ่งเฉินก็ได้ถูกควบคุมตัวและสอบสวนโดยผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสาม เบื้องหน้าผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง หัวหน้าตระกูลซิ่งย่อมไม่กล้าโกหกและเอ่ยความจริงออกไป
จ้าวเฟิง ซู่เหริน เซี่ยวซุน และหลินฟ่านต่างถูกซักถามเมื่อพวกเขาคือผู้ที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้
ในบรรดาพวกเขา จ้าวเฟิงถูกถามมากที่สุด
อย่างแรก เด็กหนุ่มผมครามนั้นเป็นผู้ที่สลายค่ายกล อย่างที่สอง เขาคือผู้ที่เห็นศพโลหิตลายเงินหนีไป อย่างที่สาม ตลอดทั้งเหตุการณ์นั้นได้ถูกเห็นโดยเขา และเป็นเขาเพียงผู้เดียว
นั่นหมายความว่าจ้าวเฟิงได้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นเห็น และเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เห็น โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่ทุกคนสิ้นสติ เหลือเพียงเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับศพโลหิตเพียงผู้เดียว
คำอธิบายของเด็กหนุ่มนั้นคืออาการบาดเจ็บเก่าของศพโลหิตลายเงินได้กำเริบขึ้นและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“จ้าวเฟิง! พลังฝึกตนของเจ้าต่ำที่สุดในกลุ่ม เหตุใดเจ้าจึงได้ทนอยู่เป็นคนสุดท้ายได้? เจ้าป้องกันพิษศพได้อย่างไร? เจ้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างไร?”
หยวนจื่อหัวเราะเสียงเย็นและปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาออกมากดดัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของผู้อาวุโสทั้งสามต่างส่องประกายวาบ
ถูกแล้ว! จ้าวเฟิงนั้นน่าสงสัย!
ภายใต้สายตาของทุกคน เด็กหนุ่มผมสีครามเยือกเย็นยิ่งนัก
“มันง่ายนัก…”