Skip to content

King of Gods 192

King Of Gods

บทที่ 192 : พวกโง่เขลา

จากที่จ้าวเฟิงรู้ มีเพียงเป่ยม่อที่โชคดีได้รับ ‘สมบัติมรดก’ เสื้อสีเขียวทอง

“สมบัติมรดกนั้นไม่ได้ต้องการพลังฝึกตนสูงส่ง ทว่าคำว่า ‘มรดก’ นั้นหมายความว่ามีคนจำนวนเพียงน้อยนิดที่สามารถจะใช้มันได้” หลี่ฝูหลวนเอ่ย

จ้าวเฟิงเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ตัวอย่างเช่น ผ้าคลุมเงาหยินต้องการพลังแห่งสายเลือดของเขา หากเขาไม่มีพลังสายเลือด เขาก็ไม่อาจแม้แต่จะเปิดพลังของมันออก

หากไม่มีเงื่อนไขที่สอดคล้อง สมบัติมรดกนั้นก็ไม่ได้มีค่ามากมายนักแม้ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

จากนั้น หลี่ฝูหลวนได้เอ่ยบอกจ้าวเฟิงถึงวิธีการซ่อมผ้าคลุมเงาหยิน

“การซ่อมผ้าคลุม เจ้าต้องการช่างเหล็กใหญ่ และช่างเหล็กผู้นั้นจำต้องอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อย ทั้งมันยังมีวัสดุที่สำคัญและแทบจะมิหลงเหลืออยู่ในทวีปแห่งนี้ด้วย ส่วนมากข้าสามารถให้พวกเจ้าแลกเปลี่ยน แต่จำนวนแต้มที่ต้องใช้จะสูงกว่าปกติ” หลี่ฝูหลวนเอ่ย

“เท่าใดกัน?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

“การตอบคำถามเจ้าใช้ 200 แต้ม การแลกวัสดุใช้ 500 แต้ม รวมแล้ว 700 แต้ม” บุรุษเรืองแสงตอบ

“ได้ แลกเปลี่ยน!” เด็กหนุ่มตกลงโดยไร้ซึ่งความลังเล

สมบัติมรดก โดยเฉพาะชิ้นที่มีความสามารถพิเศษและลี้ลับ มีค่าเกินกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณสำหรับเขา พึงรู้ว่า การแลกอาวุธชั้นจิตวิญญาณทั่วไปนั้นใช้เพียง 500 แต้มเท่านั้น แต่อาวุธชั้นนี้ มันไร้ประโยชน์สำหรับจ้าวเฟิง นอกเสียจากเมื่อออกไปแล้ว นำไปมอบให้กับสำนักและรับสิ่งของอื่นมาแทน

“เจ้ายังเหลืออีก 1,670 แต้ม”

“ข้าจะใช้แต้มแลกเปลี่ยนอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำหนึ่งชิ้น วิชาชั้นจิตวิญญาณสองวิชา วิชาชั้นมนุษย์ระดับสุดยอดสี่วิชา วิชาชั้นมนุษย์ระดับสูงแปดวิชา…”

จ้าวเฟิงเอ่ยถึงสิ่งของเป็นขบวนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

สิงที่เขาแลก ส่วนมากเป็นวิชา ส่วนการแลกอาวุธชั้นจิตวิญญาณหนึ่งชิ้น เพียงทำไปเป็นพิธี เพื่อดึงดูดความสนใจ

วิชาเหล่านั้น ต่างล้วนเป็นพาหะบรรจุข้อมูล มีทั้งฉากพิเศษ ความหมายมหัศจรรย์

เด็กหนุ่มเปิดดวงตาซ้ายของเขาและคัดลอกวิชาทั้งหมดลงในมิติในดวงตาซ้ายเพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้สึกเศร้ายามที่มอบวิชาทั้งหมดให้กับสำนัก

สำนักจันทร์สลาย

สี่สิบแปดวันได้ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่การทดสอบเริ่มต้นขึ้น ผู้เข้าร่วมการทดสอบส่วนมากได้ออกมาภายในเวลาหนึ่งเดือน

ตั้งแต่ที่เป่ยม่อได้ทำลายสถิติพันปี ทุกสิ่งก็ได้เงียบสงบลง มนุษย์ห้าคนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง นั่งอยู่ด้านนอกตำหนักยอดนภา

ในเวลาสองสามวันที่ผ่านมา พายุได้ก่อตัวขึ้นภายในสำนัก ผู้เข้าร่วมในรุ่นนี้ล้วนมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือตำแหน่งของศิษย์หลัก ในเวลาสองสามวันที่ผ่านมา ลำดับของศิษย์หลักได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง

อย่างแรก หยางก่านได้ทะลวงผ่านเข้าสู่นภาที่หกและครอบครองตำแหน่งหัวหน้าศิษย์

หัวหน้าศิษย์คนเติมนั้นใกล้จะเขาถึงขีดจำกัดอายุ 30 ปี แล้วพ้นสภาพศิษย์ อย่างไรก็ตาม สำนักย่อมไม่เลี้ยงดูรุ่นศิษย์ไปอย่างไม่รู้จบสิ้น หลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ช่วงวัยหนึ่ง พวกเขาจะต้องไปรับตำแหน่งในสังกัดอื่น

ทว่าหยางก่านมิได้รอจนกระทั่งหัวหน้าศิษย์คนเก่าย้ายไป เขาได้เอาชนะอีกฝ่าย ผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งนภาที่หก ในการประลอง

นอกจากหยางก่าน เป่ยม่อ ฉวนเฉิน หลันเสี่ยวหยวนและคนอื่นๆ ต่างแสดงความสามารถได้ดี

โดยเฉพาะเป่ยม่อ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มได้รับมรดกลึกลับภายในการทดสอบ และยามที่เขาออกมา พลังฝึกตนของเขา ก็มั่นคงอยู่ที่นภาที่สี่

สามวันก่อน

เป่ยม่อได้เอาชนะเฉินซิงรุ่ยที่แต่เดิมครองอันดับสองไป! ในการประลองนั้น เด็กหนุ่มสกุลเป่ยได้แสดงความเหนือกว่าของเขาและเอาชนะศิษย์หลักในนภาที่ห้า นอกจากนั้น ฉวนเฉินและหลันเสี่ยวหยวนต่างกลายเป็นศิษย์หลักลำดับที่ห้าและหกตามลำดับ

กระทั่งหลินฟ่านและหลิวเยว่เอ๋อร์ต่างก็เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สาม และมีความสามารถที่จะท้าประลองศิษย์หลัก พวกเขากำลังอยู่ในช่วงสั่งสมพลัง

แม้ว่าตำแหน่งของศิษย์หลักมักจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังจากการทดสอบ แต่มันก็ยังมีให้เห็นได้ยากยิ่ง ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในสิบตำแหน่งศิษย์หลักมากมายเพียงนี้

นอกจากนั้น จ้าวเฟิง คนเสียสติที่ครองอันดับหนึ่งและฝึกฝน ‘ฝ่ามือวายุอัสนี’ ยังคงมิได้ออกมา

สามารถจินตนาการได้เลยว่าสิบตำแหน่งของศิษย์หลักจะเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นกว่าเดิมในเดือนต่อไป ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้สายตาของผู้มากอำนาจในสำนัก

เหล่าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักต่างยินดีที่การแข็งขันระหว่างศิษย์สายในนั้นรุนแรงยิ่ง มันจะช่วยผลักดันศิษย์รุ่นใหม่ทั้งหมด

ณ ทางเข้าตำหนักยอดนถา

เจ้าสำนักและห้าผู้อาวุโสสามารถมองเห็นการประลองระหว่างศิษย์ที่ตำหนักกลางเบื้องล่างได้

“การทดสอบยอดนภาในครานี้อาจผลักดันสำนักจันทร์สลายไปสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง” ดวงตาของเจ้าสำนักปรากฏประกายหลากหลาย

เจ้าสำนักจันทร์สลายดวงตาเปล่งประกาย

เหล่าผู้อาวุโสล้วนผงกศีรษะ พวกเขาคาดหวังต่อศิษย์ของพวกเขาไว้สูงยิ่ง

“ในเวลากว่าพันปีที่ผ่านมา สำนักจันทร์สลายของข้ามักจะเป็นอันดับสุดท้ายหรือรองสุดท้ายในงานสิบสามสำนักพันธมิตรอยู่เสมอ การแข่งขันกระชับมิตรจะเริ่มขึ้นในเวลาอีกครึ่งปี และข้าหวังว่าศิษย์เหล่านี้จะแสดงความสามารถของพวกเขาในเวทีที่ใหญ่กว่านั่น” เจ้าสำนักจันทร์สลายอาจเป็นสตรี ทว่าคำของนางนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตต่อสู้

“ในงานกระชับมิตร อัจฉริยะมีมากดั่งเมฆาโดยแท้ นี่คือโอกาสที่จะเพิ่มความรู้ของพวกเขา ทว่าก่อนหน้านั้น ‘งานสามสำนัก’ สำนักจันทร์เงิน และสำนักวิญญาณจันทร์กำลังใกล้เข้ามา” ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มยิ้มบาง

หลังจากเอ่ยถึง ‘งานสามสำนัก’ สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชัดเจนว่าพวกเขานั้นให้ความสำคัญกับมันมิน้อย

งานสามสำนักนั้นประกอบไปด้วยสำนักวิญญาณจันทร์ สำนักจันทร์เงิน และสำนักจันทร์สลาย

หากคนผู้หนึ่งละเอียดมากพอ เขาก็จะสามารถบอกได้ว่าทั้งสามสำนักล้วนมีคำว่า ‘จันทร์’ ประกอบอยู่ในชื่อ ณ เวลานานมาแล้ว สำนักทั้งสามนั้นได้อยู่ในพรรคเดียวกัน ทว่าด้วยเหตุผลมากมาย พรรคจึงได้แตกสลายลงเป็นสามสำนักซึ่งคือ สำนักวิญญาณจันทร์ สำนักจันทร์เงิน และสำนักจันทร์สลาย

จนกระทั่งบัดนี้ ทั้งสามสำนักก็ยังคงติดต่อกัน

ด้วยทำเลที่ตั้งประหนึ่งเพื่อนบ้าน บวกกับความผูกพันลึกซึ้งทางต้นกำเนิด หลายคราที่พวกเขาได้จับมือกันต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า

แน่นอนว่าในขณะที่พวกเขาเป็นพันธมิตรกันนั้น ทั้งสามสำนักก็ยังมีความขัดแย้ง มีการแข่งขันอย่างประปราย

ทุกๆ ห้าปี จะมี ‘งานสามสำนัก’ และมันก็คืองานที่พวกเขาจะประชันฝีมือกัน

“สำนักวิญญาณจันทร์ได้ส่งคำเชิญมาเมื่อครึ่งเดือนก่อน บอกว่างานสามสำนักจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ ครานี้เราจะทำให้พวกนั้นตกตะลึง” เจ้าสำนักเอ่ยอย่างมั่นใจ

ยามที่เอ่ยถึงงานสามสำนัก ทั้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสหนึ่งก็มักจะขมวดคิ้ว นั่นเป็นเพราะอีกสองสำนักนั้นครองอันดับสี่และเจ็ดในงานสิบสามสำนักพันธมิตรตามลำดับ หมายความว่าทั้งสองนั้น ทรงพลังกว่าสำนักจันทร์สลายหลายช่วงตัว

สำนักจันทร์สลายมักจะครองอันดับสุดท้ายทุกครั้ง เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสมักจะรู้สึกอับอายและไร้เกียรติ

“ข้าหวังว่าครานี้เราจะพลิกกระดาน หรือมิเช่นนั้นข้าคงมิอาจที่จะมีหน้าไปพบกับตาแก่บัดซบพวกนั้นได้” เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากันก่อนจะแย้มยิ้ม

เพียงแค่ยามที่เหล่าผู้อาวุโสกำลังฝันเฟื่องนั้น

วิ้งงง!

แสงได้ส่องวาบที่ทางเข้าของตำหนักยอดนภา

เด็กหนุ่มผมสีครามได้ปรากฏตัวขึ้น

“ในที่สุดข้าก็ออกมา”

จ้าวเฟิงถอนลมหายใจออกมาพร้อมด้วยใบหน้าขาวซีด เขาได้คัดลอกวิชาทั้งหมด ใช้พลังไปจำนวนมาก

การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันได้ทำให้มนุษย์ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งห้ากลับมาจากความนิ่งอึ้ง

ยามที่แสงจางหายไป

จ้าวเฟิงพบว่าดวงตาห้าคู่กำลังจับจ้องมายังเขา

“เจ้าเด็กชั่วร้าย ในที่สุดเจ้าก็ออกมา! คุกเข่าแล้วสารภาพความผิดบาปของเจ้าเสีย!” ผู้อาวุโสเสวี่ยปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวที่แผดเผาหัวใจของเขาออกมา

“จ้าวเฟิง เจ้ารู้ถึงความผิดของเจ้าหรือไม่!” ผู้อาวุโสหยุนไห่ตวาดออกมาพร้อมด้วยแววตาเย็นเยียบ

แม่เฒ่าหลิวเยว่เองก็ยังมุ่นคิ้วเข้าหากัน มิมีความรู้สึกดีใดๆ ต่อเด็กหนุ่มเช่นกัน

กลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ทำให้จ้าวเฟิงยากที่จะหายใจ

ในตอนนั้นเอง

ตูม…

ตำหนักยอดนภาพลันสั่นสะท้าน ก่อนที่สายฟ้ารอบๆ มันจะจางหายไปกว่าครึ่ง จากนั้นกระแสไฟฟ้ารุนแรงจึงกวาดทุกคนออกไป

“ตำหนักยอดนภาปิดลงแล้ว” ผู้อาวุโสหนึ่งอุทานออกมาขณะที่เขาคว้าตัวจ้าวเฟิงและพลิ้วกายลงเบื้องหน้าตำหนักกลางด้านล่าง

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างพลิ้วกายลงที่พื้น การเคลื่อนไหวของตำหนักยอดนภา ทำให้พลังธาตุแห่งฟ้าดินสั่นสะเทือน สร้างความกดดันอันมองไม่เห็น แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณหลายสิบลี้ เรียกความสนใจของคนในสำนักจำนวนมาก

“เจ้าหมอนั่นออกมาแล้วหรือ?”

“ฮึ่ม! เด็กเหลือขอสกุลจ้าว เฝ้ารอเผชิญหน้ากับความกราดเกรี้ยวของทุกคนเถอะ!”

หยางก่าน เป่ยม่อ ฉวนเฉินและคนอื่นๆ ต่างมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป

ภายในห้องโถงมืดหม่นแห่งหนึ่งในสำนัก

“การทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอนั่นมิอาจที่จะหลบเลี่ยงการลงโทษของสำนักไปได้”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังก้องอย่างเกรี้ยวกราดไปทั่วโถงนั้น

ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั่วทั้งสำนักได้ตกสู่ความวุ่นวาย

ร่างหลายร่างมุ่งตรงไปยังตำหนักกลาง

ฉวนเฉิน ลู่หู่ ข่งหยวนอู๋ และคนอื่นๆ ล้วนเอ่ยขอบทลงโทษแก่จ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิง! ไอ้เด็กเหลือขอเลวทราม! เจ้าหลอกข้าแล้วปล้นชัยชนะของข้าไป…”

ใบหน้าของฉวนเฉินนั้นมืดทะมึนยิ่ง ดูราวกับชายหนุ่มต้องการที่จะฉีกกระชากร่างของจ้าวเฟิงเป็นชิ้นๆ

“จ้าวเฟิง เจ้ากล้าเตะข้าลงไปยังนรกในการทดสอบได้เยี่ยงไร? อาจารย์ของข้าคือผู้อาวุโสคุมกฎ เขาย่อมมิอภัยให้เจ้าแน่!” ลู่หู่คำราม

หากมิเป็นเพราะเหล่าผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ เขาอาจจะพุ่งเข้าไปและต่อสู้กับจ้าวเฟิงแล้ว

“ฮึกฮึก… ศิษย์พี่จ้าว! ข้ามิอยากเชื่อเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนั้น! คนผู้หนึ่งมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในการเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาตลอดชั่วชีวิต หากท่านมิเตะข้าลงไปยังนรก บางทีข้าอาจเป็นเช่นศิษย์พี่เป่ยและได้รับมรดกบางอย่าง” ใบหน้าเยาว์วัยของข่งหยวนอู๋เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใสซื่อ

“ฮึ่ม! ข้ามิอยากเชื่อเลยว่าจะมีคนเช่นนี้ในสำนักของเรา!”

ศิษย์สตรีบางคนรู้สึกสงสารขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวสีเทาตัวน้อยขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนหัวไหล่ของจ้าวเฟิงแล้วมองไปยังกลุ่มคนด้วยดวงตาสีดำราวอัญมณีของมัน

เป็นแมวที่น่ารักอันใดเช่นนี้!

ดวงตาของศิษย์สตรีบางคนเปล่งประกายขึ้น

“เป็นแมวนั่นที่ร่วมหัวกับจ้าวเฟิงหลอกข้า!” เป่ยม่อพลันกราดเกรี้ยวขึ้นในทันทีที่เขาเห็นแมวขโมยตัวน้อย

ในยามนี้ ทุกสิ่งล้วนวุ่นวายเมื่อฝูงชนเริ่มเรียกร้องให้จ้าวเฟิงถูกลงโทษ

คิ้วของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวมุ่นเข้าหากัน คนเหล่านี้ล้วนสบถสาปแช่งเขา

ในฐานะของผู้เข้าร่วมการทดสอบอันดับหนึ่งแล้ว เขาจะสามารถยืนอยู่เฉยๆ ได้หรือ?

“พวกโง่เขลา!” จ้าวเฟิงตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดังราวฟ้าผ่า

อันใดนะ!?

สีหน้าของเหล่าศิษย์ได้ตกลงสู่ความอึ้งงัน พวกเขาคงมิเคยคาดคิดว่าคนผู้นี้จะหยิ่งยโสอย่างเปิดเผยเพียงนี้

“อย่าได้ใช้ข้อแก้ตัวอันใดในการปกปิดความไร้ประโยชน์ของพวกเจ้า หากพวกเจ้าแข็งแกร่ง อันดับหนึ่งย่อมมิใช่ข้า” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างจองหองขณะที่กวาดตามองกลุ่มคนด้วยสายตาคมกริบ

เด็กหนุ่มคิดอย่างเย็นชาอยู่ภายในใจ

“นับแต่โบราณจนบัดนี้ มีเพียงผู้ชนะที่ขีดเขียนประวัติศาสตร์”

ผู้ใดครองอันดับหนึ่ง?

ข้า!

ไม่ใช่ตัวตลกเช่นพวกเจ้า!

“เจ้า เจ้า…”

ชั่วพริบตา เหล่าศิษย์ที่กำลังทวงความเป็นธรรม พลันหน้าซีด หมดท่า ไร้คำพูดไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!