บทที่ 191 : การออกมาของจ้าวเฟิง (2)
“… คะแนนรวม: 2,570
ผู้เข้าร่วม คะแนนของเจ้าได้เกิน 1,000 และเจ้าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดจากตำหนักยอดนภา”
จ้าวเฟิงยืนอยู่ภายในโถงผลึกขาวด้วยใบหน้าขาวซีด ก่อนจะปาดเลือดออกจากปากของเขา
ก่อนที่เขาจะตาย ภาพของสัตว์ประหลาดภูเขาได้สร้างความตื่นตะลึงแก่เขา ต่อหน้าพลังเช่นนั้น กระทั่งผู้ทื่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็เป็นเพียงมดปลวก
หืมมม?
แสงสีขาวส่องสว่างครอบคลุมร่างของเด็กหนุ่มและส่งระลอกความอบอุ่นที่รักษาอาการบาดเจ็บไปทั่วร่าง ระลอกความอบอุ่นนี้มีความคล้ายคลึงกับหยกที่จ้าวเฟิงได้รับจากห้องสมบัติและมีความสามารถในการรักษา
“2,570 ดูเหมือนจะสูงมาก ทั้งข้ายังได้รับการดูแลที่ดีที่สุดด้วย?”
เด็กหนุ่มตื่นขึ้นจากอาการอึ้งงันและเริ่มที่จะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เสียงนั้นเอ่ย เขานั้นคือคนสุดท้ายที่ออกจากการทดสอบ หมายความว่าเขาย่อมเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าเป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน ทำให้เขาไม่อาจที่จะเทียบเคียงกับผู้เข้าร่วมคนก่อนๆ ได้
“โดยปกติแล้ว จะมีคนเพียงผู้เดียวในรอบพันปีที่จะมีคะแนนเกินหนึ่งพันแต้ม สำหรับคะแนนของเจ้านั้น มันได้ทำลายสถิติสูงสุดที่ได้บันทึกไว้ในตำหนักยอดนภาในรอบหมื่นปี ในส่วนก่อนหมื่นปี ไม่มีบันทึกให้สืบค้น”
ร่างของบุรุษสูงทรงพลังปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ร่างนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยแสงสีขาว และแม้ว่ามันจะเพียงเงา มันก็ยังคงมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง
จ้าวเฟิงสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดและพบว่ารูปลักษณ์นั้นค่อนข้างคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
เขาพลันจำจดได้ถึงเด็กหนุ่มนาม ‘ลีหลวน’ ในภาพมายาที่หุบเขา
“ท่านคือลีหลวน?”
“ฮี่ฮี่ ข้านาม ‘หลี่ฝูหลวน’ ร่างที่เจ้าเห็นในยามนี้เป็นเพียงร่างจิตที่ปรากฏขึ้นชั่วคราวในยามนั้น ซึ่งมีสำนึกบางส่วนของร่างจิต” บุรุษผู้นั้นอธิบาย
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง บุรุษผู้นี้มิใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ ทว่าเขามีสติปัญญา
เมี้ยว เมี้ยว!
ในยามนั้น แมวขโมยตัวน้อยได้ปีนออกจากกำไลมิติ มันสำรวจบุรุษผู้นั้นด้วยความเคลือบแคลงขณะที่นั่งอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม
เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นแมวตัวน้อย ความตะลึงก็แล่นวูบผ่านแววตา ทว่าเขามิได้เอ่ยถามสิ่งใด
“ผู้เข้าร่วม คะแนนของเจ้าเกินหนึ่งพันแต้ม และสามารถได้รับการดูแลดังต่อไปนี้
1.ใช้คะแนนของเจ้าในการแลกเปลี่ยนกับวิชา อาวุธ และสิ่งของอื่นๆ
2.ขอให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้ภายในขอบเขตความสามารถของข้า แน่นอนว่าเจ้าจะต้องจ่ายแต้มในราคาที่เทียบเท่ากัน
3.มอบมรดกทั่วไป ที่สร้างขึ้นเพื่อเจ้าโดยเฉพาะหนึ่งชิ้น โดยไม่คิดมูลค่า”
บุรุษผู้เป็นแสงเงาเอ่ย
รวมแล้วสามสิ่ง?
จ้าวเฟิงจมลึกในห้วงภวังค์
จากที่เขารู้เกี่ยวกับการทดสอบยอดนภา ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั่วไปได้รับเพียงข้อเสนอข้อแรก ใช้คะแนนแลกสิ่งของ
สำหรับข้อสองนั้นเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน ทว่าข้อสาม เขาจดจำได้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งได้เอ่ยเกี่ยวกับกับมัน มันมีโอกาสที่จะมีมรดกอยู่ภายในการทดสอบ
“ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของข้าคือข้อที่สอง ขอสิ่งใดก็ได้”
เด็กหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน ทว่าอย่างแรกเขาต้องเข้าใจเสียก่อนว่าจะแลกเปลี่ยนแต้มของเขาเช่นไร
ข้อมูลเริ่มที่จะปรากฏขึ้นจากตรายอดนภาของเขา
อย่างแรกคือเด็กหนุ่มได้รับแต้มเหล่านั้นมาได้อย่างไร
20 แต้มสำหรับการผ่านบททดสอบแรก
30 แต้มสำหรับการผ่านบททดสอบที่สอง
สำหรับบททดสอบที่สามนั้น มันได้ถูกคำนวณจากเวลายามที่การไล่ล่าเริ่มต้นขึ้น
สิบวันแรกมีค่าวันล่ะ 10 แต้ม ดังนั้นแล้วเขาจึงได้รับ 100 แต้มสำหรับการไล่ล่ารอบแรก
มีเพียงจ้าวเฟิง เป่ยม่อ และหยางก่านเท่านั้นที่ทำสำเร็จ
อีกสิบวันต่อมาของการไล่ล่าให้คะแนน 20 แต้มต่อวัน จึงมีคะแนนให้จ้าวเฟิงอีก 200 แต้ม
มีเพียงจ้าวเฟิงและเป่ยม่อที่สามารถทำสำเร็จ
โดยใช้หลักการเดียวกัน กับการไล่ล่ารอบที่สาม มีคะแนนรวม 300 แต้ม โดยที่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถรอดชีวิต
จ้าวเฟิงสามารถมีชีวิตรอดได้เพียงหนึ่งวันในการไล่ล่าครั้งที่สี่ ก่อนที่จะถูกฆ่าโดย ‘สัตว์ประหลาดภูเขา’ จึงได้คะแนน 40 แต้ม
ดังนั้นแล้ว คะแนนสำหรับการผ่านบททดสอบของเด็กหนุ่มจึงเป็น 720
“คะแนนความสามารถของข้ามากเกินไปแล้ว ตั้ง 1,350!”
จ้าวเฟิงมองให้ละเอียดไปกว่านั้น ทุกครั้งที่สัตว์อสูรโลหะทมิฬถูกฆ่า เขาจะได้รับ 100 แต้มต่อตัว และเพราะเด็กหนุ่มได้ฆ่าไป 8 ตัว มันเป็นเป็น 800 คะแนน
“เป่ยม่อไม่แม้แต่จะฆ่าสักตัว นั่นหมายความว่าคะแนนระหว่างเราห่างกันอย่างน้อย 800 คะแนน ทั้งเมื่อรวมกับการที่เขามีชีวิตรอดสั้นกว่าข้า ช่องว่างนั้นต้องมีอย่างน้อยหนึ่งพัน”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของจ้าวเฟิง
นี่หมายความว่ากระทั่งผู้เข้าร่วมการทดสอบอันดับสองก็ยังมีคะแนนห่างจากเขาอย่างน้อยหนึ่งพันแต้ม จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเริ่มค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับของที่สามารถแลกเปลี่ยนได้
“วิชาชั้นมนุษย์ระดับสุดยอด 80 แต้มต่อหนึ่งวิชา
อาวุธชั้นมนุษย์ระดับสุดยอด 100 แต้มต่อชิ้น
วิชาชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำ 400 แต้มต่อหนึ่งวิชา
อาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำ 500 แต้มต่อหนึ่งชิ้น…”
สิ่งของที่จ้าวเฟิงมองอยู่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นชั้นแนวหน้า วิชาและอาวุธระดับสูงที่สุดที่คนผู้หนึ่งสามารถแลกเปลี่ยนไปในการทดสอบยอดนภาคือวิชาชั้นจิตวิญญาณระดับกลางหรืออาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางซึ่งต้องใช้แต้ม 1,500 แต้มและ 2,000 แต้มตามลำดับ
จ้าวเฟิงย่อมไม่แลกเปลี่ยนแต้มของเขากับของเหล่านั้นอย่างแน่นอน หลังจากครุ่นคิดไปชั่วครู่ เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจ
“ข้าจะขอรับมรดกทั่วไป ที่สร้างขึ้นเพื่อข้าโดยเฉพาะก่อน”
มันเป็นข้อเสนออย่างที่สามที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบคนอื่นๆ นอกจากเป่ยม่ออาจจะไม่ได้รับ
“ได้”
ทันทีที่บุรุษผู้นั้นเอ่ย แสงสีขาวโปร่งก็พุ่งเข้าไปยังร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
มันเป็นกลิ่นอายลึกลับที่ไม่มีจิตมุ่งร้ายใดๆ ในทางกลับกัน มันทั้งอบอุ่นและสงบ แสงนั้นไหลไปตามโลหิต กระดูก และกระทั่งพลังจิตของเขา ทว่าเมื่อมันเข้าไปยังแสงสีครามในดวงตาซ้ายของเขา แสงนั้นก็จางหายไป ดุจก้อนหินจมสู่มหาสมุทร
“โชคร้ายนัก ข้าไม่อาจที่จะสร้างมรดกที่สมบูรณ์แบบสำหรับเจ้าได้ เส้นทางที่เหมาะสมกับเจ้าคือ ‘พลังจิต’ ที่เป็น ‘จิตวิญญาณ’ ตัวอย่างเช่น พลังภาพมายา วิถีเซ็นแห่งพุทธ พลังทำนาย หรือกระทั่งวิชาควบคุมศพอธรรม อาจกลายเป็นจุดเด่นของเจ้าได้ทั้งสิ้น”
“เหตุใดมันจึงไม่อาจถูกสร้างขึ้นได้?”
จ้าวเฟิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ คำแนะนำของหลี่ฝูหลวนเป็นเช่นคำของผู้อาวุโสหนึ่ง
“ตำหนักยอดนภานั้นเป็น ‘มรดกฝ่ายธรรม’ สายพลังจิตค่อนข้างถูกจัดอยู่ใน ‘ฝ่ายอธรรม’ นอกจากนั้นพลังแห่งสายเลือดของเจ้าทำให้มันกระทั่งยากยิ่งกว่าเก่าในการสร้างมรดกสำรับเจ้าโดยเฉพาะ แน่นอน เพราะว่าเจ้าได้รับตราผลึกสายฟ้ายอดนภาและมีวิชาที่มีสายฟ้าเป็นพื้นฐานอยู่บ้างส่วน ข้าสามารถมอบมรดกที่ดีที่สุดแห่งตำหนักยอดนภา ‘มรดกอัสนี’ ให้กับเจ้าได้” บุรุษเรืองแสงเอ่ย
“ได้”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ อย่างน้อยเขายังสามารถได้รับมรดกที่ดีที่สุดแห่งตำหนักยอดนภาได้
ตูมม!
พลังงานจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้าไปยังความคิดของจ้าวเฟิงและทำให้ทั่วทั้งโถงส่องสว่าง
สักพักต่อมา
หอคอยสามชั้นได้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา
ภาพในชั้นแรกนั้นคล้ายคลึงกับผนึกสายฟ้ายอดนภา มันมีสำนึกและวิธีในการใช้สายฟ้า
สำหรับชั้นสองและสามของหอคอยนั้นเป็นสีเทา เด็กหนุ่มยังไม่อาจที่จะเข้าไปได้
“มรดกอัสนีได้ถูกสลักลงในสมองของเจ้าแล้ว ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เจ้าสามารถทำความเข้าใจได้เพียงชั้นแรก ชั้นที่สองนั้นกำหนดให้เจ้าต้องอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และชั้นสามนั้นกำหนดให้เจ้าต้องอยู่ใน ‘ระดับนายเหนือแท้’ สวรรค์ที่สามแห่งขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง หากเจ้าสามารถที่จะทำความเข้าใจมรดกอัสนีได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันก็มิใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าในการที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งทวีปนี้” บุรุษเรืองแสงเอ่ย
“มรดกอัสนีนับว่าแข็งแกร่งโดยแท้ ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแบ่งออกเป็นสามระดับ มนุษย์แท้ ผู้วิเศษแท้ และนายเหนือแท้ ผู้อาวุโสแห่งสำนักจันทร์สลายอาจยังไม่แม้แต่ที่จะเข้าสู่ระดับสองของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง” จ้าวเฟิงคิด
มรดกอัสนีนั้นตีรวมวิธีการใช้สายฟ้า โจมตี การเคลื่อนไหว และเคล็ดวิชาลับ มรดกนี้คือทุกหนทางแห่งสายฟ้า ทว่าจ้าวเฟิงสามารถเรียนรู้ได้เพียงมุมหนึ่งของชั้นแรกเท่านั้น หากเขาสามารถทำความเข้าใจทั้งหมดของชั้นหนึ่งได้ ผู้ฝึกตนทั่วไปในระดับมนุษย์แท้อาจไม่แม้แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มได้
หลังจากการมอบมรดกเสร็จสิ้น จ้าวเฟิงก็พุ่งเป้าไปยังข้อเสนอที่สองที่หลี่ฝูหลวนจะทำตามคำขอเขาที่อยู่ในขอบเขตความสามารถของอีกฝ่าย
“คำขอข้อแรกของข้าคือการเข้าใจความเป็นมาของแมวนี่ และทำสัญญาสัตว์เลี้ยงกับมัน” จ้าวเฟิงเอ่ย
ความเป็นมาของแมวขโมยตัวจ้อยนั้นลึกลับ ทั้งมันยังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างทั้งสอง หลังจากที่การทดสอบสิ้นสุดลง แมวตัวเล็กก็สามารถวิ่งหนีไปได้ตลอดเวลา
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยโบกอุ้งเท้าของมันไปมาบนไหล่ของจ้าวเฟิง แสดงความไม่พอใจออกมา
“ขออภัยด้วย กระทั่งข้าเองก็ไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของแมวนี้ ทว่าข้ารู้ว่าสายเลือดของมันนั้นพิเศษยิ่ง และการที่การทำสัญญานั้นจะได้ผลหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับว่าแมวตัวนั้นต่อต้านมากเพียงใด และพลังของสายเลือดของเจ้า”
บุรุษเรืองแสงเหลือบมองไปยังแมวขโมยก่อนที่จะส่ายหน้า
“บอกข้าถึงวิธีการทำสัญญาและช่วยให้ข้าทำมันสำเร็จ”
จ้าวเฟิงต้องการจะลอง
บุรุษเรืองแสงผงกศีรษะ
“เจ้าต้องใช้แต้ม 200 แต้ม”
จากนั้น อีกฝ่ายจึงบอกถึงวิธีการทำสัญญาสัตว์เลี้ยงให้กับเด็กหนุ่ม
บุรุษเรืองแสงยืนอยู่ที่ใจกลางกับจ้าวเฟิง ขณะที่แมวขโมยตัวจ้อยอยู่ที่อีกฝั่ง
จากข้อกำหนดนั้น ทั้งสองฝั่งต้องหยดเลือดจำนวนหนึ่งออกมา จากนั้นก็เสร็จสิ้น บุรุษเรืองแสงวาดมือของเขาก่อนที่เลือดของทั้งสองจะสร้างรูปภาพแปลกประหลาดขึ้นกลางอากาศ
ปากของแมวขโมยกระตุกเล็กๆ ทว่ามันมิได้ต่อต้าน บางทีอาจเป็นเพราะมันรู้ว่า เมื่ออยู่เบื้องหน้าหลี่ฝูหลวน แม้มันจะต่อต้านก็ไม่มีประโยชน์ใด
ภาพโลหิตได้ปรากฏขึ้นระหว่างจ้าวเฟิงกับลูกแมวสีเทา และเมื่อหลี่ฝูหลวนโบกมือของเขา คลื่นลึกลับก็ได้พุ่งออกจากภาพนั้นเข้าสู่ร่างของจ้าวเฟิงและแมว
ไม่ช้า เด็กหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงแมวขโมยตัวน้อย
“มันสำเร็จ”
หลี่ฝูหลวนรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ขณะที่เขามองไปยังแมวขโมยตัวสายตาลึกล้ำ เขามิคิดว่ามันจะไปได้ดีสำหรับจ้าวเฟิง
สัญญาเลือดนั้นหมายความว่าแมวขโมยตัวน้อยได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของจ้าวเฟิงอย่างเป็นทางการ และถูกจำกัดโดยผู้เป็นนาย เด็กหนุ่มเองก็ประหลาดใจเช่นกันที่อีกฝ่ายไม่ได้ต่อต้าน กลับกัน บนใบหน้าของมันได้ปรากฏร่องรอย กึ่งยิ้มกึ่งเฉย
“ความปรารถนาข้อที่สองของข้าคือที่มาของผ้าคลุมเงาหยิน และมันสามารถซ่อมได้หรือไม่ หากได้ ทำได้เช่นไร”
ไม่ช้าจ้าวเฟิงก็บอกคำขอข้อที่สองของเขาออกไป
“นี่คือสมบัติโบราณแต่ดึกดำบรรพ์ เป็นอาวุธสนับสนุน มีความสามารถเพิ่มความเร็วและปกปิดกลิ่นอายของคนผู้หนึ่งได้ เนื่องจากมันคือ ‘สมบัติมรดก’ พลังแฝงที่ซ่อนลึกลงไป เจ้าต้องเป็นผู้ปลุกมันขึ้นมาเอง สำหรับเจ้าแล้ว คุณค่าของมันนั้นเหนือกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณนับสิบเท่า” หลี่ฝูหลวนแย้มยิ้มขณะเอ่ยอธิบาย
จ้าวเฟิงพึงพอใจกับคำตอบอย่างมาก
สมบัติมรดกนั้นผู้ที่สามารถใช้ได้คือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณและขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกมันคือของที่สามารถเติบโตได้ตามความแข็งแกร่งของผู้ใช้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับเท่ากันจะสามารถเทียบเคียงได้ พลังของผ้าคลุมจะแตกต่างไปตามความแข็งแกร่งของผู้ใช้