บทที่ 203 : ขี้ข้า
จ้าวเฟิงไม่ได้คาดหวังว่าเหล่าระดับสูงของตระกูลจ้าวจะรู้เบาะแสของจ้าวหยูเฟ่ย
ก่อนหน้ายามที่ฉวนเฉินและเจ้าเมืองกว่านจวินได้ต่อสู้กัน จ้าวหยูเฟ่ยก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าจ้าวเฟิงได้ค้นหาไปทั่วและพบว่าเด็กสาวนั้นได้ถูกนำตัวไปโดยชายแขนเดียวผู้เป็นปู่
หัวหน้าตระกูล จ้าวเทียนชางเอ่ย
“หากเจ้ามาก่อนหน้านี้สักครึ่งเดือน เจ้าคงจะได้พบหยูเฟ่ย”
ก่อนหน้านี้ครึ่งเดือน?
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง นั่นหมายความว่าจ้าวหยูเฟ่ยได้กลับมาที่นี่
“ยามที่ศิษย์น้องหยูเฟ่ยกลับมา นางนั้นราวกับเทพธิดา กระทั่งชิวเมิ่งอวี๋ สตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณก็ด้อยกว่าในด้านรูปลักษณ์” จ้าวหลินหลงและเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ล้วนถอนหายใจ
เมื่อคิดถึงก่อนหน้า ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคารพนับถือ
“โฮ่? นางทำอันใดกัน?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
จ้าวเทียนชางพลันเอ่ยเล่าเรื่องขึ้น
มันเกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน
จ้าวหยูเฟ่ยได้กลับมายังตระกูลจ้าวเพราะมันเป้นทางผ่าน
ปีต่อมา นางนั้นราวกับเทพธิดา ปีก่อนหน้านางอาจเทียบเท่าได้กับชิวเมิ่งอวี้แล้ว ทว่าบัดนี้ หนึ่งปีต่อมา นางได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ในยามนั้น ศิษย์ผู้หนึ่งจากตระกูลซินได้ถูกสั่งสอนโดยหยูเฟ่ย หลังจากนั้นทั้งผู้อาวุโสจากตระกูลซินและตระกูลชิวล้วนเอ่ยขอแต่งงาน ทว่าพวกเขาล้วนพ่ายแพ้แก่หยูเฟ่ยอย่างง่ายดาย” จ้าวหยูซงถอนหายใจ
ความสามารถของจ้าวหยูเฟ่ยเมื่อครึ่งเดือนก่อนนั้นน่าตื่นตะลึงจนเกินไป แน่นอนว่ามีคนเพียงน้อยนิดที่รู้ หลังจากนั้น ทั้งตระกูลชิวและตระกูลซินต่างเคารพนอบน้อมต่อจ้าวหยูเฟ่ยมากขึ้น
“มิแปลกใจเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็มีข้อสันนิษฐานของตนเอง
มีเพียงยามที่คนผู้หนึ่งเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พวกเขาจึงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
หากเขามิผิดพลาด จ้าวหยูเฟ่ยอาจเข้าร่วมสำนักอื่น จะอย่างไรก็ตาม มันมีสำนักทั้งหมดสิบสามสำนักจากสิบสามแคว้น
ในเวลาวันสองวันต่อมา จ้าวเฟิงยังคงอยู่ที่ตระกูลจ้าว อยู่กับบิดามารดา และมักจะชี้แนะต่อจ้าวหลินหลงกับผู้อื่นในบางครั้ง กระทั่งหัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสยังมาเพื่อขอคำชี้แนะ
จ้าวเฟิงย่อมไม่ปฏิเสธพวกเขา จะอย่างไรที่นี่ก็คือสถานที่ที่เขาได้เติบโตขึ้น
ในวันที่สาม
ตระกูลจ้าวได้รับข่าวร้ายชิ้นหนึ่ง
“อาจารย์ลึกลับของหยู่เทียนฮวาได้มาถึงยังเมืองประกายอรุณแล้ว”
หัวหน้าตระกูล จ้าวเทียนชางลนลานและรีบมาหาเด็กหนุ่ม
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้น
“มีอันใดให้ต้องลนลานกัน? ให้พวกเขามาเถอะ”
พลังที่แท้จริงที่ควบคุมแคว้นเมฆานั้นคือสำนักจันทร์สลาย
สำหรับจ้าวเฟิง นี่คืออาณาเขตของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีพลังฝึกตนสูงส่งกว่าเขา พวกเขาก็ยังต้องระแวดระวัง นอกจากนั้น จากวิชาของหยู่เทียนฮวามันไม่ได้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงนั้น
วันที่สี่
ระดับสูงของตระกูลจ้าวได้ส่งข่าวมาเพิ่ม
“อาจารย์ลึกลับของหยู่เทียนฮวาได้รับการดูแลจากตระกูลชิวและตระกูลซิน”
ข่าวนี้ได้ทำให้หัวหน้าตระกูลและคนอื่นๆ กระทั่งกังวลมากขึ้น
ครึ่งเดือนก่อน จ้าวหยูเฟ่ยได้สร้างความตื่นตะลึงทั้งแก่ตระกูลชิวและตระกูลซิน ทำให้ทั้งสองเสียหน้า
บัดนี้ ทั้งสองตระกูลได้ไปเกาะติดใครบางคนที่อยู่ในหนทางแห่งเซียน
“ฮะฮะ หรือตระกูลชิวและตระกูลซินอยากถูกกำจัดออกไปจากเมืองประกายอรุณ?” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มเจิดจ้า
จากมุมมองของมนุษย์ หนทางเซียนนั้นคือตำนาน ดังนั้นแล้วทั้งสองตระกูลจึงมั่นใจอย่างมากในตอนนี้
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรกันว่าหนทางเซียนนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น?
ในราตรีเดียวกัน
“ไม่ดีแล้ว! ผู้อาวุโสของตระกูลชิวและตระกูลซิน รวมทั้งคนลึกลับผู้หนึ่งได้มายังตระกูลจ้าว!”
ความกระวนกระวายแพร่กระจายไปทั่วในคนระดับสูง
“ให้พวกเขาเข้ามา” จ้าวเฟิงเอ่ยคำสองสามคำออกมาอย่างสบายๆ
ในโถงใหญ่ของตระกูลจ้าว
หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสนั่งอยู่ที่ริมหนึ่ง ทว่ากำลังบังคับฝืนตนเองอย่างมาก
“หัวหน้าตระกูล” จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขึ้น
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดจะพูดหรือ?” จ้าวเทียนชางเต็มไปด้วยความนอบน้อม
“ท่านเคยคิดที่จะทำให้ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลใหญ่เพียงตระกูลเดียวในเมืองประกายอรุณหรือไม่?” จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม
“อันใดนะ!? เจ้าหมายความ…” เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลตะลึงงัน
ความกระหายของจ้าวเฟิงนั้นมีมากมายจนเกินไป การที่จะครอบครองเมืองประกายอรุณ?
“ตระกูลชิวและตระกูลซินล้วนมีพื้นฐานมั่นคง โดยเฉพาะกับตระกูลชิว พวกเขาได้มีความสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง นอกจากนั้น กองกำลังเช่นตำหนักกว่านจวินก็มิต้องการให้มีขั้วอำนาจเดียวที่ควบคุมพื้นที่หนึ่งๆ” จ้าวหยูซงสั่นศีรษะและถอนหายใจ
มันไม่สำคัญว่าตระกูลจ้าวจะแข็งแกร่งหรือไม่ แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านที่รุนแรง
“ตราบเท่าที่ท่านต้องการ ทั้งหมดนี่ไม่อาจหยุดยั้งเราได้”
จ้าวเฟิงหัวเราะและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ในตอนนั้นเอง เสียงของฝีเท้าก็ได้ปรากฏขึ้นจากนอกห้องโถง สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าของฝีเท้าเหล่านั้นกำลังพุ่งเข้ามา
“ผู้ใดกล้าทำร้ายศิษย์ข้า? ออกมารับความตายของเจ้าเสีย” น้ำเสียงล้ำลึกดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่
เสี้ยววินาทีต่อมา กลิ่นอายของผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ปรากฏขึ้น
ตูม!
หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสรู้สึกยากจะหายใจด้วยแรงกดดันมหาศาลนั้น เหล่าผู้มากอำนาจจากตระกูลชิวและตระกูลซินล้อมรอบชายชราเคราขาวเอาไว้ขณะที่เดินเข้ามาในห้องโถง
“ผู้ใดคือจ้าวเฟิง?” ชายชราเคราขาวกวาดตามองไปรอบๆ
ดวงตาของชายชราไปหยุดลงที่ร่างของเด็กหนุ่มที่ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
“เจ้าคือ…”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปยามที่เขาเห็นจ้าวเฟิง เขาสามารถบอกได้ว่ากลิ่นอายของเด็กหนุ่มนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าของเขา
“ฮะฮะ กระทั่งผู้ฝึกตนในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณยังกล้าสร้างปัญหาแก่ข้า?” จ้าวเฟิงหัวเราะก่อนจะสั่นศีรษะ
สีหน้าของชายชราเคราขาวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงขณะที่ปราณแท้ของเขาพุ่งพล่าน
“ไอ้เด็กเหลือขอ! นี่คืออาณาเขตของสำนักจันทร์สลาย เจ้ากล้ามายังที่แห่งนี้และทำเยี่ยงที่เจ้าต้องการได้อย่างไร?”
สำนักจันทร์สลาย?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ชะงักไป
“ไอ้เด็กเหลือขอ กลัวแล้วใช่ไหมล่ะ? ข้าจะไม่สร้างปัญหาแก่เจ้า ตราบเท่าที่เจ้าขอโทษ ข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” ชายชราเคราขาวเอ่ยด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด
แม้ว่าเด็กหนุ่มผมครามผู้นั้นจะมาจากอีกสำนัก เขาก็ต้องเชื่อฟังเพราะนี่คืออาณาเขตของสำนักจันทร์สลาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งตระกูลชิวและตระกูลซินก็มองหน้ากัน ปล่อยไป?
ชายชราเคราขาวกวาดตามองพวกเขาอย่างเย็นชา เด็กเหลือขอเบื้องหน้าเขาอาจมีพลังฝึกตนสูงกว่าเขา เขาต้องการบันไดให้เหยียบลง
หยู่เทียนฮวานั่นเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวที่เขารับ และเขามักใช้อีกฝ่ายในการทำงานให้เป็นหลัก ทว่าการสร้างความขุ่นข้องแก่ผู้ที่อยู่ในหนทางเซียนเพียงเพื่อมัน? ไม่คุ้มค่า
“ฮะฮะ สำนักจันทร์สลาย? เมื่อเห็นว่าเจ้าแก่เพียงใดแล้วแต่ยังคงวิ่งวุ่นไปทั่ว เจ้าอาจจะเป็นขี้ข้าของตำหนักภารกิจนอก” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มเจิดจ้า
“อันใดนะ!? เจ้า…”
สีหน้าของชายชราเคราขาวแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขามิคาดว่าตำแหน่งของเขาจะถูกค้นพบโดยอีกฝ่าย
ถูกแล้ว เขาเป็นเช่นเจ้าเมืองกว่านจวิน ถูกส่งออกมาโดยตำหนักสำนักนอกมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงาน ผู้ที่ถูกส่งออกมานั้นมักจะเป็นเพราะมีความสามารถต่ำ
เจ้าเมืองกว่านจวินและเจ้าเมืองชางตี้ก็เป็นคนเช่นนั้น
“หรือว่าเจ้าเองก็…?”
เหงื่อเย็นเยียบไหลออกจากหน้าผากของชายชรา
เคร้ง!
จ้าวเฟิงหยิบตราหยกออกมาก่อนจะโยนมันลงไปที่พื้น จากนั้นเขาจึงมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ
บนตราหยกนั้นสลักคำว่า ‘真 (หลัก)’ เอาไว้
ศิษย์หลัก!
ใบหน้าของชายชราพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดขณะที่เขารีบร้อนเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“ผู้น้อยมีตา แต่หามีแววไม่ มองมิเห็นเขาไท่”
หลังจากเอ่ยจบ ชายชราก็หยิบตราหยกจากพื้นและยื่นมันคืนแก่จ้าวเฟิง
ในฐานะของคนของตำหนักภารกิจนอก ชายชราเคราขาวไม่อาจที่จะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ก่อนอายุสามสิบปี และศิษย์หลักของศิษย์สายในนั้นคือสิ่งที่เขาไม่มีหวังในการที่จะสัมผัส
แม้ว่าชายชราจะไม่ได้ไปที่สำนักบ่อยนัก เขาก็ยังคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ศิษย์หลักส่วนมากมักจะมีผู้อาวุโสหนุนหลังอยู่ และคนเหล่านิ้มิใช่คนที่เขาจะสามารถสร้างความขุ่นเคืองให้ได้
เมื่อเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนั้น สามตระกูลแห่งเมืองประกายอรุณก็นิ่งอึ้ง
“กะ…เกิดบัดซบอันใดขึ้น?”
ตระกูลชิวและตระกูลซินลนลาน ในขณะที่ตระกูลจ้าวมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความยินดี ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผลลัพธ์จะกลายเป็นเช่นนี้
ผู้ที่ได้รับการเรียกขานว่าจอมยุทธ์ในหนทางแห่งเซียนได้ขอความเมตตาจากจ้าวเฟิง
“ทำลายพลังฝึกตนของคนพวกนั้นซะ นับแต่บัดนี้ เมืองประกายอรุณจะมีเพียงตระกูลจ้าว” จ้าวเฟิงสั่ง
จ้าวหยูเฟ่ยได้แสดงพลังของนางให้ทุกคนเห็นเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว ทว่าคนเหล่านี้ยังมีความคิดที่จะต่อสู้
“ได้ ได้”
ชายชราเคราขาวไม่ได้เศร้าโศกอันใด ในทางกลับกัน เขายินดี นี่คือโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการแก้ไขตนเองของเขา
จากนั้นภาพที่น่าตื่นตะลึงก็เกิดขึ้น ด้วยความเร็วราวสายฟ้า ชายชราเคราขาวได้จัดการระดับสูงของตระกูลชิวและตระกูลซิน ทำลายพลังฝึกตนของทั้งงหมด
นั่นทำให้เหล่าระดับสูงของตระกูลจ้าวต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบ พวกเขาได้เห็นแล้วในที่สุดว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
และคนผู้มีพลังนั่นกลับยินยอมรับคำสั่งจากจ้าวเฟิง
คืนนั้น
ตระกูลชิวและตระกูลซินถูกกำจัดออกจากเมืองประกายอรุณ
เหล่าผู้มากอำนาจของแต่ล่ะตระกูลเกินครึ่งถูกทำลายพลังฝึกตน แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในเมืองประกายอรุณ พวกเขาก็ไม่มีพลังที่จะต่อต้านตระกูลจ้าวได้
ตระกูลชิวได้ออกจากเมืองประกายอรุณและไปยังตระกูลหลักที่เมืองหลวง ในขณะที่ตระกูลซินตัดสินใจมอบความภักดีให้แก่ตระกูลจ้าว
ในค่ำคืนเดียว
สถานการณ์ของทั่วทั้งเมืองประกายอรุณได้แปรเปลี่ยนไป
จ้าวเฟิงและชายชราเคราขาวมองความเป็นไปทั้งหมดอย่างเย็นชา ในสายตาของพวกเขา การรุ่งโรจน์และร่วงหล่นของมนุษย์นั้นเป็นเช่นการเคลื่อนไหวของมดเท่านั้น
“เหตุใดศิษย์ของเจ้าจึงมีวิชามาร? แม้ว่ามันจะเป็นแบบหยาบและเป็นเพียงวิชาขั้นอรรธเซียนก็ตาม” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างสบายๆ
ชายชราเคราขาวเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัว
“วิชานั่นถูกค้นพบโดยข้าในป่าเมฆาคล้อย ทั้งมันยังเป็นสถานที่ที่มีร่องรอยของสำนักอื่น”
“สำนักอื่น? นั่นหมายความว่าเจ้าคือคนที่รายงานเกี่ยวกับภารกิจนั่น?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“ถูกแล้ว เป็นข้าค้นพบร่องรอยของสำนักอื่นที่นี่ เจ้าเมืองกว่านจวินเองก็ให้ความช่วยเหลือ ทว่าคนที่เขาส่งออกไปไม่เคยกลับมา” ชายชราเคราขาวเอ่ยอธิบาย
บังเอิญ?
จ้าวเฟิงประหลาดใจเล็กๆ เขาไม่คิดว่าเจ้าเมืองกว่านจวินจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
“เท่าที่ข้ารู้ ภารกิจนี้มีห้าดาว ท่าน… หรือท่านคือคนที่รับภารกิจนี้?” ชายชราเคราขาวเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง