Skip to content

King of Gods 200

King Of Gods

บทที่ 200 : เหนือกว่าความแข็งแกร่ง

หลังจากการประลองสิ้นสุดลง จ้าวเฟิงก็แทบจะขยับไม่ได้ กล้ามเนื้อของเขาเจ็บแปล๊บ ปราณแท้หมดสิ้น

“ปราณแท้ใช้ในการโจมตีมากกว่าการป้องกัน นอกจากนั้น พลังฝึกตนของเป่ยม่อยังอยู่ที่ขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ หมายความว่าปราณแท้ของเขามีมากกว่าข้า” สีหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

มันเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้นที่สุดเท่าที่เขาเคยมีมาตั้งแต่เข้าร่วมสำนักจันทร์สลาย มันไม่มีผู้ใดที่สู้กับเขาได้ ’เสมอ’ มาก่อน

“เป่ยม่อนับว่าเป็นอัจฉริยะของสำนักจันทร์สลายโดยแท้” จ้าวเฟิงถอนหายใจ

หากทั้งสองยังสู้กันต่อ เขาอาจจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้เนื่องจากปราณแท้ของเขาหมดลง

แน่นอน!

ตั้งแต่เริ่มต้นจนบัดนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้พลังสายเลือดแต่อย่างใด และเขาใช้สายฟ้าเพียงเล็กน้อย

หากเด็กหนุ่มใช้พลังสายเลือด เขาย่อมชนะโดยมิต้องสงสัย ทว่าเขาเลือกที่จะแพ้มากกว่าที่จะทำเช่นนั้น

การสู้จนเสมอเป็นการตัดสินใจที่จะทำตัว ‘อ่อนด้อย’ ของจ้าวเฟิง ทว่าเป่ยม่อนั้นแข็งแกร่งกว่าที่คิด และความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความพ่ายแพ้

“จ้าวเฟิง!” รองหัวหน้าตำหนักหลี่แย้มยิ้มบางก่อนจะเดินตรงไปหาเด็กหนุ่ม

ด้วยประสบการณ์ของเขา เขาสามารถบอกได้ว่าปราณแท้ของอีกฝ่ายนั้นแทบจะหมดสิ้นไป

“รองหัวหน้าตำหนักหลี่”

จ้าวเฟิงยิ้มก่อนจะคารวะอีกฝ่าย เขาคือหนึ่งในคนที่ใส่ใจในตัวของเด็กหนุ่มยามที่เพิ่งเข้าร่วมสำนัก

“จ้าวเฟิง ฝ่ามือวายุอัสนีของเจ้าดูเหมือนจะสมบูรณ์แล้ว?” รองหัวหน้าตำหนักหลี่เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ถูกแล้ว! หลังจากที่ข้าพัฒนา ฝ่ามือวายุอัสนีก็จะไร้ซึ่งอันตรายก่อนที่จะเข้าสู่ระดับหก”

จ้าวเฟิงไม่ได้ปิดบังความจริงนี้

“นั่นหมายความว่าระดับที่สูงที่สุดยังคงมีอันตรายอยู่?”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ในระดับของเขา มีเพียงระดับหกของฝ่ามือวายุอัสนีจึงจะสามารถทำให้เขากระตือรือร้นได้

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างล้ำลึก

“ระดับสูงสุดมีความสามารถในการเรียกมหาอัสนีได้เก้าครั้ง ซึ่งสามารถฆ่าผู้ที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และกระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณก็แท้จริงก็ยังต้องระมัดระวัง มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะไร้ซึ่งความเสี่ยงใด”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่ผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มันเป็นไปไม่ได้ที่วิชาน่ากลัวเช่นนั้นจะไร้ซึ่งความเสี่ยง

คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฝ่ามือวายุอัสนีคือสิ่งนี้ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าว หรืออยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ยังต้องหวาดระแวง

ความจริงแล้ว มันมีอีกอย่างหนึ่งที่จ้าวเฟิงไม่ได้เอ่ยออกไป!

ฝ่ามือวายุอัสนีได้ถูกทำให้สมบูรณ์โดยเขามากกว่าเดิม และบัดนี้มันมีทั้งหมดเจ็ดระดับแทนที่จะเป็นหก

ระดับที่หกนั้นไม่อาจที่จะเรียกเก้ามหาอัสนีได้ แต่มันสามารถเรียกพลังสายฟ้าจากสวรรค์ได้ แม้ว่าระดับหกจะอ่อนด้อยกว่ามาก ความเสี่ยงก็ลดลงเช่นกัน

ระดับเจ็ดนั้นได้ใช้สำนึกรู้จากมรดกอัสนี และเมื่อคนผู้หนึ่งทำได้สำเร็จ พวกเขาก็จะสามารถควบคุมสายฟ้า และกระทั่งเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้

แต่จนบัดนี้ ระดับเจ็ดของจ้าวเฟิงก็เพียงแค่เพิ่งจะเริ่มสร้างเท่านั้น

“อ่าใช่ รองหัวหน้าตำหนักหลี่ ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าหน่อย” จ้าวเฟิงพลันจดจำบางอย่างขึ้นได้

“เจ้าต้องการอันใด?”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่เต็มไปด้วยความนอบน้อมอย่างมาก เขานำจ้าวเฟิงไปยังตำหนักกลางเพื่อพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัว

ศิษย์ทั่วไปไม่อาจได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้

“มีสองสิ่ง อย่างแรกข้าต้องการที่จะสร้างภารกิจสำนัก”

จ้าวเฟิงเขียนรายชื่อของวัสดุหลายอย่างบนกระดาษ พวกมันล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการซ่อมแซมผ้าคลุมเงาหยิน

แม้ว่าเด็กหนุ่มจะสามารถหาพวกมันได้ด้วยตนเอง มันก็ง่ายกว่าหากจะซื้อพวกมันในเมื่อเขามีเงินมาก

เหล่าระดับสูงในสำนักหลายคนจะสร้างภารกิจขึ้น และจะแลกเปลี่ยนด้วยทรัพยากรที่ศิษย์ต้องการ

จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะสร้างภารกิจขึ้น

รองหัวหน้าหลี่มองไปยังรายชื่อนั้นและรู้สึกประหลาดใจ

“มูลค่าของวัสดุเหล่านี้เมื่อรวมกันนับว่ามากยิ่ง”

“ข้ารู้ มันจะมีค่าเทียบเท่ากับผลึกเริ่มต้นหนึ่งแสนผลึก”

จ้าวเฟิงมิได้ใส่ใจ สำนักได้มอบผนึกเริ่มต้นระดับต่ำให้แก่เขา 8,000 ผลึก ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากัแปดแสนผลึกเริ่มต้นจำลอง

อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้มากที่สุดคือผลึกเริ่มต้นจำลอง และมีเพียงระดับสูงที่แลกเปลี่ยนด้วยผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ

“ได้ ในเมื่อเจ้าได้รับผลึกเริ่มต้นจำนวนมาก ข้าก็สามารถนำภารกิจนี้ใส่ให้เจ้าได้”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่เด็ดขาดอย่างมาก

การที่จะสร้างภารกิจนั้นต้องใช้ผลึกเริ่มต้นและแต้มสนับสนุนจำนวนหนึ่ง มันคือค่าใช้จ่ายในการค้นหาทรัพยากร ไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดแบบให้เปล่า

จากนั้นเด็กหนุ่มจึงบอกรองหัวหน้าตำหนักหลี่ว่าเขาต้องการที่จะกลับบ้าน

“ครึ่งเดือน?”

คิ้วของรองหัวหน้าตำหนักหลี่มุ่นเข้าหากันเล็กๆ มันค่อนข้างนาน สำนักส่วนมากเข้มงวดนัก คนผู้หนึ่งอาจโชคดีได้ลาไปสองสามวัน น้อยกว่าครึ่งเดือนนัก

“ศิษย์ผู้นี้คิดว่าข้าสามารถรับภารกิจทั่วไปภารกิจหนึ่งแล้วกลับบ้านได้ในเวลาเดียวกัน”

จ้าวเฟิงได้คิดเอาไว้หมดแล้ว ครึ่งเดือนเป็นเวลายาวนานเกินไปที่จะลาจริงๆ แต่หากเขาออกไปโดยที่ขึ้นชื่อว่าไป ‘ทำภารกิจ’ ช่วงระยะเวลาก็จะแตกต่างออกไป

“ตำหนักกว่านจวิน? มันมีภารกิจหนึ่งที่นั่น แต่ว่ามันเป็นภารกิจห้าดาว” รองหัวหน้าตำหนักหลี่เอ่ย

ภารกิจห้าดาวนั้นโดยปกติมักใช้ผู้ที่อยู่ในนภาที่ห้า

จ้าวเฟิงมองไปยังข้อมูล ภารกิจนี้คือการสำรวจร่องรอยของสำนักจากอีกพื้นที่หนึ่ง ‘พื้นที่’ นั้นหมายความว่าสำนักนั้นไม่ได้มาจากแค้วนนี้

หากพื้นที่นี้ขยายห่างออกไป มันอาจไม่แม้แต่จะอยู่ในสิบสามแคว้นพันธมิตร

อย่างไรก็ตาม ทวีปนี้นับว่าใหญ่โตเกินไป เพียงแค่ทวีปเหนืออย่างเดียวก็มีสำนักนับล้าน ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าสำนักนี้มาจากที่ใด?

ภารกิจ: สำรวจความเป็นมาของสำนักนี้และประเมินความแข็งแกร่ง หากเป็นไปได้ หาความต้องการของสำนักนั้น

“ไม่มีปัญหา การสำรวจคือจุดเด่นของข้า” จ้าวเฟิงรับภารกิจไปอย่างมั่นใจ

เขาย่อมสามารถสำรวจได้โดยธรรมชาติเพราะดวงตาซ้ายของเขา นอกจากนั้น บัดนี้เขายังมีสมบัติมรดก ผ้าคลุมเงาหยิน มันสามารถลบกลิ่นอายของเขาและทำให้เขาล่องหนได้ ทำให้เขาได้เปรียบในการสืบค้นอย่างที่สุด

หลังจากรับภารกิจ

จ้าวเฟิงเอ่ยลาต่อรองหัวหน้าตำหนักหลี่และมุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโสหนึ่ง

ทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและหยางก่านได้อยู่ที่นั่น หยางก่านได้มาถึงไม่นานนัก และเขาได้เอ่ยรายงานของจ้าวเฟิงแก่ผู้เป็นอาจารย์

“จ้าวเฟิง เจ้าทำเป้าหมายที่ข้ามอบให้เจ้าเสร็จหรือไม่?” ผู้อาวุโสหนึ่งหัวเราะ

“เสร็จแล้วขอรับ”

จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยเรื่องราวว่าเขาท้าประลองศิษย์หลักอย่างไร

เมื่อได้ยินเรื่องราว หยางก่านก็ตะลึง ในเวลาเสี้ยวพริบตา จ้าวเฟิงได้ท้าประลองศิษย์หลักสามคน และเกือบจะเอาชนะศิษย์ของผู้อาวุโสหยุนไห่ทั้งหมดลงได้

“จ้าวเฟิง เจ้ามีความขุ่นแค้นอันใดกับผู้อาวุโสหยุนไห่หรือไม่?” ผู้อาวุโสหนึ่งนิ่งอึ้ง

“ท่านอาจารย์ ข้ามีความแค้นเล็กๆ อยู่จริงๆ”

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงเอ่ยเล่าเกี่ยวกับเจ้าเมืองกว่านจวินให้กับผู้เป็นอาจารย์ มันไม่ได้มีความลับอันใดมากมาย และเด็กหนุ่มต้องการที่จะเล่าให้กับอีกฝ่ายฟังนานแล้ว เพื่อที่เจ้าเมืองกว่านจวินจะได้รับการปกป้อง

“มิแปลกใจเลย ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้อาวุโสหยุนไห่ยามยังเยาว์นั้นได้สร้างความขุ่นเคืองแก่ผู้คนจำนวนมาก ทว่าข้าไม่ต้องการให้เจ้าลากความแค้นนี้ให้ยาวนานไปอีก” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย

“ผ่อนคลายเถอะ ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อล้างแค้น ศิษย์มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว และนั่นคือการเหนือกว่าผู้อาวุโสหยุนไห่และเอาชนะเขา! เพียงเท่านี้!” จ้าวเฟิงพลันเอ่ยถึงเป้าหมายของเขาออกมา

ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างลึกล้ำ

“หากเพียงเท่านี้ ข้าก็มิมีสิ่งใดจะขัดแย้ง”

เขายังรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่รับศิษย์ผู้นี้เข้ามา มันดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความรู้สึกอย่างมาก หากจ้าวเฟิงสามารถไปถึงจุดนั้นได้จริงๆ เขาจะยินดียิ่งนัก

“ศิษย์เพียงกังวลว่าผู้อาวุโสหยุนไห่จะไม่ยอมให้ข้าเติบโตและอาจกระทั่งเอื้อมมือไปยังท่านซูหลันและคนอื่นๆ” จ้าวเฟิงเอ่ยถึงความกังวลของเขาในทันที

“ผ่อนคลายเถอะ ด้วยข้าอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสหยุนไห่ย่อมไม่กล้าโจมตีเจ้า ทั้งการนำสหายและครอบครัวเข้ามาข้องเกี่ยวนับเป็นเรื่องต้องห้ามของสำนัก”

ประกายแสงแล่นวูบในแววตาของผู้เป็นอาจารย์

“ทว่าอาจารย์ของเจ้า ข้า ไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวระหว่างการแข่งขันของคนรุ่นใหม่” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยเสริม

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ด้วยอำนาจและพลังของผู้อาวุโสหนึ่ง เขาย่อมไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้เยาว์ได้

เช่นวันนี้ จ้าวเฟิงแทบจะเอาชนะศิษย์ทั้งสามของผู้อาวุโสหยุนไห่ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว

ด้วยคำสัญญาของผู้อาวุโสหนึ่ง ไม่มีผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับเขาที่จะได้รับผลกระทบ จ้าวเฟิงไม่มีสิ่งใดที่ต้องเป็นกังวล

“เป้าหมายของผู้อาวุโสหยุนไห่นั้นคือการใช้เป่ยม่อเอาชนะข้า ทว่าเขาไม่รู้ว่าในด้านของพลังที่แท้จริงนั้น เป่ยม่อมิใช้คู่ต่อสู้ของข้า” จ้าวเฟิงคิด

เหตุผลที่เขาไม่เอาชนะเด็กหนุ่มตระกูลเป่ยนั้นเป็นเพราะเขาสามารถใช้อีกฝ่ายมาลับคมตนเองได้

ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังเติบโต เป่ยม่อก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองล้วนได้รับมรดกจากตำหนักยอดนภา

ด้วยเครื่องลับคมที่เยี่ยมยอดเช่นนั้น ผู้อาวุโสหยุนไห่จะไม่ใช้ได้อย่างไร?

ก่อนที่เขาจะจากไป

ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยเตือน

“เจ้าต้องกลับมาในอีกครึ่งเดือนเพื่องานสามสำนัก”

บัดนี้จ้าวเฟิงได้ติดหนึ่งในสามในบรรดาศิษย์หลัก ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งเด็กหนุ่มไม่ให้ไปได้

หลังจากจากผู้เป็นอาจารย์มา จ้าวเฟิงก็จัดเก็บของบางส่วน และนำมันใส่เข้าไปในกำไลมิติของเขา

วันที่สอง

จ้าวเฟิงออกจากสำนักจันทร์สลาย

ในตอนที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็รับรู้ว่าทั้งหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นล้วนเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และกำลังอยู่ระหว่างการเข้าเป็นศิษย์สายใน

เด็กหนุ่มผงกศีรษะ หลังจากกลายเป็นศิษย์สายใน พวกเขาก็จะกลายเป็นศิษย์ที่มีความสำคัญในการเลี้ยงดู และไม่ใช่มดปลวกที่จะสามารถบี้แบนได้ง่ายๆ

ในวันเดียวกับที่จ้าวเฟิงได้จากไป

ผู้อาวุโสหลายคนและเจ้าสำนักรวมตัวกัน

“สำนักวิญญาณจันทร์ได้ส่งคำเชิญมาอีกครั้ง ทุกสำนักมีสิทธิ์เสนอชื่อเพียงสามชื่อเท่านั้นในครานี้” เจ้าสำนักเอ่ยเสียงแผ่ว

“ปกติแล้วมักมีสี่ถึงห้า เหตุใดครานี้จึงน้อยนัก?”

ผู้อาวุโสหยุนไห่ประหลาดใจเล็กๆ

“ข้าได้ยินมาว่าอัจฉริยะจากสำนักจันทร์เงินและสำนักวิญญาณจันทร์นั้นทรงพลังยิ่งในครานี้ คนผู้หนึ่งจากแต่ล่ะสำนักได้รับ ‘มรดก’ หนึ่งอย่างในการทดสอบของพวกเขา” เจ้าสำนักเอ่ยต่อ

สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

ทั้งสำนนักวิญญาณจันทร์และสำนักจันทร์เงินต่างมีศิษย์ที่ได้รับมรดก

โดยปกติแล้ว ทุกๆ หนึ่งร้อยปีหรือราวๆ นั้น จะมีศิษย์เพียงหนึ่งหรือสองคนที่ได้รับมรดก และมรดกก็มิได้ทรงพลังนัก

ทว่าใรครานี้ ทุกสำนักล้วนมีคนผู้หนึ่งที่ได้รับมรดก

การแข่งขันย่อมรุนแรง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!