บทที่ 201 : งานชุมนุมอัจฉริยะ
ณ เมืองประกายอรุณ ดวงอาทิตย์เพียงลาลับขอบฟ้า ในเพลานั้นผู้คนจำนวนมากจุดไฟในตะเกียงน้ำมันและทยอยปิดร้านรวงลง ขณะที่ผู้คนจำนวนมากเดินสวนกันไปมา เด็กหนุ่มผมครามสวมใส่เสื้อคลุมสีดำเทาผู้หนึ่งกลับเดินเข้าไปภายในเมือง
หากมันเป็นช่วงกลางวัน ลักษณะการแต่งกายของเด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะเป็นจุดสนใจดึงดูดสายตาของใครหลายๆ คน กระทั่งสร้างความหวาดระแวง
ทว่าความมืดมิดได้ปกคลุม ร่างของเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ดูโดดเด่นเพียงนั้น
“เมืองประกายอรุณมิได้เปลี่ยนแปลงมากนักในหนึ่งปี
จ้าวเฟิงพึมพำ
ในเมืองแห่งนี้แทบจะไม่มีใครรู้จักเขาแล้ว
เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อน เด็กหนุ่มนั้นสูงขึ้น ทั้งลักษณะภายนอกและกลิ่นอายยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ยามเมื่อเขาเข้าใกล้บริเวณตระกูลจ้าว ผู้คนก็หนาแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“คนทั่วไปมากมายอยู่หน้าประตูของตระกูลจ้าว”
จ้าวเฟิงแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ในฐานะของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองประกายอรุณ ประตูทางเขาอาณาเขตของพวกเขาควรจะเงียบเชียบ
ในบรรดาผู้ที่รวมตัวกันที่นี่ ส่วนมากเป็นเด็กหนุ่มสาว
“ ‘งานชุมนุมอัจฉริยะ’ ในปีนี้ดูจะไม่ยอดเยี่ยมเช่นปีก่อน ทั้งผู้มีความสามารถเช่นซินอู๋เหินและจ้าวเฟิงล้วนจากเมืองประกายอรุณไปแล้ว”
“สองคนนั้นนับว่าเป็นตำนาน งานชุมนุมปีนี้ถูกจัดขึ้นโดย ‘จ้าวหลินหลง’ แห่งตระกูลจ้าว ทั่วทั้งเมืองประกายอรุณ บัดนี้มิมีผู้ใดนับเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกแล้ว”
“นั่นนับว่ายากที่จะเอ่ย ‘ซินเฟย’ แห่งตระกูลซิได้พัฒนาตนอย่างไม่หยุดยั้ง อาจไม่พ่ายแพ้ต่อจ้าวหลินหลง”
ที่ผู้คนมารวมตัวกันด้านหน้าตระกูลจ้าวเพราะมันคือสถานที่จัดงานงานชุมนุมอัจฉริยะในปีนี้ ทว่ามีเพียงส่วนน้อยที่สามารถเข้าไปและชมดูได้ หากโชคดีก็อาจได้ปะปนเข้าไปในงานอันยิ่งใหญ่ ทว่าส่วนใหญ่ล้มเหลวมิเป็นท่า
แต่มันยังคงมีผู้ที่มีวิชาตัวเบาและสามารถลอบเข้าไปด้านในได้สำเร็จ จะอย่างไรตระกูลจ้าวก็มิได้มีการคุ้มกันหนาแน่นเช่นพระราชวังต้องห้าม
“งานชุมนุมอัจฉริยะ?”
จ้าวเฟิงคำนวณเวลา งานชุมนุมอัจฉริยะจะจัดขึ้นปีละครั้ง และมันคือช่วงเวลานี้พอดี
อีกทั้งการจัดงานชุมนุมอัจฉริยะยังถูกจัดโดยตระกูลหลักทั้งสามโดยมีการหมุนเวียนกันไป
ในงานชุมนุมครั้งก่อน ตระกูลจ้าวได้แสดงความสามารถอย่างเหนือคาดด้วยอัจฉริยะสามคน จ้าวหลินหลง และจ้าวหยูเฟย เขาด้านหลังตระกูลจ้าว เบื้องหน้ามีทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้น ปรากฏศาลามากมายรายล้อมโดยถูกใช้ในงานชุมนุมครั้งนี้ ได้ปรากฏร่างของคนหลายคนขึ้นพร้อมกับผู้ชมที่ไปเฝ้ามอง เด็กหนุ่มสองคนปะทะกันฝั่งทะเลสาบเดียวกัน เสียงให้กำลังใจขึ้นจากผู้ชมดังอยู่เรื่อยๆ เหล่าผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมอัจฉริยะได้ล้วนอยู่ที่ขั้นสี่ของผู้ฝึกยุทธ์เป็นอย่างน้อย ทั้งเสียงที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ไม่ได้เบาเพียงนั้น
มันยังมีผู้อาวุโสจากทั้งสามตระกูลอีกหลายคนที่ปรากฏตัวอยู่ที่นั่น ทั้งหมดล้วนมีพลังฝึกตนถึงขั้นเจ็ดทั้งสิ้น
ศาลาด้านหน้าสุดได้ปรากฏร่างของอัจฉริยะจากตระกูลจ้าวนั่งอยู่จำนวนมาก รวมทั้งจ้าวหาน จ้าวเฟิง จ้าวฉิน และจ้าวหลินหลง
“ศิษย์พี่หลินหลง เกรงว่าในงานชุมนุมนี้จะมิมีผู้ใดสามารถต่อกรกับท่านได้แล้ว”
จ้าวฉินหัวเราะ
“ชิวเมิ่งอวี๋จากตระกูลชิวและซินเฟยจากตระกูลซินนั้นแข็งแกร่งขึ้นจากปีก่อนนัก โดยเฉพาะซินเฟย แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าสู่ขั้นที่หก พลังต่อสู้ของเขาก็โดดเด่น”
จ้าวหลินหลงนั่งอยู่ตรงกลาง ลักษณะท่าทางดูสุขุม เป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก่อนมาก
ด้วยประสบการณ์จากปีที่ผ่านมา ท่าทีของเขาจึงสงบเยือกเย็นขึ้นมาก
ในฐานะของผู้จัดงานชุมนุมปีนี้ เขาจึงไม่อาจไม่มองข้ามหรือละเว้นสิ่งต่างๆ ในการประลองทุกครั้งไปได้
หลังจากทุกการประลอง เขาจะเอ่ยแนะถึงส่วนที่ควรพัฒนา และมักจะถูกต้องทุก ทำให้ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้
เมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ก็ได้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด สองยอดอัจฉริยะ จ้าวหลินหลงและชิวเมิ่งอวี๋ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อทั้งสองได้ประลองยุทธ์กันก็ทำให้ผู้อื่นนั้นยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย
เว้นเสียแต่คนผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มที่มีแผลเป็นเล็กๆ แห่งตระกูลซิน — ซินเฟย
วิชามีดของเขาทั้งคล่องแคล่วซับซ้อน มีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งเขากระทั่งฝึกฝนวิชาระดับสูงจนเข้าสู่ขั้นสุดยอด
ต่อหน้าเขา ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือได้เกินสามกระบวนท่า
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่างานชุมนุมปีนี้ค่อนข้างน่าเบื่อหน่ายกัน?”
จ้าวหานและจ้าวชิ่นสบตากัน
“งานชุมนุมครั้งที่แล้วมีอัจฉริยะถึงห้าคน สามคนในนั้นได้จากที่นี่ไปแล้ว งานชุมนุมในครานี้ย่อมไม่อาจเทียบเคียงกับครั้งก่อนได้” จ้าวฉินถอนหายใจ คนที่ร่วมงานชุมนุมในคราวก่อนล้วนมีความรู้สึกไม่ต่างกัน งานในครั้งนี้มีผู้ความสามารถยอดเยี่ยมที่น้อยลง มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดถึงและอยากให้มันหวนกลับมาอีก
เมื่อคิดถึงงานชุมนุมคราก่อนที่เต็มไปด้วยความสนุกและประหลาดใจ มีความแปรเปลี่ยนตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ
ในครั้งนี้มีเพียงสามคนจ้าวหลินหลง ชิวเมิ่งอวี๋และซินเฟย ที่ยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง
ในบรรดาอัจฉริยะชั้นยอดเหล่านี้ มีจ้าวหลินหลงและชิวเมิ่งอวี๋ที่จัดอยู่ในอันดับครั้งที่แล้วที่นับว่ายังพอเชื่อถือได้ ในที่สุดการแข่งขันก็ดำเนินมาจนถึงจุดสุดยอด จ้าวหลินหลง ชิวเมิ่งอวี๋และซินเฟย เริ่มเข้าร่วมประลอง
มีเพียงพวกเขาทั้งสามที่มีสิทธิที่จะได้รับการเรียกขานว่า ‘ยอดอัจฉริยะ’ คนผู้อื่นล้วนด้อยกว่าโดยสิ้นเชิง
ชิวเมิ่งอวี้กับซินเฟ่ยประลองกันก่อน
ฝ่ายแรกคือสาวงามแห่งเมืองประกายอรุณ ผู้ที่เขาสู่ขั้นที่หกแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
พลังฝึกตนของซินเฟ่ยนั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นห้า และเขามีพลังต่อสู้สูง ทุกเพลงมีดล้วนมีลักษณะเฉพาะ ราวกับได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง
“ซินเฟยผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลบางอย่างจาก ‘ซินอู๋เหิน’ วิชามีดของเขามีความพิเศษอยู่ประการหนึ่ง”
คิ้วของจ้าวชื่อเลิกสูงและจมลึกในห้วงภวังค์
จากระดับของเขานั้นยังไม่สามารถบรรลุถึงขั้น “สำนึกรู้” ได้แม้ว่าจะเป้นเพียงเล็กน้อย
สำนึกรู้นั้นคือการฝึกสัมผัส ฝึกฝนวิชาเซียน เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการฝึกวิชาเซียน
ก่อนหน้า มีเพียงซินอู๋เฮิงและจ้าวเฟิงที่มีสิ่งนี้อยู่ภายในร่าง
ปาดทะลวงเมฆา!
ซินเฟยตวาดออกมาพร้อมกับที่มีดของเขาเปล่งประกายสีแดงก่ำ ดูราวกับว่าสามารถตัดผ่าเมฆาได้
ฉัวะ!
พลังภายในที่ใช้ในการป้องกันของชิวเมิ่งอวี๋ แตกสลายลง มวยผมของนางถูกตัดขาด
การโจมตีครั้งนี้ของซินเฟยยังถือว่าออมมือให้อยู่บ้าง
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าซินเฟ่ยจะชนะได้รวดเร็วเพียงนี้
จากนั้นจึงเป็นการต่อสู้สุดท้ายระหว่างซินเฟ่ยและจ้าวหลินหลง
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองดุเดือดนัก ร่างทั้งสองแยกจากและเข้าปะทะกันจนลอยสูง
จนในที่สุดทั้งสองก็ลอยมาเหนือทะเลสาบ เหยียบย่างบนคลื่นน้ำ เข้าปะทะกัน
เหล่าผู้ชมเดาะลิ้นและเอ่ยชื่นชมอย่างช่วยไม่ได้
เมี้ยว เมี้ยว!
ภายในศาลาของตระกูลจ้าวพลันปรากฏเสียงแมวแปลกประหลาดขึ้น
หืม?
จ้าวชื่อและคนอื่นๆ ที่เพ่งความสนใจไปยังการต่อสู้ได้ยินเสียงนั้น เมื่อย้อนกลับไปมอง สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนไป ผู้ใดกัน?
เด็กหนุ่มผมครามตาเดียวได้ปรากฏตัวขึ้นในศาลาตระกูลจ้าว บนไหล่ปรากฏแมวสีเทาตัวเล็กเท่าฝ่ามือนั่งอยู่
คนผู้นี้ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังพวกเขาโดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ
หากมิเป็นเพราะแมวนั่น พวกเขาก็คงไม่กระทั่งรู้ตัว
“จ้าวหานและจ้าวฉิน มันเป็นเวลาเพียงหนึ่งปี ทว่าพวกเจ้ากลับลืมเลือนข้าไปเสียแล้ว?”
เด็กหนุ่มผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมา
“ เจ้า…….. เจ้าคือจ้าวเฟิง! ”
จ้าวฉินและคนอื่นๆ อุทานออกมาเมื่อพวกเขาจดจำอีกฝ่ายขึ้นได้
“จ้าวเฟิง! เขาคือจ้าวเฟิงผู้นั้น?”
ศาลาของตระกูลจ้าวพลันกลายเป็นวุ่นวายไป กระทั่งดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง
ไม่ช้า คนจำนวนมากขึ้นก็จดจำเด็กหนุ่มผมครามตาเดียวได้
“เมื่อใดกันที่จ้าวเฟิงมีตาเดียว และเมื่อใดกันที่ผมของเขากลายเป็นสีคราม?”
ทุกคนประหลาดใจ
ในตอนนั้นเอง
การต่อสู้เหนือทะเลสาบได้เข้าสู่จุดตัดสิน ทั้งจ้าวหลินหลงและซินเฟ่ยต่างรับการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามคนล่ะครั้ง ทั้งสองผงะถอยพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกจากมุมปาก
รอยบาดลึกถึงกระดูกปรากฏขึ้นบนไหล่ของจ้าวหลินหลง ในขณะที่เขาตกลงไปในน้ำ
“ ข้าชนะแล้ว! ”
ซินเฟ่ยพลิ้วกายลงที่รอมฝั่งทะเลสาบ กวาดมองฝูงชนด้วยสายตาของผู้ชนะ
จ้าวหลินหลงกลับไปยังศาลาด้วยสีหน้าหมองมัว
“เจ้า……”
ทันใดนั้น ดวงตาของจ้าวหลินหลงก็ไปหยุดลงที่เด็กหนุ่มผมครามในศาลา
“จ้าวเฟิง! ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว!”
ดวงตาของซินเฟ่ยสว่างวาบพร้อมกับร่างกายที่ยังคงกระหายการต่อสู้
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผมสีครามผู้นั้น
“ ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว ”
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจ้าวอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ภายในศาลา
จ้าวหลินหลงมีความรู้สึกซับซ้อน น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “จ้าวเฟิง เจ้ากลับมาได้ถูกเวลานัก เจ้าสามารถนำอันดับหนึ่งมาให้ตระกูลจ้าวของเราได้”
“จ้าวเฟิง ข้ายังขาดคู่ต่อสู้ที่แท้จริง”
ซินเฟยท่าทีดุดัน ท้าประลองเด็กหนุ่ม
“ไม่จำเป็น ข้าเพียงผ่านมา”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบางก่อนเอ่ยปฏิเสธ
ด้วยระดับของเขา การเข้าร่วมงานชุมนุมนั้นนับได้เพียงเป็นเช่นผู้ใหญ่รังแกเด็ก แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าคนส่วนมากที่นี่ก็ตาม
ปฏิเสธ?
ทุกคนประหลาดใจ แต่มีเพียงจ้าวหลินหลงที่รับรู้ว่ากลิ่นอายของจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจคำนวณได้ และด้วยความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เป็นระดับพลังที่เหนือไปกว่าเขา
ปึก ฟุ่บ ฟุ่บ
เพียงแค่ซินเฟ่ยจะเอ่ยพูด ร่างหลายร่างก็ได้ลอยมาจากที่ไกลๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า… งานชุมนุมอัจฉริยะแห่งเมืองประกายอรุณน่าผิดหวังยิ่ง!” เด็กหนุ่มทั้งหมดสามคนพลิ้วกายลงบนพื้น ผู้ที่อยู่ตรงกลางสวมใส่อาภรณ์สีดำ ส่งกลิ่นอายของผู้ฝึกตนขั้นสุดยอดของขั้นหกออกมา เด็กหนุ่มสองคนข้างกายเขาเองก็อยู่ในขั้นที่หกเช่นกัน
“ผู้ใด!?”
ผู้คนที่อยู่ในที่นั่นต่างร้องด้วยความตกใจ
“ไม่ดีแล้ว! นี่คืออัจฉริยะจากเมือง ‘เฟิงหลินเฉิง’ เด็กหนุ่มที่อยู่หน้าสุดคือ ‘หยู่เทียนฮวา’ บัดนี้เขาได้เอาชนะคนรุ่นใหม่ในเมืองใกล้ๆ ทั้งหมดลงแล้ว คนรุ่นใหม่มิมีใครกล้าต่อกร”
จ้าวหลินหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
เขาได้ต่อสู้กับหยู่เทียนฮวาผู้นี้เมื่อครึ่งเดือนก่อน และพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายในสิบกระบวนท่า
หยู่เทียนฮวา!
อัจฉริยะที่อยู่ที่นั่นบางคนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“เมืองประกายอรุณ ส่งอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าออกมาและประลองกับข้า!”
หยู่เทียนฮวากวาดตามองฝูงชนอย่างเย็นชา
ซินเฟยหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะพุ่งไปเบื้องหน้า
หยู่เทียนฮวาหัวเราะอย่างเหยียดหยามก่อนจะโบกมือทั้งสองไปเบื้องหน้า กลุ่มแสงสีดำที่ส่งกลิ่นอายปั่นป่วนได้ปรากฏขึ้น
“หืมมม?”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าวิชาของหยู่เทียนฮวานั้นมีลักษณะที่ค่อนไปทางวิชามารประการหนึ่ง
เขาคาดเดาว่าหยู่เทียนฮวาผู้นี้คงได้ฝึกฝนวิชามารขั้นอรรธเซียนที่ไม่สมบูรณ์
เพี้ยะ!
ทั้งสองเข้าปะทะกันหลายครั้ง /ก่อนที่ซินเฟ่ยจะกระเด็นลอยออกไปด้วยหนึ่งฝ่ามือ โลหิตไหลย้อยที่มุมปาก
“นี่เป็นไปได้อย่างไร!? เจ้าไม่ได้อยู่ที่ขั้นหก!” ซินเฟ่ยเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตะลึง ใบหน้าซีด
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ถูกแล้ว! นับว่าเจ้ามีสายตาที่ดี”
หยู่เทียนฮวาหัวเราะก่อนที่พลังภายในสีดำจะปรากฏขึ้นด้วยลักษณะแปลกประหลาด
ขั้นเจ็ดแห่งหนทางผู้ฝึกยุทธ์!
หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่กดทับลงมาบนพวกเขา กระทั่งผู้อาวุโสที่มาดูแลการชุมนี้ก็ตื่นตะลึง จากพลังที่ถูกแสดงออกมาในตอนนี้ของอวี้เทียนหัว ดูเหมือนว่ากระทั่งพวกเขาก็มิใช่คู่มือของอีกฝ่าย
“ผู้ใดต้องการที่จะสู้อีก! เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร? ส่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนออกมาในครั้งเดียว!”
หยู่เทียนฮวาที่ยืนอยู่ตรงกลางหัวเราะเสียงดัง
ในตอนนั้น เหล่าอัจฉริยะแห่งเมืองประกายอรุณล้วนมีสีหน้าน่าเกลียด รู้สึกอับอายและโกรธแค้น
คนเหล่านั้นจงใจมาที่นี่เพื่อที่จะเหยียบย่ำอัจฉริยะทั้งหมดจากเมืองประกายอรุณลงใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา