บทที่ 185 : ย่ำแย่ลง
การทดสอบยอดนภาได้เข้าสู่ช่วงสุดท้าย และกระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหยางก่านที่ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า และห่างจากนภาที่หกเพียงครึ่งก้าวยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วง
ในวันที่แปดแห่งการไล่ล่า ซึ่งนับเป็นวันที่ 26 ของการทดสอบ
หยางก่านหอบหายใจ เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นที่หน้าผาก สัตว์อสูรเบื้องหลังเขานั้นเชื่องช้าเมื่อเทียบกับเขา ทว่าหลัวจากที่ถูกไล่ล่ามากว่าเจ็ดถึงแปดวันติดต่อกัน กระทั่งเขาก็ไม่อาจที่จะทนรับมันไหว
ก่อนที่เขาจะเข้ามา เขาได้เตรียมยาไว้บางส่วน แต่หลังจากที่กินพวกมันอย่างต่อเนื่อง ผลของพวกมันก็ถดถอยลง
บัดนี้สิ่งที่สำคัญมิใช่การฟื้นฟูพลัง แต่เป็นชีวิตของเขา
“พลังฝึกตนของข้าสูงที่สุด บัดนี้คงไม่มีผู้ใดหลงเหลือแล้ว” หยางก่านคิด
ในตอนนี้ ความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นมากเกินกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่สี่ คนเช่นเป่ยโม่ยและกวานเฉินคงออกไปแล้ว ทว่าหยางก่านไม่ต้องการที่จะออกไปเร็วเช่นนี้
เวลาผ่านพ้นไปเพียง 26 วัน มันไม่แต่จะครบหนึ่งเดือน และจากคำของผู้อาวุโสหนึ่ง ผู้อาวุโสไฮ่หยุนได้มีชีวิตรอดอยู่นานกว่าหนึ่งเดือน
“หนึ่งเดือน! ข้าต้องมีชีวิตรอดอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อที่จะทำลายสถิติ!”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
แม้ความต้องการของเขาจะรุนแรง พลังชีวิตภายในร่างของเขาก็ได้จางหายไปอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่อาจอยู่ได้นานนัก
ฟุ่บ!
ในช่วงเวลาหนึ่ง หยางก่านได้มองเห็นร่างร่างหนึ่ง
“ผู้ใดกัน?”
หัวใจของชายหนุ่มกระตุก จะมีผู้ใดหลงเหลืออยู่ในการทดสอบนอกเหนือไปจากเขาได้อย่างไรกัน?
ร่างนั้นคือเด็กหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์ที่เขาคุ้นเคย
พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้สูงส่ง ทว่าความเร็วกลับมากมายยิ่ง น้ำเต้าสีเขียวได้ห้อยแขวนอยู่ที่อกของเขา ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าสีเขียวและทองซึ่งปรากฏปีกคู่หนึ่งออกมาจากเบื้องหลัง สร้างความเร็วและความคล่องแคล่วที่มากกว่าเก่าให้แก่ผู้สวม
“เป่ยโม่ย!”
ดวงตาของหยางก่านเบิกกว้าง
ผู้ที่มานั้นเป็นเป่ยโม่ยจริงๆ ทั้งดวงของเด็กหนุ่มนั้นยังเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด เขาถูกส่งไปยังทางเข้าของสวนโบราณตั้งแต่เริ่มและค้นพบสมบัติมากมาย
ชุดสีเขียวและทองบนร่างของเขานั้นเป็นสมบัติพิเศษที่จะทำให้ผู้สวมใส่สามารถลอยในอากาศได้เพียงแค่ใส่ปราณแท้ลงไป
ในด้านของความเร็วนั้น เป่ยโม่ยอาจเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในนภาที่ห้า ทั้งเด็กหนุ่มสกุลเป่ยยังดูไม่เหนื่อยล้านัก
“ศิษย์พี่หยาง”
เป่ยโม่ยเหลือบมองไปยังหยางก่านอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะวิ่งออกไปอีกทาง
ภาพนั้นได้ทำให้หัวใจของหยางก่านสั่นสะท้าน มันยังคงมีผู้อื่นหลงเหลืออยู่ในการทดสอบ และสิ่งที่ทำให้ไม่อาจที่จะยอมรับได้นั้นก็คืออีกคนดูจะผ่อนคลายเสียยิ่งกว่าเขา
ไม่ต้องกล่าวถึงการทำลายสถิติของผู้อาวุโสไฮ่หยุนเลย แค่การเป็นที่หนึ่งให้ได้ในรุ่นนี้ยังนับเป็นเรื่องยากแล้ว
“บัดนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำได้”
หยางก่านสูดลมหายใจลึกและเปลี่ยนทิศทางไปยังหอคอย เขานั้นค่อนข้างคุ้นเคยกับหอคอย ทั้งมันยังมีสัตว์อสูรทรงพลังจำนวนมากที่นั่น รวมทั้ง ‘ราชาสัตว์อสูรเหยา’ ที่มีพลังเทียบเท่าได้กับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ชายหนุ่มมีแผนที่จะดึงความสนใจของสัตว์อสูรโลหะทมิฬไปยัง ‘ราชาสัตว์อสูรเหยา’ และให้ทั้งสองต่อสู้กัน
ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขากล้าที่จะทดลองอย่างง่ายๆ เพราะ ‘ราชาสัตว์อสูรเหยานั้น’ ไม่มีข้อจำกัด การโจมตีและความเร็วของมันไม่ได้ถูกควบคุมอยู่
เมื่อใดที่เขาถูกเพ่งเล็งโดย ‘ราชาสัตว์อสูรเหยา’ เขาจะถูกฆ่าในเสี้ยววินาที
นอกจากนั้น ราชาสัตว์อสูรยังเป็นผู้นำของกองทัพสัตว์อสูรซึ่งมีลูกน้องอยู่ในระดับนภาที่ห้า นภาที่หก และกระทั่งนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ทว่าเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ลูกสมุนส่วนมากจึงตายหรือหลบซ่อนตัวอยู่
อันตรายของแผนของหยางก่านจึงลดลงอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ช้า
หยางก่านได้ล่อสัตว์อสูรโลหะทมิฬไปยังอาณาเขตของ ‘ราชาสัตว์อสูรเหยา’
ในตอนนี้เองที่ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกและตั้งสมาธิ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความตาย
อันตรายของราชาสัตว์อสูรเหยานั้นเหนือกว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬมากนัก
จ้าวเฟิงเองก็รู้ว่ามีราชาสัตว์อสูรเหยาอยู่ตัวหนึ่ง ทว่าเด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะใช้แผนนี้เพราะความเสี่ยงนั้นมากเกินไป
โฮกกกกกก กรรรรรรร
ภายในป่าหอคอยสูงปรากฏเสียงหอนคำรามน่าพรั่นพรึงประการหนึ่งขึ้น จากนั้นสิงโตเพลิงสามเศียรก็พุ่งออกมา
สิงโตเพลิงนั้นมีหัวสามหัวและลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง กระทั่งก่อนที่มันจะเข้ามาใกล้ หยางก่านก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผดเผาผิวกายของเขาแล้ว
“ข้าถูกพบเร็วยิ่ง” หยางก่านประหลาดใจ
ห่างออกไปหลายลี้ สิงโตเพลิงสามเศียรรับรู้ถึงการคงอยู่ของชายหนุ่ม ทว่ามันได้ถูกดึงดูดไปโดยกลิ่นอายขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของสัตว์อสูรโลหะทมิฬ
หยางก่านพลันล่าถอยไปยังสัตว์อสูรโลหะทมิฬ
นี่นับเป็นการเคลื่อนไหวที่อันตรายอย่างมากเมื่อมันหมายความว่าหยางก่านอาจต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้งสัตว์อสูรโลหะทมิฬและราชาสัตว์อสูรเหยา ทว่าจากทั้งสองนั้น ความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬเชื่องช้ากว่า หมายความว่ามันมีความเสี่ยงต่ำกว่า
ไม่ช้า สิงโตเพลิงสามเศียรก็ตามมาทัน มันแสดงอำนาจของมันไปยังสัตว์อสูรโลหะทมิฬ ทว่ากลับถูกเพิกเฉยจากอีกฝ่ายที่ให้ความสนใจเพียงแต่การไล่ล่าหยางก่านเท่านั้น
ราชาสัตว์อสูรเหยากราดเกรี้ยวอย่างหนัก มันคือราชาแห่งป่านี้ และไอ้ผู้รุกรานนี่กลับกล้าที่จะเมินเฉยมัน??
สำหรับตัวหยางก่านนั้น มดปลวกนี้ได้ถูกลืมเลือนไป ชายหนุ่มวิ่งสลับซ้ายขวาโดยที่มีสัตว์อสูรโลหะทมิฬไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิดที่ด้านหลัง โดยที่มีราชาสัตว์อสูรเหยาไล่ตามมาอีกที
พลังป้องกันของสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก มันรับการโจมตีจำนวนมากจากราชาสัตว์อสูรเหยา ทว่ายังไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายนัก
เพลิงสวรรค์พิโรธ!
ราชาสัตว์อสูรเหยาใช้การโจมตีสุดท้ายของมันและส่งเปลวเพลิงออกจากศีรษะทั้งสามของมัน เปลวเพลิงทั้งสามรวมตัวกันและพุ่งตรงไปยังสัตว์อสูรโลหะทมิฬ
รูไหม้เกรียมขนาดเท่าครึ่งลูกฟุตบอลปรากฏขึ้นที่พื้นพร้อมกับเสียง ‘ตูม’
หยางก่านอยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ ทว่ายังคงได้รับบาดเจ็บเล็กๆ จากลำแสงนั้น
โชคดีที่ควาเมสี่ยงนี้ได้รับการตอบแทน หนึ่งในปีกและขาของสัตว์อสูรโลหะทมิฬหักลงจากการโจมตีนั้น มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่มันจะถูกจัดการโดยราชาสัตว์อสูรเหยา
ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะลังเลและพลันพุ่งตัวออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของราชาสัตว์อสูรเหยาหลังจากที่มันจัดการสัตว์อสูรโลหะทมิฬแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถมีชีวิตรอดไปจากการไล่ล่าของสิ่งมีชีวิตในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไปได้
ในเวลาวันสองวันต่อมา หยางก่านสามารถหลบหนีออกมาได้สำเร็จ
“การเสี่ยงนี้คุ้มค่า ข้าจัดการสัตว์อสูรโลหะทมิฬได้”
หยางก่านพ่นลมหายใจยาวเหยียดพร้อมกับที่ประกายความตื่นเต้นและภูมิใจปรากฏขึ้นในดวงตา
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขานั้นไม่ใช่คนแรกที่มีแผนเฉกเช่นนี้ น่าสงสัยนักว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นหากเขารู้ว่ามีผู้อื่นที่ได้ฆ่าสัตว์อสูรไปก่อนหน้าหลายวันโดยที่เสียแรงน้อยกว่านัก
ทว่าก่อนที่หยางก่านจะได้มีความสุขเป็นเวลาวันสองวัน อันตรายก็ได้เข้าใกล้เขาอีกครั้ง
ในวันที่สิบเอ็ดของการไล่ล่า ซึ่งเป็นวันที่ยี่สิบเก้าของการทดสอบ
วิ้งงงง
ประตูสีขาวเจิดจ้าได้เปิดออกห่างออกไปสิบหลาพร้อมกับร่างเลือนรางที่ออกมาจากประตูนั้น… อันใดกัน!?
ร่างของหยางก่านแข็งค้างขณะที่เขาอุทานออกมา
“เหตุใดจึงมีอีกตัวกัน!?”
หนี!
หยางก่านตัดสินใจที่จะหลบหนีในเสี้ยววินาที แม้ว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬจะยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ก็ตาม
กลิ่นอายที่ออกมาจากร่างของสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นเหมือนกับตัวก่อน ทว่าความเร็วของมันกลับเริ่มต้นที่นภาที่สี่โดยตรง
ห้องสมบัติภายในปราสาท
เปรี้ยง เพี้ยะ เปรี้ยง เพี้ยะ
จ้าวเฟิงใช้ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาและโจมตีค่ายกลอย่างต่อเนื่อง
ค่ายกลป้องกันนั้นได้หายไปกว่าครึ่งแล้ว
“ค่ายกลจะพังลงในอีกสองวัน”
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวแย้มรอยยิ้มขณะที่มองไปยังไข่ภายใน เขากำลังคิดว่ามันคือไข่ของสิ่งใด หรือมันจะเป็นสัตว์โบราณในตำนานหรือไม่?
มีบางคนที่ได้รับไข่หรือสัตว์เกิดใหม่ที่ใช้เป็นพาหนะหรือเลี้ยงดู สัตว์เลี้ยงบางตัวกระทั่งมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมจนกระทั่งสามารถต่อสู้ด้วยตนเองได้
มันได้มี ‘อินทรีขี้เถ้าทองยักษ์’ ซึ่งสามารถขนผู้คนจำนวนมากได้ภายในครั้งเดียว ทั้งมันยังสามารถฆ่าผู้ฝึกตนในนภาที่หกและเจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้
หืมมม?
ทันใดนั้น กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงก็ได้ครอบคลุมร่างของจ้าวเฟิง ราวกับว่าบางสิ่งได้จับจ้องมายังเขา
ความรู้สึกนี้นับว่าคุ้นเคยนัก
วิ้ง!
ประตูสีขาวสว่างจ้าปรากฏขึ้นนอกห้องสมบัติพร้อมกับร่างเลือนรางร่างหนึ่ง
“อันใดกัน…!? ยังมีอีกหรือ!?”
จ้าวเฟิงตะลึงงัน
เมื่อคำนวณเวลาแล้ว มันก็เป็นเวลาสิบวันนับตั้งแต่เริ่มต้นการไล่ล่า
สิบวัน
นี่คือข้อมูลที่สำคัญ
ทุกๆ สิบวัน มันจะมีสัตว์อสูรโลหะทมิฬเพิ่มขึ้นหนึ่งตัว และนี่คือวันที่สามสิบ
จ้าวเฟิงอาจจะจัดการสัตว์อสูรโลหะทมิฬตัวหนึ่งได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ความยากก็เพิ่มสูงขึ้น
ตูมมม!
ห้องสมบัติสั่นสะท้านเล็กๆ เมื่อการโจมตีของสัตว์อสูรโลหะทมิฬปะทะเข้ากับค่ายกล ขนาดของมันนั้นเทียบเท่าได้กับตึกสามชั้น และไม่อาจที่จะเข้าไปภายในห้องสมบัติได้ ทว่าการโจมตีธรรมดาๆ ของมันนั้นก็ได้พังน้ำแข็งใกล้ๆ ทางเข้าไปแล้ว
เพียงแค่เศษเสี้ยวพลังที่เข้าไปภายในห้องสมบัติ ทว่าเกือบจะทำให้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวต้องกระอักโลหิต เมื่อมันสามารถทลายทางเข้าออกได้จริงๆ เขาก็คงต้องตายตก
“หนี!”
จ้าวเฟิงกลับกลายเป็นร่างโปร่งใสสีครามในเสี้ยววินาที สร้างคลื่นกระแทกออกขณะที่พุ่งตัวออกจากห้องสมบัติ
ฟุ่บ
ร่างของเด็กหนุ่มทิ้งร่องรอยสีครามจางไว้บนท้องฟ้า เป็นสัญลักษณ์ว่าจ้าวเฟิงได้ใช้พลังแห่งสายเลือดของเขาจนถึงขีดสุด
ในเวลาเสี้ยววินาทีสั้นๆ
ความเร็วที่ระเบิดออกของเด็กหนุ่มนั้นเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เขาพลิ้วกายลงบนหลังคาตรงข้ามกับห้องสมบัติ
ในที่สุดเขาก็หนีออกมาได้!
“ความเร็วของเจ้านี่เทียบเท่าได้กับนภาที่สี่ และมันเพิ่งจะออกมา!”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
เด็กหนุ่มล่อสัตว์อสูรโลหะทมิฬไปยังบ่อน้ำเยือกแข็งโดยไร้ซึ่งความลังเล
สี่ชั่วโมงต่อมา
อุณหภูมิของทั่วทั้งเกาะพรมแดนนภาได้ลดลงจนถึงจุดที่กระทั่งผู้ฝึกตนในนภาที่สี่ยังรู้สึกหนาวเย็น
“บัดซบอันใดกัน? อุณหภูมิลดลงอีกแล้ว”
ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ สีหน้าของเป่ยโม่ยแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เบื้องหลังปรากฏร่างของสัตว์อสูรสองตัวไล่ล่ามาในทิศทางที่แตกต่างกัน
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวเฟิงเหลือบมองไปยังบ่อน้ำเยือกแข็งพร้อมพึมพำกับตนเอง
“มันสามารถผนึกสัตว์อสูรได้เพียงสองตัว…”
พื้นที่ใกล้เคียงกับผลึกหยาดน้ำตาสีน้ำเงินได้ถูกครอบครองโดยภูเขาน้ำแข็งขนาดเล็กสองลูก มันไม่อาจที่จะแช่แข็งสัตว์อสูรโลหะทมิฬอีกตัวได้เมื่อมันไม่อาจที่จะเข้าไปใกล้ได้ถึงเพียงนั้น
ในเวลาเดียวกัน อุณหภูมิก็ได้ลดลงจนถึงจุดที่กระทั่งผู้ฝึกตนในนภาที่สี่ยังรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น หากมันย่ำแย่ลงไปกว่านี้…
จากนั้นเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจึงพลิ้วกายกลับไปยังห้องสมบัติด้วยความเร็วสูงสุด
หลังจากจัดการสัตว์อสูรโลหะทมิฬตัวที่สองได้ เขาก็จะมีเวลาเพียงสิบวันในการนำไข่ออกมา