บทที่ 189 : ทำลายสถิติพันปี
วันที่สามสิบแปดของการทดสอบยอดนภา
วิ้งง!
แสงได้ส่องวาบที่ทางเข้าของตำหนักพร้อมกับที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น สีหน้าของเขาค่อนข้างน่าเกลียด ทว่ามิมีผู้ใดรู้ว่ามันเป็นเพราะจากความรู้สึกว่าตนอ่อนแอหรือเพราะอารมณ์ที่ไม่ดี
“โม่ยเอ๋อร์!”
“ศิษย์น้องเป่ย!”
ผู้อาวุโสไฮ่หยุนและกวานเฉินต่างอุทานออกมาด้วยความยินดี
ในยามนี้ ทุกคนล้วนมองไปยังเป่ยโม่ย ผู้ที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะ
“มีชีวิตรอดสามสิบแปดวัน คะแนนนี้กระทั่งนับว่าเหนือกว่าศิษย์น้องไฮ่หยุนเมื่อปีนั้น… จากสุดยอดอาจารย์สู่สุดยอดศิษย์โดยแท้…”
แม่เฒ่าหลิวเยว่และผู้อาวุโสเสวี่ยรู้สึกริษยาเล็กๆ
ร้อยปีก่อน สำนักจันทร์สลายได้ให้กำเนิดอัจฉริยะผู้หนึ่งขึ้น ผู้อาวุโสไฮ่หยุน และศิษย์ของเขานั้นกระทั่งยอดเยี่ยมกว่าเมื่อเขาสามารถทำลายสถิติของผู้เป็นอาจารย์ได้
“ทุกย่างก้าว ทุกเวลาที่ยาวนานขึ้นในการทดสอบระหว่างช่วงสุดท้ายของการทดสอบนั้นยากเย็น”
รอยยิ้มสว่างไสวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวสำนัก นี่คือรอยยิ้มที่แท้จริง
มันมิสำคัญว่าเป่ยโม่ยจะเป็นศิษย์ของนางหรือไม่ ตราบเท่าที่สำนักจันทร์สลายยังมีอัจฉริยะเช่นนี้ มันก็นับว่าดี
ทว่าภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน เป่ยโม่ยกลับไร้ซึ่งร่องรอยแห่งความยินดี ในทางกลับกัน สีหน้าของเขากลับน่าเกลียดเล็กๆ ทว่ามิมีผู้ใดให้ความสนใจเพราะเด็กหนุ่มตระกูลเป่ยมักจะแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นปกติ
“โม่ยเอ๋อร์ คะแนนสุดท้ายของเจ้าเป็นเช่นไร?”
คำถามของผู้อาวุโสไฮ่หยุนนั้นคือสิ่งที่สุกคนล้วนสนใจ
โดยมิต้องสงสัย เป่ยโม่ยนั้นคือผู้ที่ได้รับอันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้ เขาย่อมทำลายสถิติพันปี และเป็นใครบางคนที่ได้ทำลายหยางก่าน ผู้ที่ครองอันดับสองแห่งศิษย์หลัก
“928” เป่ยโม่ยเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
928!
ทุกคนล้วนหันไปพูดคุยกันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
กระทั่งผู้อาวุโสไฮ่หยุนยังประหลาดใจ เด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับคะแนนสูงเยี่ยงนั้นได้เช่นไร? เขาแทบจะได้รับคะแนนหนึ่งพันแต้มอยู่แล้ว
“ศิษย์น้องไฮ่หยุนได้มีชีวิตรอดสามสิบสี่วัน ทว่าคะแนนของเขายังไม่แม้แต่จะถึง 600”
เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากัน ไม่เพียงเป่ยโม่ยได้มีชีวิตรอดนานกว่า คะแนนของเขาก็น่าพรั่นพรึงยิ่ง
“คะแนนนี้ควรทำลายสถิติพันปีของตำหนักยอดนภา”
ผู้อาวุโสหนึ่งตื่นเต้น
ทำลายสถิติพันปี!
ทุกคนมองไปยังอัจฉริยะผู้นี้ด้วยความเหลือเชื่อ
เด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง ไม่เพียงครองอันดับหนึ่ง เขากระทั่งทำลายสถิติของผู้อาวุโสไฮ่หยุนด้วย ทุกคนรู้สึกได้ว่าโลหิตในกายกำลังเดือดพล่านขณะที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้
ไม่ช้า
ของที่เด็กหนุ่มตระกูลเป่ยได้รับก็ถูกนำออกมา พวกมันดีกว่าของหยางก่านหลายเท่านัก
วิชาระดับสุดยอดสองวิชา
อาวุธชั้นมนุษย์ระดับสุดยอดสามชิ้น
ของอื่นๆ กว่าร้อยชิ้นโดยที่กว่าครึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับอาวุธชั้นมนุษย์ สิ่งที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นคือเป่ยโม่ยได้รับวิชาชั้นจิตวิญญาณมาด้วย
วิชาชั้นจิตวิญญาณ!
นี่ย่อมกลายเป็นมรดกของสำนัก และกระทั่งผู้อาวุโสก็อาจมิสามารถครอบครองมันได้
คนผู้หนึ่งควรจะรู้ว่าวิชาชั้นจิตวิญญาณนั้นหายากอย่างมากในทวีปแห่งนี้ และพวกมันจำนวนมากได้หายสาบสูญไป วิชาชั้นจิตวิญญาณหนึ่งชิ้นที่เพิ่มขึ้นหมายถึงความแข็งแกร่งของสำนักที่เพิ่มขึ้น
ในฐานะของผู้ที่ถูกจับจ้องด้วยความยินดี ตื่นเต้น และอึ้งตะลึง เป่ยโม่ยกลับมิได้รู้สึกภาคภูมิใจหรือมีความสุขแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน สีหน้าของเขากลับกลายเป็นยิ่งน่าเกลียดไป
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้ามิเพียงครองอันดับหนึ่งในการทดสอบครานี้ เจ้ายังได้เอาชนะอาจารย์ของเจ้า และสถิติพันปี สำนักภาคภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”
ผู้อาวุโสไฮ่หยุนเอ่ยชื่นชมด้วยรอยยิ้ม มันได้เป็นเกียรติในตัวของมันในการที่ได้เป็นอาจารย์ของอัจฉริยะเช่นนี้
“อาจารย์”
เป่ยโม่ยได้เอ่ยคำออกมาในที่สุด ทว่ามันกลับปรากฏร่องรอยของความรู้สึกผิดอยู่ในน้ำเสียง
“โม่ยเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
“เป่ยโม่ย เจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการจะเอ่ยหรือต้องการสิ่งใดหรือ? เจ้าสามารถบอกพวกเราได้”
เหล่าผู้อาวุโสและจ้าวสำนักต่างมองไปยังเด็กหนุ่มตระกูลเป่ยด้วยความงุนงง สีหน้าของเป่ยโม่ยนั้นไม่ปกติอย่างชัดเจน
“เช่นที่ท่านจ้าวสำนักและเหล่าผู้อาวุโสเอ่ย ข้าอาจจะทำลายสถิติพันปี ทว่าข้ามิได้รับอันดับหนึ่งในการทดสอบ!” เป่ยโม่ยสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยออกมาอย่างขมขื่น
อันใดกัน!? นี่หมายความว่าอย่างไร!?
ทุกคนมิรู้ว่าเด็กหนุ่มต้องการสื่อสิ่งใด อีกฝ่ายนั้นได้ทำลายสถิติพันปี ดังนั้นแล้วเขาจะมิได้เป็นอันดับหนึ่งได้เยี่ยงไร?
ผู้อาวุโสหนึ่งจมลึกในห้วงภวังค์ เขาพลันจับจ้องไปยังทางเข้าของตำหนักยอดนภา สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ช้าก่อน! การทดสอบยอดนภายังมิสิ้นสุดลง!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ และจ้าวสำนักล้วนมองไปยังตำหนักยอดนภา
ตำหนักยอดนภายังมิได้ปิดลงจริงๆ นั่นหมายความว่าการทดสอบยังไม่สิ้นสุดลง จากประสบการณ์ก่อนหน้า เมื่อใดที่การทดสอบสิ้นสุดลง ตำหนักยอดนภาจะปิดลง
นี่หมายความว่าอันใดกัน?
ทุกคนตกลงสู่ความเงียบงัน จดจำได้ถึงสีหน้าของเป่ยโม่ยและการกระทำหลังจากที่ออกมา ความจริงได้เริ่มที่จะเปิดเผยออก ทว่าพวกเขาไม่อาจเชื่อ ‘ความจริง’ นี้ได้
ยังคงหลงเหลือผู้อื่น!
บางคนที่ได้ถูกเมินเฉยบัดนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคน
“มีเพียงศิษย์น้องจ้าว… นั่นเป็นไปมิได้!”
หยางก่าน กวานเฉิน และศิษย์คนอื่นๆ มิอาจที่จะเชื่อได้ โดยเฉพาะกับหยางก่าน เขาไม่อาจที่จะยอมรับมันได้
ศิษย์ผู้หนึ่งที่มีกายจิตวิญญาณระดับต่ำ ผู้ที่แทบจะครองอันดับต่ำสุดในบรรดาผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบ ได้ทำลายสถิติพันปี?
ทุกคนได้ตกสู่ความวุ่นวาย ไม่อาจที่จะเชื่อผลลัพธ์นี้ได้
“เงียบ”
น้ำเสียงล้ำลึกของผู้อาวุโสหนึ่งได้ทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง
เหล่าผู้อาวุโสต่างเหลือบมองกันเอง สีหน้าของผู้อาวุโสเสวี่ยและผู้อาวุโสไฮ่หยุนได้มืดทึบลง
“โม่ยเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้น?” ผู้อาวุโสไฮ่หยุนเอ่ยถามเสียงต่ำ
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดตระหนักได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นได้เหนือกว่าที่พวกเขาคาดและควบคุมไปแล้ว
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เริ่มต้นการทดสอบ มันได้มีพลังที่มิอาจมองเห็นประการหนึ่งที่ได้ผลักดันการทดสอบนี้ไป เหตุการณ์แปลกประหลาดที่แตกต่างกันออกไปได้ปรากฏขึ้น และมันได้แสดงให้เห็นว่าการทดสอบนี้แตกต่างจากคราอื่น
หลู่ฮู่และอีกสองคนได้ออกมาในการทดสอบแรก ในขณะที่มิมีผู้ใดบาดเจ็บหรือถูกไล่ออกมาในการทดสอบที่สอง
สำหรับการทดสอบที่สามนั้น ผลลัพธ์ได้เกินกว่าที่คาดไว้ยิ่งนัก
และในครานี้ เป่ยโม่ยได้ทำลายสถิติพันปี และเปลี่ยนสถานการณ์ไปอีกครั้ง
ทว่าเด็กหนุ่มตระกูลเป่ยกลับมิใช่ผู้ที่ครองอันดับหนึ่ง!
สรุปแล้ว การทดสอบนี้แปลกประหลาดจนเกินไป!
ในยามนี้ สายตาของทุกคนได้จับจ้องไปยังร่างของเป่ยโม่ย เด็กหนุ่มผู้นี้อาจเป็นเพียงผู้เดียวที่รับรู้ความจริง
“ก่อนข้าจะออกมา ข้าได้เห็นศิษย์น้องจ้าว”
เป่ยโม่ยเปิดปากของเขาออกในที่สุด รู้สึกหงุดหงิดและขุ่นเคืองอย่างมากยามที่คิดถึงตอนที่เขาถูกหลอกโดยลูกแมวตัวจ้อย
ศิษย์น้องจ้าว! จ้าวเฟิง!
“จะเป็นเขาได้เยี่ยงไร!?”
หยางก่าน กวานเฉิน และคนอื่นๆ ต่างนิ่งงันไปด้วยความไม่เชื่อ
พวกเขาสามารถยอมรับได้หากมันเป็นสุดยอดอัจฉริยะเช่นเป่ยโม่ยที่ครองอันดับหนึ่ง พวกเขาคงเพียงรู้สึกจนใจ ทว่าพวกเขามิอาจยอมรับได้หากเป็นจ้าวเฟิง
“เป่ยโม่ย บอกถึงสิ่งที่เจ้าประสบมาสิ”
ขนตาของจ้าวสำนักกระพือ
เป่ยโม่ยเริ่มเอ่ยถึงสิ่งที่เขาได้เผชิญหน้า
“… ศิษย์ผู้นี้ยังคงสามารถมีชีวิตรอดได้อีกหนึ่งหรือสองวัน ทว่าข้ามิคิดว่าจะได้พบกับศิษย์น้องจ้าวในครานี้ สิ่งแปลกประหลาดคือเขามิได้ถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬ”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ คิ้วของเป่ยโม่ยก็ได้ขมวดชิดติดกัน
มิถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬ?
เป็นไปได้เยี่ยงไร!?
เหล่าผู้เข้าร่วมการทดสอบต่างนิ่งอึ้งพร้อมกับสั่นศีรษะ
“ศิษย์ผู้นี้เองก็รู้สึกแปลกประหลาด ดังนั้นจึงไปถามศิษย์น้องจ้าว ทว่าเขาและไอ้แมวเจ้าเล่ห์นั้นได้หลอกข้าให้ไปยังมหาสมุทรเถาวัลย์ที่ ‘ราชาเถาวัลย์’ ได้ฆ่าข้าด้วยการคิดเพียงครั้งเดียว ทำให้ข้าสูญเสีย ‘น้ำยาจิตวิญญาณฟ้ากระจ่าง’ ของข้าไปด้วย”
น้ำเสียงของเป่ยโม่ยเต็มไปด้วยความขมขื่น หมัดที่กำแน่นนั้นสั่นสะท้านเล็กๆ
ในแววตาปรากฏความเคืองแค้นและเกลียดชังยามที่เขาคิด
“จ้าวเฟิง จ้าวเฟิง เจ้าหลอกข้าได้เลวร้ายนัก มิมีสิ่งใดที่สามารถชำระความเป็นศัตรูระหว่างเราได้แล้ว”
“แมวเจ้าเล่ห์?”
ผู้อาวุโสไฮ่หยุนจับจุดนี้ได้
“มันดูเหมือนจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ศิษย์น้องจ้าวได้รับในการทดสอบ ความเจ้าเล่ห์ของมันนั้นมิอาจที่จะคำนวณได้… หรือมิเช่นนั้นคะแนนของศิษย์คงกระทั่งสูงกว่านี้”
เมื่อคิดถึงยามที่ลูกแมวตัวจ้อยนั้นได้หลอกล่อเขาเช่นไร เป่ยโม่ยก็ขบฟันแน่น
เขามิอาจเอ่ยได้ว่าเขาถูกหลอกโดยแมว ดังนั้นแล้วเขาจึงโยนทุกอย่างไปที่จ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิงผู้นี้เลวร้ายเกินไปแล้ว! คราแรกเขาเตะหยวนเฮาและหลู่ฮู่ออกมา จากนั้นจึงแทงกวานเฉินจากเบื้องหลัง บัดนี้กระทั่งเป่ยโม่ยยังถูกหลอกโดยเขา!”
ผู้อาวุโสเสวี่ยกราดเกรี้ยวอย่างหนัก ทว่ามิมีสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กวานเฉินและคนอื่นๆ ต่างก็เปิดเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาและเอ่ยขอให้จ้าวเฟิงถูกสอบสวน
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว บัดนี้จ้าวเฟิงได้ทำให้คนสี่คนออกมา ซึ่งเกือบจะเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่เข้าร่วม
คราแรกหลู่ฮู่และหยวนเฮาได้ถูกเตะลงนรกไปโดยจ้าวเฟิง จากนั้นกวานเฉินจึงถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งและถูกบังคับให้ออกมา สุดท้ายเป็นเป่ยโม่ยที่ทำลายสถิติพันปี
“มันมิใช่เพียงข้า!”
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคน เป่ยโม่ยก็ตระหนักได้ว่าเขามิใช่เหยื่อเพียงผู้เดียว นั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กๆ
คิ้วของแม่เฬ่าหลิวเยว่มุ่นเข้าหากัน
“สำนักจันทร์สลายของเราเป็นสำนักธรรม เราได้ให้กำเนิดศิษย์ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นได้เยี่ยงไร?”
“ถูกแล้ว จ้าวเฟิงชั่วร้ายนัก กระทั่งสัตว์เลี้ยงของเขายังมากเล่ห์ นั่นหมายความว่า ‘ผู้ที่เหมือนกันมักจะถูกดึงดูดโดยคนเช่นเดียวกัน’ ” ผู้อาวุโสไฮ่หยุนอุทานออกมา
ทว่าหัวใจของเขากลับมิอาจเยือกเย็นลงได้
“เซว่ยัน เซว่ยัน เจ้ามีดวงอันใดกันจึงได้รับศิษย์สองคนที่เป็นอัจฉริยะเช่นนี้?”
“ท่านจ้าวสำนัก ท่านผู้อาวุโสหนึ่ง เราต้องลงโทษเขา!” ผู้อาวุโสเสวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างซื่อตรง
ผู้อาวุโสหนึ่งและจ้าวสำนักมองหน้ากัน
“มันอาจมิธรรมดาเช่นที่เราคิด รอให้จ้าวเฟิงออกมาก่อนเถิด”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสหนึ่งเยือกเย็น แม้ว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะมีปัญหา พวกเขาก็ต้องเงียบเสียงลง
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย อย่าได้ร้อนรนนัก มิว่าอย่างไรจ้าวเฟิงก็ยังคงเป็นอัจฉริยะที่อยู่ได้ถึงยามนี้ จุดสำคัญของพวกเราคือการที่หาทางนำเขากลับมายังหนทางที่ถูกต้องแทนที่จะตัดสินใจว่าควรจะลงโทษเขาเยี่ยงไร”
คิ้วของจ้าวสำนักจันทร์สลายขมวดเข้าหากันยามที่เอ่ยเช่นนั้นกับเหล่าผู้อาวุโส ในฐานะของสตรีแล้ว นางนั้นค่อนข้างที่จะโอ้อวดอยู่มิน้อย และนางเองก็มิได้เห็นการทดสอบที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
“คำของจ้าวสำนักนับว่ามีเหตุผล ทว่าเราควรจะรอให้เด็กนั่นออกมาก่อน”
สีหน้าของแม่เฒ่าหลิวเยว่สงบลงเล็กน้อย
กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็มิอาจที่จะบุกเข้าไปในตำหนักยอดนภาได้ ดังนั้นแล้วมิว่าผู้อาวุโสเหล่านี้จะเร่งรีบเพียงใด พวกเขาก็ทำได้เพียงเฝ้ารอ
จ้าวสำนักและผู้อาวุโสหนึ่งต่างคาดหวังว่าผลลัพธ์อันใดที่จะได้จากศิษย์ที่ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ที่สุดผู้นี้