Skip to content

King of Gods 190

King Of Gods

บทที่ 190 : การออกมาของจ้าวเฟิง (1)

เกาะพรมแดนนภา

จ้าวเฟิงนั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ในการทดสอบ มิมีผู้อื่นใดที่ได้มาถึงจุดนี้ในรอบพันปีที่ผ่านมา

หลังจากสังเกตมหาสมุทรเถาวัลย์เป็นเวลานาน จ้าวเฟิงก็มั่นใจว่าเป่ยม่อได้ออกไปแล้ว เด็กหนุ่มถอดถอนอยู่ภายในใจ เด็กหนุ่มสกุลเป่ยนั้นเป็นคู่แข่งที่มีโชคชะตาและพลังอันแข็งแกร่ง ทว่ากลับต้องออกไปในลักษณะนี้

ผู้ร้ายได้กลอกกลิ้งดวงตาของมันไปมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมประกายความเจ้าเล่ห์

“เอาล่ะ ครานี้ก็เชื่อฟังเสียบ้าง”

จ้าวเฟิงเหลือบมองไปยังแมวขโมยตัวจ้อย เขาจินตนาการถึงสิ่งที่เป่ยม่อจะเอ่ยต่อเหล่าผู้อาวุโสได้เลย

เด็กหนุ่มผู้นั้นอาจจะหยิ่งยโสและไร้อารมณ์ ทว่าเขาจะสามารถปล่อยวางได้หรือเมื่อถูกหลอกถึงเพียงนี้?

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยผงกศีรษะของมัน สื่อว่ามันจะไม่สร้างปัญหาอีกต่อไป จากนั้นมันจึงอ้าปากหาวขณะที่นั่งอยู่บนไหล่ของจ้าวเฟิง

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

จ้าวเฟิงกลับไปยังห้องสมบัติของปราสาท

“เหลือเวลาน้อยกว่าสิบวันแล้ว”

จ้าวเฟิงสำรวจทั่วทั้งห้องสมบัติ

ความจริงนั้น มันยังคงมีอีกหลายที่ในเกาะพรมแดนนภาที่มีสมบัติและโชคชะตาอยู่ เช่นสวนที่เป่ยม่อและหอคอยที่หยางก่านได้เข้าไป

ทว่าจ้าวเฟิงก็ยังเลือกที่แห่งนี้

  1. 1. สิ่งของที่นี่ล้วนล้ำค่า
  2. 2. ความเสี่ยงต่ำโดยให้ผลลัพธ์แน่นอน

เมี้ยว เมี้ยว!

ดวงตาสีดำของแมวขโมยตัวน้อยส่องประกายวาบขณะที่มันวิ่งไปรอบๆ ห้องสมบัติ

ไม่ช้า

จ้าวเฟิงยืนยันเป้าหมายใหม่ของเขา มันเป็นหินหยกแปลกๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาชิ้นหนึ่ง ทว่าดวงตาซ้ายของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังภายในหินหยกนั้น มันทำให้เขารู้สึกสบายอย่างมาก

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวจ้อยโบกอุ้งเท้าของมันไปยังเหรียญโบราณที่มีแต่คราบสนิม ส่งสัญญาณให้จ้าวเฟิงลงมือ

จ้าวเฟิงเค้นเสียง เหรียญโบราณพวกนั้นดูเป็นเพียงของสะสมธรรมดา แม้ว่าวัสดุที่ใช้ทำนั้นจะดูพิเศษ มันก็มิได้มีกลิ่นอายของพลัง

เมี้ยว เมี้ยว! แมวตัวเล็กดูจะหงุดหงิดเล็กๆ ขณะที่มันโบกมือไปทางเหรียญอีกครั้ง ทำท่าทางว่าของมันนั้นสำคัญ

“หยุดสร้างปัญหาให้ข้าได้แล้ว”

จ้าวเฟิงมิสนใจที่จะฟังมัน และเริ่มใช้ฝ่ามือวายุอัสนี โจมตีตู้เก็บหินหยก

แมวขโมยตัวน้อยผิดหวังและโกรธเคือง ทว่ามิอาจทำอันใดได้ เพราะเจ้าของของมัน ดูจะไม่ฟังมันแน่นอน

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวตัวน้อยกระโดดไปเบื้องหน้าตู้ที่เก็บเหรียญโบราณอยู่ภายใน

เปรี้ยง! เปรี้ยง!

มันวาดกรงเล็บของมันและเริ่มโจมตีตู้นั้นอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นแล้ว หนึ่งแมว หนึ่งมนุษย์จึงได้โจมตีเป้าหมายของพวกเขาตามลำดับ

หากทั้งสองทำงานร่วมกัน มันย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่า ทว่าทั้งสองกลับไม่มีท่าทีใดๆ ในการร่วมมือกัน

ในเสี้ยวพริบตา เวลาหกเจ็ดวันก็ได้ผ่านพ้นไป

แคร่กกก!

จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมาขณะที่เขาทำลายค่ายกล

แมวขโมยตัวจ้อยใกล้ๆ นั้นกลับทำลายค่ายกลของมันไปได้เพียงราวๆ หกในสิบส่วน แต่แม้กระนั้นจ้าวเฟิงก็ยังคงประหลาดใจ

คนผู้หนึ่งจำต้องมีพลังโจมตีเหนือกว่าระดับพลังของนภาที่สี่ หรือมิเช่นนั้นการฟื้นตัวของค่ายกลจะเหนือกว่าพลังโจมตี เด็กหนุ่มสำรวจหินหยกในมือของตน มันมิได้ดูพิเศษ ทว่าเมื่อเขานำมือของเขาไปวางไว้เหนือมัน กลิ่นอายสงบราบเรียบก็ได้แพร่กระจายไปทั่วร่างของเขา ราวกับว่าเขากำลังอาบอยู่ใต้แสงบริสุทธิ์

ความเหนื่อยล้าและอาการบาดเจ็บของเขาเริ่มที่จะฟื้นฟูโดยไม่รู้ตัว

“หินหยกนี้มีพลังในการรักษา!” จ้าวเฟิงอุทานออกมา

ทว่าแมวขโมยตัวจ้อยใกล้ๆ กลับทำเพียงแสดงความเหยียดหยามออกมา

เหลือเวลาเพียงสองสามวันก่อนที่การไล่ล่าครั้งต่อไปจะเริ่มต้นขึ้น

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจช่วยเหลือแมว ประวัติของอีกฝ่ายนั้นลึกลับและดูจะมีความรู้ที่ไม่ธรรมดาติดตัวมาแต่กำเนิด สิ่งที่มันต้องการยืนกราน มิอาจเป็นธรรมดาได้

เปรี้ยง! เพี๊ยะ! เปรี้ยง! เพี๊ยะ!

หนึ่งแมว หนึ่งมนุษย์โจมตีค่ายกลที่ปกป้องเหรียญโบราณไว้ภายใน

สองวันต่อมา

ค่ายกลได้พังทลายลงพร้อมกับเสียง ‘แคร่ก’

เอามันมา!

จ้าวเฟิงพุ่งออกไปและเอื้อมมือไปยังเหรียญ

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวจ้อยนั้นกระทั่งรวดเร็วกว่าและพุ่งพรวดไปเบื้องหน้า โดยยอมเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บโดยจ้าวเฟิง แม้ว่าเด็กหนุ่มจะคาดการณ์เรื่องเช่นนี้ไว้แล้ว เขาก็มิได้ทำสิ่งใดเพราะเขากลัวว่าจะทำอันตรายให้แก่ลูกแมวตัวน้อย

แมวขโมยตัวจ้อยมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างคุมเชิง ทว่ายังคงไม่รู้สึกปลอดภัยและกลืนกินเหรียญเหล่านั้นลงท้องไป

เด็กหนุ่มเหลือกตา แมวขโมยตัวจ้อยนี้ไม่ได้ขี้เหนียวธรรมดาแล้ว

เขานั้นเพียงสงสัยว่าเหรียญนั้นเป็นเช่นไร เขาได้ตรวจสอบมันด้วยดวงตาซ้ายของเขา และนอกเสียจากว่ามันทำขึ้นจากวัสดุพิเศษ มันก็มิมีสิ่งอื่นใดอีก

จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้เวลาไปกับปัญหาเหล่านี้มากมาย เพราะเขาต้องเตรียมตัวสำหรับการไล่ล่ารอบต่อไป เด็หนุ่มคำนวณว่ามันจะมีสัตว์อสูรโลหะทมิฬสามถึงสี่ตัวในรอบถัดไปพร้อมกับความเร็วในระดับนภาที่ห้า

เขาจะเผชิญหน้ากับมันได้เยี่ยงไร?

ราชาสัตว์อสูรธรรมดานั้นไร้ประโยชน์ สัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นถูกจำกัดเพียงความเร็ว พวกมันอาจจะกระทั่งมีพลังเหนือกว่าราชาสัตว์อสูรในด้านของการโจมตีและป้องกัน

มันแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรโลหะทมิฬสี่ตัวพร้อมกันได้

“ดูเหมือนจะมีเพียง ‘ราชาเถาวัลย์’ และ ‘สัตว์ประหลาดภูเขา’ ที่จะสามารถรับมือกับพวกมันได้” จ้าวเฟิงพึมพำ

สัตว์อสูรโลหะทมิฬสามสี่ตัวนั้นน่าพรั่นพรึงจนเกินไป นอกเสียจากสิ่งมีชีวิตต้องห้ามไม่กี่ตัวในเกาะพรมแดนนภาแล้วก็มิมีสิ่งใดที่จะสามารถหยุดพวกมันได้อีก

คราแรกจ้าวเฟิงไปยังมหาสมุทรเถาวัลย์และสังเกตมันอีกครั้ง แม้ว่ามหาสมุทรเถาวัลย์จะดูสงบ เด็กหนุ่มก็ยังรับรู้ได้ถึงการคุกคามเล็กๆ จากมัน

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวจ้อยส่ายศีรษะ สื่อว่าเด็กหนุ่มไม่ควรลอง

“ข้าจะเชื่อเจ้าครั้งหนึ่ง”

จ้าวเฟิงหมุนตัวกลับและจากไปพร้อมกับแมว เสี้ยววินาทีที่ทั้งสองทำเช่นนั้น คลื่นรุนแรงก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นที่มหาสมุทร เสียงหวีดหวิวดังก้องอย่างแผ่วเบาอย่างน่าสะพรึง

ไม่กี่ชั่วยามต่อมา

เด็กหนุ่มได้มาถึงหน้าภูเขาลูกหนึ่ง

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวจ้อยจมลงในห้วงความคิดขณะที่มันมองไปยังภูเขาเบื้องหน้าพวกเขา จ้าวเฟิงรู้สึกประทับใจในความรู้ของแมวตัวนี้เล็กๆ

เขาเคลือบแคลงว่าแมวตัวนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ อันมีข้อสังเกตสองข้อ

  1. 1. แมวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใดฟักจากไข่
  2. 2. แม้ว่าแมวนี้จะเพิ่งเกิด มันก็ไม่มีทางที่มันจะมีความรู้เพียงนี้ ซ้ำยังกลืนกินของวิเศษ ประหนึ่งขนมขบเคี้ยว

เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

การไล่ล่าครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ทันใดนั้น ความกดดันที่คุ้นเคย ก็พลันปรากฏขึ้นรอบกายเขา

วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!

สี่ด้านของจ้าวเฟิง ปรากฏประตูสี่บานส่องประกายขึ้น พร้อมกับที่ร่างใหญ่โตร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากแต่ละประตู

ในเสี้ยววินาทีนั้น กลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ได้พุ่งออกมา มันเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปในขอบเขตก่อกำเนิดปราณกระอักโลหิต

จ้าวเฟิงโคจรพลังแห่งสายเลือดของเขาจนถึงขีดสุด และยังเตรียมพร้อมผ้าคลุมเงาหยินของเขาให้พร้อม

สัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสี่ล้วนมีความเร็วเทียบเท่ากับนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ขณะที่พวกมันกระโจนเข้าโจมตีเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว พลังที่รวมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นเพียงพอที่จะทำลายภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง

ฟุ่บ

ร่างเงาของจ้าวเฟิงกระโจนขึ้นสู่อากาศ ลากยาวเป็นแสงสีโลหิต

ในเสี้ยววินาที ปราณแท้รวมทั้งพลังแห่งสายเลือดของเขาก็ได้ระเบิดออก ใช้พลังของผ้าคุลมเงาหยิน ควาเร็วของเขากระทั่งเหนือกว่านภาที่หก

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่ต้องจ่ายไปนั้นหนักหน่วงยิ่ง หนึ่งในห้าของพลังแห่งสายเลือดของเขาได้ถูกใช้ไป

ครืนโครม

เบื้องล่างเขา ภูเขาได้สั่นสะท้านพร้อมกับที่ฝุ่นได้ฟุ้งกระจายครอบคลุมรัศมีหนึ่งลี้

มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าการโจมตีของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสี่นั้นทรงพลังเพียงใด มันแทบทำลายป้อมปราสาทเล็กๆ ได้ทั้งหลัง

แผนได้ผล

หัวใจของจ้าวเฟิงผ่อนคลายลง เขาต้องการใชัพลังโจมตีพร้อมกันของสัตว์อสูรทั้งสี่ ในการสั่นคลอนสัตว์ประหลาดภูเขาเบื้องล่าง

ในยามนี้ เขาได้พุ่งออกไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดพร้อมกับนำคันศรโหลวฮัวออกมา

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ลูกธนูน้ำแข็งแปดดอกพุ่งผ่านอากาศ สองดอกระเบิดออกที่ร่างของสัตว์อสูรแต่ล่ะตัว แม้ว่ามันจะไม่สามารถผนึกพวกมันได้ มันก็ยังคงสามารถที่จะทำให้พวกมันเชื่องช้าลงได้เล็กน้อย

ในครานี้ จ้าวเฟิงได้อยู่สูงขึ้นไปบนอากาศกว่าร้อยเมตรขณะที่เขามองไปยังพื้นที่ที่ถูกครอบคลุมด้วยฝุ่นผงเบื้องล่าง

กรรรร

เสียงคำรามหนักหน่วงดังขึ้นจากในภูเขานั้น

เสียงนั้นราวกับระฆัง มันได้สั่นสะท้านสรวงสวรรค์ ทำลายพื้นดิน มันกระทั่งมีสายฟ้าจำนวนหนึ่งแล่นวูบผ่านท้องฟ้า

“โอ้ สวรรค์!”

หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน พลังเยี่ยงนี้คืออันใดกัน? เพียงแค่เสียงจากการตื่นของมันก็ได้ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนแล้ว

จากนั้น ภาพที่น่าพรั่นพรึงเสียยิ่งกว่าก็ได้ปรากฏขึ้น

ฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจายในระยะหลายลี้ได้ถูกดึงลงด้วยแรงไม่ทราบที่มาประการหนึ่ง

ในเสี้ยวพริบตา ฝุ่นผงได้จางหายไป

มันคือวิชาอันใดกัน? เพียงความคิดหนึ่งก็ทำให้ฝุ่นผงในระยะหลายลี้ร่วงหล่นลงสู่พื้น

ครืน ครืนนน

ภูเขาเบื้องล่างสั่นสะท้านราวกับบางสิ่งกำลังตื่นขึ้น มันอาจเป็น ‘สัตว์ประหลาดภูเขา’ ที่จ้าวเฟิงกำลังคิดถึง

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

สัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสี่ร่วงหล่นลงสู่พื้นและไม่ขยับเคลื่อนไหวอีก

“อันใดกัน!!? กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็มิอาจกระทำอันใดได้”

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเย็นเยียบ

แคร่ก! แคร่กกก

ร่างของสัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสี่แตกสลายลงในพริบตา

จ้าวเฟิงใช้พลังทั้งหมดของเขาจนถึงขีดสุดและพุ่งทะยานผ่านท้องนภาอย่างต่อเนื่อง

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวจ้อยปีนเข้าไปภายในกำไลมิติของเขา

ตูมมมม!

แรงดึงอันน่าสะพรึงกลัวได้ครอบคลุมร่างของจ้าวเฟิงเข้าไป

พรวด!

เด็กหนุ่มพลันกระอักเลือด รู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งร่างกำลังจะระเบิดออก เขาสามารถจินตนาการถึงจุดจบของเขาได้ว่ามันคงจะเหมือนกับสัตว์อสูรโลหะทมิฬพวกนั้น แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากสัตว์ประหลาดภูเขาอย่างมาก และพลังของมันถูกลดทอนลงไปจนเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน ก็ยังมิอาจต้านทาน

ในสถานการณ์เข้าตาจน จ้าวเฟิงได้โคจรทุกสิ่งภายในร่างของเขาจนเข้าถึงขีดจำกัด ปราณแท้ พลังแห่งสายเลือด และแสงสีครามในสมองของเขา ทว่าภายใต้พลังอันเป็นที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่สามารถหยุดยั้งมันได้

ทันใดนั้น

เด็กหนุ่มดูราวกับได้รับสำนึกรู้บางอย่าง

ไม่ว่าคนผู้หนึ่งจะฉลาดเจ้าเล่ห์เพียงใด มันก็ยังคงมีขีดจำกัดเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันเป็นที่สุด

วิ้ง!

ตรายอดนภาภายในร่างของเขาพลันเคลื่อนไหว แสงสีเขียวใสได้กลืนกินร่างของเด็กหนุ่มไป

ฟุ่บ!

ผู้เข้าร่วมการทดสอบคนสุดท้ายได้หายไปจากเกาะพรมแดนนภา

ภูเขาก่อนหน้าบัดนี้ได้มีรูปร่างของสัตว์อสูรที่สูงกว่าร้อยหลา ประดุจมนุษย์ยักษ์ ผู้ให้กำเนิดฟ้าดิน

“เป็นสายเลือดโบราณที่บริสุทธิ์อันใดเช่นนี้… และแมวนั่น มัน…”

ดวงตาสีทองของสัตว์อสูรภูเขาส่องประกายวูบ

ครู่ต่อมา

มันถอดถอนใจอย่างลึกล้ำ ทำให้เมฆาสั่นสะท้าน ก่อนที่มันจะหลอมรวมเข้ากับพื้นดินอีกครั้ง…

จ้าวเฟิงปรากฏขึ้นภายในมิติสีขาวสว่างจ้าแห่งหนึ่ง เมื่อเพ่งสายตาของเขา เด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยผลึกเริ่มต้นพิเศษสีขาว

ฟุ่บ ฟุ่บ!

“ตรายอดนภา” รวมทั้ง “ผนึกสายฟ้ายอดนภา” ได้ปรากฏขึ้นและลอยขึ้นไปเหนือศีรษะของเขา

“คะแนนการผ่านการทดสอบ: 720

คะแนนความสามารถ: 1350

ตราผนึกสายฟ้ายอดนภาให้คะแนนพิเศษแก่เจ้าเพิ่ม 500 แต้ม

คะแนนรวม: 2570

ผู้เข้าร่วม คะแนนของเจ้าได้เกินหนึ่งพัน และเจ้าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดจากตำหนักยอดนภา”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในศีรษะของเด็กหนุ่ม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!