บทที่ 184 : สามคนสุดท้าย
เพี้ยะ เปรี้ยง! เพี้ยะ เปรี้ยง!
จ้าวเฟิงใช้ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาและส่งการโจมตีไปยังค่ายกลบนลิ้นชักครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่มีช่องว่างที่เด่นชัดบนค่ายกลบนลิ้นชักนั้น ทั้งความสามารถในการฟื้นฟูของมันก็ยังเหนือกว่าก่อนหน้า ทว่าไข่สีเทาด้านในลิ้นชักนั้นกลับไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีเหล่านี้แม้แต่น้อย
คราแรก เด็กหนุ่มกลัวว่าเขาจะสร้างความเสียหายให้กับมัน แต่หลังจากสังเกตดูแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าความแข็งของเปลือกไข่นั้นเหนือกว่าที่เขาคาดนัก หากมันเป็นไข่ธรรมดา เพียงเศษเสี้ยวพลังจากฝ่ามือวายุอัสนีของเขาก็คงบดขยี้มันเป็นซากไปแล้ว ทว่ามันคือไข่ที่ยังคงมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะผ่านมาแล้วนับหมื่นปี มันมิอาจธรรมดาได้
มีรูปปั้นน้ำแข็งจำนวนมากปิดกั้นเส้นทางเข้าออก และในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะเข้ามาขัดขวางจ้าวเฟิงได้อีก สิ่งที่คุกคามเขามากที่สุดได้ถูกทำลายโดยเขาแล้ว บัดนี้เขาสามารถทำทุกสิ่งได้ดั่งใจ
ในทั่วทั้งเกาะพรมแดนนภานั้น มีเพียงจ้าวเฟิงที่สะดวกสบายเพียงนี้ ศิษย์ผู้อื่นล้วนวิ่งไปทั่วด้วยสัตว์อสูรโลหะทมิฬที่ไล่ล่า พวกเขาจะมีเวลาทำสิ่งอื่นได้เช่นไร?
ในวันที่สี่ของการไล่ล่าซึ่งเป็นวันที่ 21 ของบททดสอบ มีบางคนที่ไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป ในครานี้ความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นได้เข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ หลินฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์ที่ต่างอยู่ในนภาที่สามต่างถูกพ่นออกไป
ภายใต้สถานการณ์เข้าตาจนนี้ ความสามารถของพวกเขาก็ได้ถูกผลักดันขึ้น ทั้งความเร็วของพวกเขาก็เทียบเท่าได้กับนภาที่สี่ ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเพียงใด ปริมาณพลังงานที่พวกเขาใช้ก็ไม่อาจลดน้อยลงได้
สัตว์อสูรโลหะทมิฬไม่ต้องการการพักผ่อนหรือฟื้นฟู มันเคลื่อนไหวไปด้วยความ ‘เชื่องช้า’ เมื่อความจริงแล้วมันอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และพลังงานที่มันใช้นั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ เหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นสามารถดูดกลืนพลังงานผ่านอากาศเพื่อฟื้นฟูได้ ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณจะสามารถได้รับพลังงานได้จากการฝึกตนเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นเพียงมากมายจนเกินไป
ในวันที่สี่ ทั้งหลิวเยว่เอ๋อร์และหลินฟ่านได้ถูกเตะออกไป
แสงสีเขียวดำได้ครอบคลุมร่างของหลินฟ่านในเสี้ยววินาทีที่เขาถูกโจมตีโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬ ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำเมื่อทั้งโลหิตและปราณแท้ดูราวกับถูกแช่แข็ง
“ขีดจำกัดของข้าคือตรงนี้…” หลินฟ่านปิดเปลือกตาลง
ในความเป็นจริงนั้น มันเป็นเรื่องเหนือคาดสำหรับเขาในการที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ และคะแนนของเขานั้นกระทั่งอยู่ในระดับเกินครึ่งของการทดสอบครั้งก่อน เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ในเสี้ยววินาทีที่เขากำลังจะตาย ร่างร่างหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในศีรษะ มันคือร่างของเด็กหนุ่มผมสีครามที่ยังคงรักษาความเยือกเย็นของตนเองได้ตลอดทั้งบททดสอบ
“ข้าสงสัยนักว่าเขาทำได้อย่างไร…” หลินฟ่านพึมพำกับตนเอง
วิ้งงงง
ตรายอดนภาภายในร่างกายของเขาได้ส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา และในวินาทีต่อมา หลินฟ่านก็ได้หายไปพร้อมกับที่สัตว์อสูรโลหะทมิฬได้จางหายไปเบื้องหลังประตูเช่นกัน
ณ ทางเข้าของตำหนักยอดนภา
หลิวเยว่เอ๋อร์และหลินฟ่านได้เดินออกมาทีล่ะคน
“เยว่เอ๋อร์”
แม่เฒ่าหลิวเยว่มีใบหน้าโล่งอกและยินดียามที่เห็นว่าหลิวเยว่เอ๋อร์ไม่เป็นอันใด ทั้งหลิวเยว์เอ๋อร์และหลินฟ่านต่างมีชีวิตรอดได้ถึง 22 วัน กระทั่งเหนือกว่ากวานเฉิน คะแนนสุดท้ายของหลิวเยว่เอ๋อร์นั้นคือ 178 ในขณะที่กวานเฉินอยู่ที่เพียง 150
“178 นับว่าไม่เลว ใกล้เคียงกับอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งที่แล้ว” แม่เฒ่าหลิวเยว่เอ่ยชม
อย่างไรก็ตาม พลังฝึกตนของหลิวเยว่เอ๋อร์นั้นต่ำ รางวัลของนางใกล้เคียงกับกวานเฉินเพราะพลังฝึกตนของนางต่ำกว่า ทั้งพลังป้องกันก็ไม่ได้มากมายเท่ากับอีกฝ่าย หลินฟ่านมีชีวิตรอดได้นานกว่าหลิวเยว่เอ๋อร์ครึ่งชั่วโมง และเมื่อเขาออกมา พลังฝึกตนของเขาก็ได้เข้าสู่ขั้นปลายของนภาที่สาม
“หลินฟ่าน คะแนนของเจ้าเป็นเท่าใดกัน?” แม่เฒ่าหลิวเยว่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด หลินฟ่านมีสถานะต่ำต้อยที่สุดเมื่อศิษย์ผู้อื่นล้วนมีผู้อาวุโสหนุนหลัง
“326” หลินฟ่านเอ่ยคะแนนของเขาออกมาอย่างระมัดระวัง
อันใดกัน!?
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสแปรเปลี่ยนไป
“326… เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ามิได้ล้อเล่น?”
ผู้อาวุโสไฮ่หยุนจ้องมองไปยังหลินฟ่านพร้อมกับที่กลิ่นอายขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของเขาได้ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจที่จะหายใจ
326!
คะแนนนี้เหนือกว่าอันดับแรกของการทดสอบครั้งก่อนมากนัก กระทั่งอัจฉริยะที่มีชีวิตรอดได้นานกว่าหลินฟ่านยังไม่ได้รับคะแนนมากมายเพียงนี้
“ศิษย์ผู้นี้มิได้โป้ปด มันคือ 326”
หลินฟ่านสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยรายงานว่าเขาได้รับคะแนนจากแต่ล่ะช่วงของการทดสอบเท่าใด
การทดสอบแรก 20 แต้ม
การทดสอบที่สอง 30 แต้ม
การทดสอบที่สาม มีชีวิตรอด 4 วัน 40 แต้ม
คะแนนความสามารถ 236
คะแนนรวม 326
“เหตุใดคะแนนความสามารถของเจ้าจึงได้สูงนัก?” หลิวเยว่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อถือ
คะแนนความสามารถของนางนั้นอยู่ที่ราวๆ 80-90 เท่านั้น นั่นหมายความว่าหลินฟ่านได้คะแนนมากกว่านางมากกว่า 2 เท่า
ทว่าหลินฟ่านได้เอ่ยความจริง คะแนนของเขานั้นสูงกว่าหลิวเยว่เอ๋อร์และกวานเฉินมากนัก
ชายหนุ่มได้รับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูงหนึ่งชิ้นและวิชามนุษย์ระดับสุดยอดหนึ่งวิชา นั่นหมายความว่าเขามีสมบัติมากกว่าหลิวเยว่เอ๋อร์เช่นกัน
“วิชามนุษย์ระดับสุดยอด!”
เหล่าผู้อาวุโสต่างสูดลมหายใจลึก จากนั้นจึงเชื่อในคำของหลินฟ่าน
วิชาชั้นจิตวิญญาณนั้นแทบจะไม่มีอยู่ในทวีปแห่งนี้ และแม้ว่าพวกมันจะเป็นวิชาชั้นจิตวิญญาณ เหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็กระทั่งอาจไม่สามารถฝึกฝนพวกมันได้ ดังนั้นแล้วมูลค่าของวิชาชั้นมนุษย์ระดับสูงจึงมากมายนัก
“หลินฟ่าน เจ้าได้รับวิชาชั้นมนุษย์ระดับสูงของสำนักในฐานะที่สนับสนุนสำนักอย่างมาก หากเจ้ามอบวิชานี้ให้สำนัก เจ้าจะได้รับรางวัลเป็นแต้มสนับสนุนจำนวนมากรวมทั้งสิ่งของอื่นๆ…”
วิชาในชั้นมนุษย์ระดับสูงหรือสูงกว่านั้นมักจะไม่ได้ถูกบันทึกไว้เนื่องจากมันยากที่จะทำความเข้าใจ พวกเขามักจะบอกต่อผ่านภาพหรือสิ่งของ วิชามนุษย์ระดับสุดยอดของหลินฟ่านเองก็เป็นเช่นนี้
หากเขาตัดสินใจที่จะมอบมันให้กับสำนัก เขาจะสามารถใช้มันได้พร้อมกับได้รับแต้มสนับสนุนในเวลาเดียวกัน รางวัลจะถูกมอบให้กับผู้ที่ได้รับสิ่งของล้ำค่าจากการทดสอบและมอบมันให้กับสำนัก
หลินฟ่านไม่ได้มีความแค้นเคืองใดๆ ต่อสำนักแม้แต่น้อย เพราะตัวตำหนักยอดนภาเองนั้นก็เป็นของสำนัก และเขาอาจไม่แม้แต่จะสามารถเข้าไปได้หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส
“หลินฟ่าน เหตุใดคะแนนของเจ้าจึงสูงกว่าหลิวเยว่เอ๋อร์นัก?” แม่เฒ่าหลิวเยว่เอ่ยถาม
“นั่นเป็นเพราะ…” หลินฟ่านคิดย้อนกลับไป
ในการทดสอบที่สาม เขาได้พบกับจ้าวเฟิงที่ได้บอกทิศทางที่เขาควรจะไป เขาได้ไปในหุบเขาที่มีหมู่บ้านแปลกประหลาดอยู่ภายในและผ่านมันด้วยตนเอง ในที่สุดเขาก็ได้รับผนึกยอดนภามาชิ้นหนึ่ง
‘ผลึกยอดนภา’ นี้ไม่ได้มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ทว่าท้ายที่สุดแล้ว มันมีค่า 100 แต้ม ดังนั้นแล้วหลินฟ่านจึงมีข้อได้เปรียบ 100 แต้มเมื่อเทียบกับผู้อื่น
“ศิษย์ผู้นี้ได้ตกลงไปในหุบเขาที่มีหมู่บ้านอยู่ภายในโดยบังเอิญ…”
หลินฟ่านนั้นฉลาดมาก และเขาไม่ได้เอ่ยถึงจ้าวเฟิง ตัวหุบเขานั้นเป็นความลับของจ้าวเฟิงและอีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวเขา หากไม่มีคำอนุญาตจากเด็กหนุ่มผมคราม เขาก็จะไม่เอ่ยบอกผู้ใด
“พรสวรรค์ของเจ้าธรรมดา ทว่ามีโชคมาก ด้วยความสามารถเช่นนั้น อนาคตของเจ้าย่อมไม่เลวร้าย”
จ้าวสำนักเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง
ด้วยการออกมาของหลินฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์ จึงมีคนหลงเหลือเพียงสี่คนภายในการทดสอบยอดนภา
หยางก่าน เป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน และจ้าวเฟิง
“ในการทดสอบสิบครั้งที่ผ่านมา ศิษย์น้องไฮ่หยุนมีคะแนนสูงที่สุด มากถึงราวๆ 400 แต้ม ครานี้นับว่ามีความหวังมากที่จะทำลายสถิติแล้ว”
จ้าวสำนักและเหล่าผู้อาวุโสล้วนคาดหวัง
ศิษย์ที่เหลืออีก 4 คนนั้นเป็นตัวแทนของจ้าวสำนัก ผู้อาวุโสหนึ่ง และผู้อาวุโสไฮ่หยุน โดยที่มีผู้อาวุโสหนึ่งนำมาโดยที่ศิษย์ทั้งสองของเขายังคงอยู่ภายในการทดสอบ
หยางก่านที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดนั้นเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่ง แน่นอนว่าจ้าวเฟิงที่มีพลังฝึกตนต่ำที่สุดเองก็เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่งเช่นกัน
“ผู้อาวุโสหนึ่ง นับว่าโอกาสที่หยางก่านจะทำลายสถิติในครั้งนี้มีสูงแล้ว” แม่เฒ่าหลิวเยว่เอ่ย
“หวังเช่นนั้น” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ ทว่ามีความหวังสูงอยู่ภายในใจ
จากสถานการณ์ปัจจุบัน หยางก่านมีความหวังมากที่สุดในการคว้าอันดับหนึ่งและเอาชนะสถิติของผู้อาวุโสไฮ่หยุน สำหรับจ้าวเฟิงที่มีพลังฝึกตนต่ำที่สุดนั้น ทุกคนต่างมีความรู้สึกย่ำแย่ต่อเขาและไม่นับรวมเด็กหนุ่มอย่างอัตโนมัติ
ผู้อาวุโสหนึ่งนั้นคือผู้ที่ประหลาดใจที่สุด ชายชราครุ่นคิด
“ข้าไม่อยากเชื่อว่าเด็กเหลือขอนั่นจะสามารถทนอยู่ได้ถึงยามนี้”
มีคนเพียงผู้เดียวที่มองต่างออกไป และเขาคือหลินฟ่าน ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่าคะแนนของจ้าวเฟิงนั้นจะต้องมหาศาล ทั้งนอกจาก ‘ความรู้สึก’ นี้แล้วมันยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง เขาจดจำได้ว่าจ้าวเฟิงได้อดทนต่อความยั่วยวนของการทดสอบสุดท้ายและออกไปสำรวจทั่วทั้งเกาะแทน
จากเพียงแค่จุดนี้ ความทะเยอทะยานของเด็กหนุ่มผมครามผู้นั้นก็สามารถมองเห็นได้แล้ว
ณ การทดสอบยอดนภา
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในวันที่ห้าของการไล่ล่าซึ่งนับเป็นวันที่ 23 ของการทดสอบก็ยังคงมิมีผู้ใดออกไป
ในวันที่หก ยังคงมิมีผู้ใดออกไป
ในยามนี้ ความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬได้เข้าสู่นภาที่สี่ นี่ได้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยพลังฝึกตนของศิษย์ภายในการทดสอบแล้ว หลังจากที่สัตว์อสูรโลหะทมิฬได้มีความเร็วเพียงนี้ มันจึงได้หยุดเพิ่มลง
หยางก่าน เป่ยโม่ย และหลันเสี่ยวหยวนต่างหาสมบัติและฟื้นฟูพลังงานที่ใช้ไป
ในบรรดาคนทั้งหมด พลังฝึกตนของหลันเสี่ยวหยวนได้เข้าใกล้ขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ ทว่าสัตว์อสูรที่ไล่ล่านางนั้นไม่ได้เหนื่อยล้าแม้เพียงนิด และในวันที่เจ็ด หญิงสาวก็ได้เข้าสู่ขีดจำกัด
ในที่สุดนางก็ได้ถูกโจมตีโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬ ก่อนถูกครอบคลุมด้วยชั้นแสงสีเขียวดำ ทำให้ร่างของนางหายไปจากการทดสอบ ดวงของนางนั้นนับว่าธรรมดา
ร่างของหลันเสี่ยวหยวนปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของตำหนักยอดนภา
“เสี่ยวหยวน!”
จ้าวสำนักอุทานออกมาก่อนจะพ่นลมหายใจยาว คะแนนสุดท้ายของนางนั้นอยู่ที่ 335 มากกว่าหลินฟ่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่เลว 335 นี่กระทั่งเหนือกว่าคะแนนสูงสุดของการทดสอบคราที่แล้ว” ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มยิ้ม
การทดสอบครั้งนี้ได้สูงส่งกว่าทุกครั้ง อันดับสี่ในครั้งนี้ได้เหนือกว่าอันดับหนึ่งของการทดสอบสองสามครั้งก่อนแล้ว
“เหลือคนเพียงสามคนเท่านั้น หยางก่าน เป่ยโม่ย และ… จ้าวเฟิงนั่น”
คิ้วของจ้าวสำนักมุ่นเข้าหากันเมื่อเอ่ยถึงคนสุดท้าย
เหล่าผู้อาวุโสรวมถึงนางล้วนไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อจ้าวเฟิง
โดยเฉพาะกับผู้อาวุโสเสวี่ยและผู้อาวุโสไฮ่หยุน ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ดวงของเด็กเหลือขอนั่นกลับดียิ่งและสามารถติดหนึ่งในสามได้!