Skip to content

King of Gods 202

King Of Gods

บทที่ 202 : เบาะแสของจ้าวหยูเฟ่ย

ภายในพื้นที่งานชุมนุม หยู่เทียนฮวาหัวเราะอย่างจองหอง

ในบรรดาตระกูลทั้งสาม ได้เริ่มปรากฏเสียงสบถสาปแช่งขึ้น

เหล่าผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่อยากที่จะเคลื่อนไหว ทว่าพวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จะอย่างไรพวกเขาก็คือคนรุ่นเก่า แม้ว่าพวกเขาจะเอาชนะหยู่เทียนฮวาและคนอื่นๆ ทั้งสามตระกูลก็จะเสียหน้า

“ทุกคนโจมตี!”

เด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งที่โกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุดได้พุ่งเข้าไปหาหยู่เทียนฮวาและคนอื่นๆ

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เพี้ยะ…

ทว่ากระทั่งก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้ พวกเขาก็กระเด็นลอยออกมาจากพลังภายในของหยู่เทียนฮวา ยามเมื่อคนผู้หนึ่งเข้าสู่ขั้นเจ็ดของหนทางผู้ฝึกยุทธ์แล้ว พวกเขาจะสามารถโจมตีผ่านอากาศได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า! อัจฉริยะแห่งเมืองประกายอรุณไร้ประโยชน์ยิ่ง! อยากสู้ด้วยคนมากกว่านี้หรือไม่? เข้ามา! ข้า หยู่เทียนฮวา จะจัดการพวกเจ้าทั้งหมด!”

ยิ่งต่อสู้มากเท่าใด หยู่เทียนฮวาก็ยิ่งจองหองขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มสาวส่วนมากอยู่ที่ขั้นห้าและหกแห่งหนทางผู้ฝึกยุทธ์ และพวกเขาไม่อาจเข้าไปถึงตัวของอีกฝ่ายได้ เพียงในระยะเวลาสั้นๆ อัจฉริยะกว่าสิบคนจากคนรุ่นใหม่ก็ได้กระเด็นลอยออกไป

จ้าวหลินหลงและคนอื่นๆ ขบฟันแน่น เตรียมตัวที่จะโจมตี

“พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ข้าเอง” จ้าวเฟิงถอนหายใจ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งผู้อาวุโสของตระกูลจ้าวก็มิอาจที่จะโจมตีได้ นอกจากนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของหยู่เทียนฮวาผู้อาวุโสทั่วไปในขั้นเจ็ดก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงเสนอตัว ดวงตาของจ้าวหลินหลงและคนอื่นๆ ก็เปล่งประกาย จ้าวเฟิงนั้นคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งเมื่องานชุมนุมครั้งที่แล้ว และได้กลายเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน

เขาคือตำนานภายในเมืองประกายอรุณ

“คนผู้นี้คือผู้ใดกัน?”

“มันคือจ้าวเฟิง! ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งจากปีที่แล้ว เขาอาจมีความสามารถในการต่อกรกับหยู่เทียนฮวา”

หลายคนจดจำจ้าวเฟิงได้

“ศิษย์น้องจ้าว หมอนี่แข็งแกร่งมาก!” ซินเฟยปาดเลือดที่ไหลย้อยออกจากมุมปากก่อนเอ่ยเตือน

หืมม?

หยู่เทียนฮวาและอีกสองคนสังเกตเห็นจ้าวเฟิง

มันคือเด็กหนุ่มตาเดียวผมครามที่ส่งกลิ่นอายอันไม่อาจคาดคำนวณออกมา

รอยยิ้มของหยู่เทียนฮวาจางหายไปพร้อมกับท่าทีจองหอง ดวงตาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมคราม เขารู้สึกว่าทุกการกระทำของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าได้สร้างแรงกดดันแก่เขา

เขาเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้จากอาจารย์ผู้ลึกลับของเขาเท่านั้น นอกจากนั้น ดวงตาของจ้าวเฟิงยังแหลมคมเสียจนราวกับว่ามันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของเขา เพียงแค่ดวงตานั้นก็ได้สร้างแรงกดดันแก่เขาแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ตาเดียว? ไอ้หนู! รูปลักษณ์ของเจ้าอาจทำให้เด็กหวาดกลัวได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปเป็นโจรตาเดียวเสียเล่า?” สองคนข้างกายหยู่เทียนฮวาหัวเราะ

จ้าวเฟิงอาจสวมใส่ที่ปิดตา ทว่ารูปลักษณ์ของเขากลับมิได้เลวร้ายหรืออำมหิต ด้วยความสูงและเรือนผมสีคราม เด็กหนุ่มกลับดูชั่วร้ายเสียมากกว่า

“ไอ้ปัญญาอ่อนสามตัว! ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งในการไสหัวออกไปจากตระกูลจ้าว ข้าจะนับหนึ่งถึงสิบ” ดวงตาของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบและจิตสังหาร

เรือนผมสีครามของเขาพลันพลิ้วไหวไปตามสายลม

หัวใจของผู้ที่ชมมองอยู่สั่นสะท้าน พวกเขาถูกดึงดูดไปโดยจ้าวเฟิงอย่างช่วยไม่ได้

“มันคือกลิ่นอายนั่น…”

ท่าทีธรรมดาของจ้าวเฟิงได้มีสำนึกของสายลม และสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนจากทั้งจ้าวเฟิงและซินอู๋เฮิง

ยอดฝีมือ!

คนผู้นี้ย่อมเป็นยอดฝีมือแน่แท้แล้ว!

หยู่เทียนฮวาและอีกสองคนตะลึงงัน

“สิบ… เก้า…แปด…”จ้าวเฟิงเริ่มนับ

เด็กหนุ่มสาวจากทั้งสามตระกูลกลั้นหายใจ เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา ในตอนนี้ ความเหนือกว่าของเด็กหนุ่มผมครามได้กดดันคู่ต่อสู้เอาไว้

“เขาเท่ชะมัด!”

“เขามีผมที่งดงามเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าอยากจะย้อมผมของข้าเช่นกัน”

หัวใจของเด็กสาวหลายคนเต้นเร็วขึ้น ผมของจ้าวเฟิงนั้นเป็นสีครามบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกสดชื่น

กระทั่งชิวเมิ่งอวี๋ สตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณยังมีความริษยาและสงสัย

“บุรุษจะมีเรือนผมงดงามเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าจดจำได้ว่าผมของเขาเคยเป็นสีดำ…”

“แปด… เจ็ด… หก…”

ดวงตาของจ้าวเฟิงแหลมคมราวใบมีดขณะที่เขาจับจ้องไปยังทั้งสาม

“ไอ้เด็กเวร อย่าได้จองหองนัก!” หยู่เทียนฮวาสบถ

ความจริงแล้ว เขาได้ตะลึงไปกับกลิ่นอายของจ้าวเฟิง ทว่าเขาไม่ต้องการจากไปเช่นนี้ เขาได้เอาชนะอัจฉริยะจากเมืองข้างเคียงทั้งหมด แล้วเขาจะจากไปแบบนี้ต่อหน้าเด็กเวรนี่ได้อย่างไร?

ทว่า เพียงแค่หยู่เทียนฮวาเอ่ยปาก สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป

เสียงของจ้าวเฟิงหยุดลงกะทันหัน

ฟุ่บ!

ในเสี้ยววินาที ร่างของเด็กหนุ่มก็ปรากฏขึ้นข้างกายของทั้งสาม ก่อนที่เขาจะเตะทั้งสามออกไปโดยไร้ซึ่งคำพูดใด

อันใดกัน!?

หมอนั่นยังนับไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ!

ทุกคนประหลาดใจ และทั้งสามคนก็ไม่อาจตอบโต้ได้ทันเวลา

เปรี้ยง!

จ้าวเฟิงเตะหนึ่งในเด็กหนุ่มที่อยู่ในขั้นหก

ตุบ!

เด็กหนุ่มผู้นั้นกรีดร้องออกมาขณะที่ตกลงไปในบ่อน้ำ

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงเตะอีกคนในทันที

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

เด็กหนุ่มคนนั้นโคจรพลังภายในของเขา พยายามจะต่อต้าน

เปรี้ยง!

ความพยายามทั้งหมดของเขาสูญเปล่าเมื่อเขาเองก็ถูกเตะลงไปในบ่อเช่นกัน

ในเสี้ยวพริบตา เด็กหนุ่มสองคนที่มีพลังฝึกตนขั้นหกก็ตกลงไปในบ่อน้ำ

เด็กนี่แปลก!

หยู่เทียนฮวาสบถอยู่ในใจ การกระทำของจ้าวเฟิงนั้นมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้บางอย่าง แม้ว่าเขาจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวนั้น เขาก็ไม่อาจหลบเลี่ยงมันได้

หยู่เทียนฮวาเคยรู้สึกมันได้จากเพียงอาจารย์ของเขา หรือเด็กเวรนี่จะเข้าสู่หนทางแห่งเซียนแล้วเช่นกัน?

ด้วยความรู้สึกตกตะลึง เด็กหนุ่มโคจรพลังภายในของเขาอย่างกราดเกรี้ยว

ทว่า มันไม่อาจจะหยุดยั้งจ้าวเฟิงได้แม้แต่น้อย ประกายแสงสีครามปรากฏขึ้นบนร่างของอีกฝ่าย มันเหนือกว่าพลังภายในของเขา

ไม่ดีแล้ว!

นั่นคือปราณแท้!

มีเพียงผู้ที่อยู่ในหนทางแห่งเซียนเท่านั้นจึงจะมีปราณแท้ได้!

“หยุด!” หยู่เทียนฮวาตวาด

“ทำไมล่ะ?”

ขาของจ้าวเฟิงหยุดลงที่หน้าแผ่นอกของอีกฝ่าย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เจ้ายังนับไม่ถึงศูนย์… เจ้าไม่ทำตามสัญญา!” หยู่เทียนฮวาท้วง

เปรี้ยง!

จ้าวเฟิงส่งร่างของอีกฝ่ายลงไปในบ่อน้ำด้วยการเตะครั้งหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น

“การที่ข้านับหนึ่งถึงสิบนั้นขึ้นอยู่กับการร่วมมือของพวกเจ้า หากเจ้ามีความคิดต่อต้านใดๆ ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต”

ในเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ หยู่เทียนฮวาและคนอื่นๆ ก็ได้ถูกเตะลงน้ำ เหล่าอัจฉริยะจากสามตระกูลอ้าปากค้าง

เหล่าผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่เดาะลิ้น

“ใครก็ได้ไปเอาตัวพวกมันขึ้นมาที” จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง

ไม่ช้า เด็กหนุ่มสาวหลายคนก็ไปนำร่างของทั้งสามขึ้นมาบนฝั่ง

หยู่เทียนฮวาและอีกสองคนโดนเตะโดยจ้าวเฟิงเพียงครั้ง แขนขากลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่อาจกระทั่งเดินเหินได้

“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าครั้งสุดท้ายในการคุกเข่าและขอความเมตตา” จ้าวเฟิงกวาดตามองทั้งสาม

“เป็นไปไม่ได้!”

หยู่เทียนฮวาหัวเราะเย็นเยียบ

“อาจารย์ข้าอยู่ในระดับหนทางแห่งเซียน หากเจ้ากล้าที่จะทำร้ายแม้เพียงเส้นขนหนึ่งของข้า ตระกูลจ้าวจะไร้ซึ่งที่ไปในแคว้นเมฆานี้”

เขายอมรับว่าเขามิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิง ทว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาในการคุกเข่าขอความเมตตา

หนทางเซียน!

สีหน้าของคนรุ่นเก่าแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

“ฮี่ฮี่! เป็นคำพูดจาที่ใหญ่โตอันใดเช่นนี้? ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้ว่าผู้ใดคือนายเหนือหัวที่แท้จริงของแคว้นเมฆานี้” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่วเบา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของหยู่เทียนฮวาก็สั่นสะท้าน หรือเป็นว่าจ้าวเฟิงได้สัมผัสถึงระดับนั้นแล้ว?

“เมื่อเจ้าไม่เชื่อฟัง อย่าได้ถือโทษข้าในการทำลายพลังฝึกตนของพวกเจ้า” จ้าวเฟิงผลักฝ่ามือของเขาไปยังอีกฝ่าย

แคร่ก!

เส้นพลังปราณขอหยู่เทียนฮวาถูกทำลายลงทีล่ะนิ้ว

“หยุด! ข้า…” หยู่เทียนฮวากรีดร้องออกมาและพยายามเอ่ยอ้อนวอน ทว่ามันสายเกินไป

จ้าวเฟิงใช้ปราณแท้เพียงเศษเสี้ยวในการทำลายเส้นพลังปราณและจุดตันเถียนของอีกฝ่าย

ในเวลาเสี้ยวพริบตา หยู่เทียนฮวาก็กลายเป็นเพียงคนไร้ค่า เหล่าผู้ที่มองภาพนั้นรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก

สตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ ชิวเมิ่งอวี้ พลันจดจำได้ว่านางได้พยายามหลอกล่อจ้าวเฟิงเช่นไร เมื่อคิดถึงมันในยามนี้ นางก็ถอนหายใจออกมา

“ข้าขอโทษ! โปรดเมตตา!”

อีกสองคนเริ่มที่จะโขกศีรษะลงกับพื้น

“บัดนี้ไสหัวไป! ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนแล้ว หากกล้าต่อต้าน…”

“ได้ ได้ ได้!”

เด็กหนุ่มขั้นหกทั้งสองลากร่างของหยู่เทียนฮวาและพุ่งตัวออกไปจากตระกูลจ้าว

มีเพียงยามที่หยู่เทียนฮวาออกไปจากอาณาเขตของตระกูลจ้าว เขาจึงเอ่ยผ่านฟันที่ขบกันแน่นออกมา

“จ้าวเฟิง! รอก่อนเถอะ! อาจารย์ข้าไม่มีทางยกโทษให้เจ้า…”

ก่อนหน้า ทั้งสามมิกล้าที่จะเอ่ยสิ่งใด หยู่เทียนฮวากลัวว่าหากเขาพูดออกไป มันจะกลายเป็นข้ออ้างให้จ้าวเฟิงฆ่าเขา

ภูเขาเบื้องหลังตระกูลจ้าว เหตุการณ์ไม่คาดฝันสุดท้ายได้ถูกจัดการโดยจ้าวเฟิง

อัจฉริยะจากทั่วเมืองประกายอรุณมองไปยังตำนานผู้นี้ด้วยความชื่นชม หวาดกลัว และเคารพ

งานชุมนุมได้เข้าสู่จุดสิ้นสุดแล้ว

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้เข้าร่วมในงานชุมนุม รูปลักษณ์ของเขากลับโดดเด่นเหนือผู้อื่น

ในคืนเดียวกัน

หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสได้จัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อจ้าวเฟิง

ในงานเลี้ยง

จ้าวหลินหลงและคนอื่นๆ โชคดีพอที่จะได้เข้าร่วม และพวกเขามองไปยังวิธีการที่เด็กหนุ่มผมครามถูกปฏิบัติจากหัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสด้วยความรู้สึกซับซ้อน

หัวหน้าตระกูล จ้าวเทียนชาง ตัวกระตุกเล็กๆ เมื่อคิดว่าก่อนหน้าเขาได้ปฏิบัติอย่างย่ำแย่ต่อจ้าวเฟิงเพียงใด หัวใจของเขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้

ด้วยความแข็งแกร่งในยามนี้ของเด็กหนุ่ม มันเป็นเรื่องง่ายที่จะกำจัดเขา

โชคดีที่ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจ้าวหยูซงดูจะมีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเฟิง เป็นผู้อาวุโสผู้นี้ที่รับรู้ถึงความสามารถของจ้าวเฟิงและได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มหลายครั้งครา

ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ลืมเลือนความช่วยเหลือที่เขาได้รับก่อนนั้น เด็กหนุ่มได้ให้ยาชำระไขกระดูกบางส่วนแก่อีกฝ่าย รวมทั้งวิชาขั้นอรรธมนุษย์จำนวนหนึ่ง แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีค่าเท่าใดสำหรับจ้าวเฟิง แต่มันคือสุดยอดสมบัติสำหรับโลกภายนอก

จ้าวหยูซงมีความสุข มีความสุขที่เขานั้นมีดวงตาที่ดี

“หยู่เทียนฮวาดูจะมีอาจารย์ที่อยู่ในหนทางแห่งเซียนอยู่เบื้องหลัง การทำลายพลังฝึกตนของเขานั้น…”

หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสรู้สึกเป็นกังวล

“หนทางเซียน? แล้วเราจะได้รู้กัน” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น

หัวหน้าตระกูลและคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ในระดับสูงเพียงพอที่จะรับรู้ว่าผู้ใดคือผู้ทรงอำนาจที่สุดในแคว้นเมฆานี้

ยามสิ้นสุดงานเลี้ยง จ้าวเฟิงพลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง

“เจ้าหมายถึงจ้าวหยูเฟ่ย?”

หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสสบตากันก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!