Skip to content

King of Gods 204

King Of Gods

บทที่ 204 : วิหารโบราณ

“ถูกแล้ว มีเพียงข้า”

จ้าวเฟิงเหลือบมองไปยังชายชราเคราขาว เขาสามารถคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่ คนผู้หนึ่งควรจะอยู่ในนภาที่ห้าเพื่อที่จะรับภารกิจระดับห้าดาว

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงยังไม่ถึงขั้นนั้น ทั้งยังมาเพียงคนเดียว

“คนดูลาดเลาของพวกนั้นอยู่ในนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ แม้ว่าเราจะไม่ได้เข้าปะทะ ความเสี่ยงก็ยังคงสูงยิ่ง และมันมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นภารกิจระดับหกดาวหรือสูงกว่า” ชายชราเคราขาวเอ่ยเพิ่ม ราวกับต้องการให้เด็กหนุ่มกลับไป

คราแรกเขานั้นคิดว่าสำนักจะให้ความสำคัญกับภารกิจนี้ไว้มากเมื่อมันเกี่ยวข้องกับสำนักอื่น และคงส่งผู้ฝึกตนในนภาที่ห้าสองคนหรือกระทั่งผู้ที่อยู่ในนภาที่หกมาเป็นอย่างน้อย

ทว่าภารกิจนี้ถูกรับโดยผู้ที่เป็นศิษย์รุ่นใหม่ผู้หนึ่ง

“สำนักมีเหตุผลในการที่ส่งข้ามา”

คำของจ้าวเฟิงปรากฏร่องรอยแห่งความมั่นใจขึ้น สร้างความประหลาดใจให้ชายชราเคราขาว เมื่อคิดแล้ว สำนักมักจะไม่อนุญาตให้คนรับภารกิจที่มีดาวสูงกว่าระดับฝึกตน โดยเฉพาะเมื่อภารกิจนั้นทั้งอันตรายและมีผลกระทบเป็นวงกว้างเช่นภารกิจนี้

ทว่าสำนักกลับอนุญาต! นั่นเป็นสิ่งที่น่าเคลือบแคลง

ชายชราเคราขาวมองไปยังจ้าวเฟิงอีกหลายครั้งอย่างช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายนั้นยังเยาว์ ทว่ากลับมีความเยือกเย็นและเด็ดขาดที่ไม่อาจพบเห็นได้ในผู้อื่น

“ข้าต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จภายในสิบวัน” จ้าวเฟิงเอ่ยต่อ

“สิบวัน? นั่นนับว่ายากแล้ว ร่องรอยของสำนักอื่นอยู่ลึกในป่าเมฆาคล้อย การค้นหาร่องรอยของพวกมันนั้นราวกับงมเข็มในมหาสมุทร” ชายชราเคราขาวเอ่ย

“งานสามสำนักกำลังจะเริ่มขึ้น ดังนั้น…”

ด้วยเนตรเทพเจ้าข้างซ้ายนี้ เขาคือที่สุดในด้านการสำรวจ

“งานสามสำนัก?”

ชายชราเคราขาวมองไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป เขาย่อมรู้ว่าการเข้าร่วมงานสามสำนักนั้นหมายถึงสิ่งใด

มันหมายความว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงในบรรดาศิษย์หลักนั้นอยู่ในแนวหน้า

จากนั้น ทั้งสองจึงเริ่มถกเถียงกันเรื่องภารกิจ

ชายชราเคราขาวนำแผนที่ที่มีร่องรอยขีดเขียนไว้ออกมา รอยขีดเขียนเหล่านั้นคือร่องรอยของ ‘สำนักจากแคว้นอื่น’

หืมม?

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าภูมิประเทศในแผนที่นั้นคุ้นเคยต่อเขา

ทันใดนั้น

แผนที่อีกแผ่นหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา

ก่อนหน้ายามที่เขาอยู่ที่ตำหนักกว่านจวิน มันมีภารกิจจัดการโจร และพื้นที่นั้นก็คือสถานที่ที่พวกเขาทำภารกิจ ทว่าเพราะการปรากฏตัวขึ้นของร่างในชุดคลุมลึกลับ ภารกิจจึงจบลงอย่างกะทันหัน ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ร่างในชุดคุลมก็ได้ควบคุมจ้าวสัตว์ปีศาจและนำกองทัพสัตว์อสูรเข้าโจมตีนครหลวงกว่านจวิน

ในครานี้

ร่องรอยได้เริ่มต้นขึ้นจากที่นั่น

“หรือสองสิ่งนี้มีความข้องเกี่ยวกัน?” จ้าวเฟิงเริ่มคิด

เขาไม่รู้ว่าร่างในชุดคลุมนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เพราะในตอนนั้นพลังฝึกตนของเขามีจำกัด ทว่าด้วยสัญชาตญาณแล้ว จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าร่างในชุดคลุมลึกลับนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวเมืองกว่านจวิน

ดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นยังคงทิ้งร่องรอยลึกไว้กับเขา

“เจ้านามอันใด?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน

“ผู้เฒ่านามไป๋หยุนหล่าย แต่ท่านสามารถเรียกข้าว่าผู้เฒ่าเคราขาวได้” ชายชราเคราขาวเอ่ยอย่างกระอักกระอวล

จ้าวเฟิงเพิ่งเพียงจะถามชื่อเขาในยามนี้ หมายความว่าตัวตนของเขานั้นได้ถูกเมินเฉยไปโดยสิ้นเชิงก่อนหน้า

“ผู้เฒ่าเคราขาว ข้าจะทำภารกิจนี้ด้วยตนเองในครานี้” จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง

“แต่…”

ชายชราประหลาดใจ อีกฝ่ายไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขาในภารกิจที่ยากเช่นนี้?

“เจ้าไปได้แล้ว ข้าเคยไปที่นั่นมาก่อน”

จ้าวเฟิงโบกมืออย่างไร้ความอดทน

“ได้ ได้”

ชายชราไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งอื่นใดอีก และหายตัวไปจากสายตา

หลังจากส่งอีกฝ่ายจากไปด้วยสายตาแล้ว รอยยิ้มก็วาดขึ้นบนริมฝีปากของจ้าวเฟิง

ในราตรีเดียวกัน

ทั้งร่างของชายชราเคราขาวและจ้าวเฟิงได้หายไป

ยามค่ำคืน

ร่างของชายชราเคราขาวลอยผ่านอากาศ ออกจากเมืองประกายอรุณไป

“ฮึ่ม! ไอ้เด็กเวรนั่นมิใช่จองหองก็ฉลาดนักที่ไม่ขอความช่วยเหลือจากข้า” ชายชราเอ่ยพึมพำกับตนเองขณะที่มุ่งหน้าตรงไปยังป่าเมฆาคล้อย

หลังจากเข้าไปภายในป่า ความเร็วของชายชรากลับมิได้ลดลง ชัดเจนว่าเขานั้นคุ้นเคยกับพื้นที่เหล่านี้

เขาไม่รู้ว่ามันมีสิ่งที่คล้ายคลึงกับเงาได้ติดตามเขาไป

ฟุ่บ!

ผ้าคลุมพลิ้วไหว เผยให้เห็นร่างกึ่งโปร่งใสร่างหนึ่ง

“เช่นที่คาด” จ้าวเฟิงหัวเราะเย็นชา

ดวงตาซ้ายของเขาสามารถมองเห็นได้ไกลนับร้อยหลา เขาสามารถเห็นได้ว่าปราณแท้ผู้เฒ่าเคราขาวนั้นโคจรแบบใด และโคจรไปที่ใด

หากเพ่งความสนใจมากพอ จ้าวเฟิงกระทั่งมองเห็นอวัยวะภายใน หลังจากเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พลังของดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ประกายแสงสีครามภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขาบัดนี้มีขนาดถึงสี่นิ้วและหมุนวนอย่างต่อเนื่อง หากคนผู้หนึ่งมองอย่างละเอียด พวกเขาจะตระหนักได้ว่าปราณแท้ในส่วนลึกของจุดตันเถียนของชายชราเคราขาวนั้นเป็นสีดำ ต่างจากผู้ฝึกตนทั่วไป

“เขาฝึกฝนวิชามาร ทั้งยังถูกพิษ” จ้าวเฟิงเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน

ไม่มีผู้ใดสามารถหลบซ่อนต่อหน้าเด็กหนุ่มได้ตราบเท่าที่พวกเขามีพลังต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง แน่นอนว่ามันอยู่ภายใต้การที่เขาใช้ดวงตาซ้าย ทว่าในสถานการณ์ปกติเขาจะไม่ทำเช่นนั้น

ทว่าภารกิจนี้ไม่ธรรมดา วิชามารของไป๋หยุนหล่ายนั้นน่าสงสัยเพียงพอ และด้วยความรอบคอบ เขายังได้ตรวจสอบอีกฝ่าย และผลลัพธ์ได้สร้างความตะลึงให้แก่เขา ชัดเจนว่าผู้เฒ่าเคราขาวได้ทรยศสำนักจันทร์สลาย

ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจปล่อยให้ชายชราไปและติดตาม ด้วยพลังฝึกตนของเขาและผ้าคลุมเงาหยิน มันเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเขาในการสะกดรอย

จ้าวเฟิงได้ค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง ความสามารถในการหายตัวของผ้าคลุมเงาหยินในยามค่ำคืนนั้นมากขึ้นสองเท่าในยามค่ำคืน!

แม้ว่าเขาจะไม่ได้โคจรปราณแท้ของเขา ผ้าคลุมก็ยังคงมีพลังหายตัวในระดับหนึ่ง ทำให้เขาสามารถหลอมรวมเข้ากับความมืดมิดได้ดีขึ้น

หลังจากเข้าไปในส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อย ความเร็วของผู้เฒ่าเคราขาวพลันเพิ่มขึ้น

ปราณแท้สีดำหลอมรวมอยู่ภายในร่างกายของชายชรา กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาพลันเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ

ขั้นสุดยอดของนภาที่สาม!

ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ นี่จะเป็นการประหยัดเวลาให้แก่เขา

สองสามชั่วโมงต่อมา

ผู้เฒ่าเคราขาวทะลุผ่านสายน้ำเข้าไป

หืมม!?

ดวงตาของจ้าวเฟิงสว่างวาบ เขาเคยมาที่นี่ก่อนหน้า มันเป็นสถานที่ที่เขาได้พบกับร่างในชุดคลุม

“ดูเหมือนว่าร่องรอยจะอยู่ที่นี่ เหตุใดร่างลึกลับในชุดคลุมนั่นจึงหยุดพวกเราไว้ที่นี่ในยามนั้น และจากนั้นจึงควบคุมกองทัพสัตว์อสูรเข้าโจมตีนครหลวงกว่านจวิน?”

จ้าวเฟิงดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าที่นี่มีปัญหา

หลังจากผ่านสายน้ำไป ความเร็วของผู้เฒ่าเคราขาวก็ลดลง สีหน้าระมัดระวังมากขึ้น การเดินทางได้เริ่มอันตรายมากขึ้นแล้ว

มันมีสัตว์ปีศาจระดับสูงใกล้ๆ และกระทั่งจ้าวสัตว์ปีศาจ หรือที่เรียกอีกชื่อว่าสัตว์อสูรเหยา

สัตว์อสูรเหยานั้นคือสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสัตว์ปีศาจระดับสุดยอด ตัวอย่างเช่น จิ้งจอกมายาที่จ้าวเฟิงได้พบในการทดสอบที่สามารถชักจูงความคิดของศิษย์หลักได้ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือราชาสัตว์อสูรเหยา ราชาเถาวัลย์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ทว่าด้วยดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงและผ้าคลุมเงาหยิน การเดินทางของเขาจึงง่ายดายกว่าชายชราด้านหน้ามากนัก

ทันใดนั้น!

ร่างของผู้เฒ่าเคราขาวพลันหยุดชะงักลง

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ร่างสีดำสองร่างได้ปรากฏขึ้นจากต้นไม้เบื้องหน้า ปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้ฝึกตนในนภาที่สี่และห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณตามลำดับ

“เคราขาว เจ้ากลับมาแล้วหรือ?” หนึ่งในร่างสีดำเอ่ยถามด้วยความระแวดระวังและรอบคอบ

“ข้ามารายงานข่าวว่าสำนักจันทร์สลายได้ส่งศิษย์หลักมาคนหนึ่ง” เคราขาวเอ่ยตอบ

“เหตุใดเจ้าจึงไม่ล่อเขามาที่นี่?” ร่างสีดำอีกร่างหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ไอ้เด็กเวรนั่นจองหองอย่างมาก และต้องการที่จะทำงานคนเดียว” ชายชราหัวเราะในใจ

“ดี! เจ้ากลับไปได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายในการควบคุมศิษย์หลักคนหนึ่ง”

ร่างทั้งสองหลอมรวมเข้ากับความมืดมิดในไม่ช้า

ผู้เฒ่าเคราขาวไม่กล้าที่จะรั้งอยู่และพลันกลับไปยังทิศทางเดิมที่เขามา

ร่างทั้งสองดูเหมือนจะเชี่ยวชาญในการหลบซ่อนอย่างมาก พวกมันหลอมรวมตนเข้ากับความมืดมิดยามราตรี ทว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงยังคงสามารถจับร่างของหนึ่งในสองที่มุ่งหน้าตรงลึกเข้าไปในป่าเมฆาคล้อยได้

“ฮะฮะ สำเร็จ”

จ้าวเฟิงพลันติดตามร่างนั้นไปด้วยความช่วยเหลือจากผ้าคลุมเงาหยิน ร่างสีดำอีกร่างไม่ได้รับรู้ถึงจ้าวเฟิงเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มได้ลอบสะกดรอยตามเขาไป

การไล่ตามได้เริ่มต้นขึ้น

นับแต่นั้น ร่างสีดำได้เคลื่อนผ่านคนอื่นๆ อีกหลายคน และยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกเท่าใด กลิ่นอายเหล่านั้นก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง

วิหารโบราณมืดทึมก็ได้ปรากฏขึ้นภายในค่ายกลลวงตา

หากมิเป็นเพราะดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง เขาย่อมไม่อาจที่จะเห็นค่ายกลหรือวิหารโบราณได้

“หยุด”

บนยอดไม้หน้าวิหารโบราณได้ปรากฏร่างของร่างในชุดคลุมพร้อมด้วยดวงตาสีฟ้าใสคู่หนึ่ง

“เป็นเขา!”

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ

ร่างบนยอดไม้นั้นคือร่างลึกลับในชุดคลุม หลังจากที่ร่างสีดำเอ่ยรายงานไปยังร่างในชุดคลุมเสร็จสิ้นก็จากไป

ร่างในชุดคลุมยืนอยู่บนยอดไม้ กวาดตามองรอบข้างด้วยดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้น

จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังจิตที่กวาดผ่าน เขาพลันโคจรพลังสายเลือดของเขาและใช้ความสามารถในการหายตัวของผ้าคลุมเงาหยินจนถึงขีดสุด

ในเวลานั้น ร่างของเขาก็ราวกับอากาศว่างเปล่า

เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย ร่างในชุดคลุมจึงผงกศีรษะและเงียบงันไป

“เขาไม่เข้าไปภายในวิหารโบราณ? ศิษย์หลักผู้หนึ่งไม่มีความสำคัญมากพอในการรายงานหรือ?”

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน ทว่าร่างลึกลับในชุดคลุมไม่ได้เคลื่อนไหว เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าผลีผลามเพราะอีกฝ่ายได้สร้างความหวาดระแวงที่ไม่อาจอธิบายได้ประการหนึ่งแก่เขา

เขาโคจรดวงตาซ้ายและพยายามตรวจสอบร่างในชุดคลุม

หืมมม?

ร่างในชุดคลุมราวกับรับรู้บางอย่างได้และพลันลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะหันไปมองในทิศทางของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวตะลึงและพลันมองไปทางอื่น จากนั้นเขาจึงรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังจิตที่เข้าโอบล้อมรอบร่างของเขาอีกครั้ง

“ร่างในชุดคลุมนี่ดูจะเชี่ยวชาญในพลังจิตนัก นอกจากนั้น ดวงตาของเขาก็แตกต่างออกไปเช่นกัน” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก

เขามั่นใจว่าเขาได้พบใครบางคนที่มีพลังคล้ายคลึงกับตัวเขา และอีกฝ่ายดูจะเชี่ยวชาญในด้านพลังจิตอย่างมาก ทั้งยังสามารถใช้มันในการควบคุมสัตว์อสูรได้

ในตอนนั้นเอง การปะทะที่มองไม่เห็นก็ได้เริ่มต้นขึ้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!