Skip to content

King of Gods 256

King Of Gods

บทที่ 256 : เด็กดี เด็กดี

จ้าวเฟิงทอดถอนใจ ตัวเขาที่เพิ่งมาใหม่นั้นไม่คุ้นเคยกับทั้งผู้คนและสถานที่ ทำได้เพียงทิ้งนางแอ่นมรกตไว้นอกเมืองก่อน

เด็กหนุ่มวางแผนให้นางแอ่นมรกตบินอยู่ในมวลหมู่เมฆ ด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขา เด็กหนุ่มสามารถเฝ้ามองดูแลมันได้

ในยามนี้ ลุงหลิวได้เอ่ยปากพูดขึ้น “สหาย ตามข้อกำหนดของเมืองต่างๆ นักฝึกสัตว์สามารถนำพาหนะสัตว์วิเศษเข้าเมืองได้”

ไม่ว่าจะเป็นโลกใบไหน หรือกฎนั้นจะเคร่งครัดเพียงใด มันก็จะมีคนจำนวนหนึ่งที่ได้รับข้อยกเว้น

ตัวอย่างเช่น หากเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ แม้ว่าพวกเขาจะขี่สัตว์วิเศษเข้าเมืองก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งได้ นับว่าอยู่เหนือกฎทั้งมวล

นักฝึกสัตว์เองก็อยู่ในกลุ่มพิเศษ พวกเขาหายากยิ่งนักในอาณาจักรนภา

นอกจากนั้นเหล่านักฝึกสัตว์ก็มักจะมีสัตว์ปีศาจจำนวนมาก บางครั้งกระเป๋าสัตว์วิเศษจึงไม่เพียงพอ

สำหรับคนเหล่านี้ จึงมักได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ

“นักฝึกสัตว์?”

หัวหน้าทหารในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมองหน้าจ้าวเฟิงด้วยความสงสัย

น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเคลือบแคลง ชัดเจนว่าไม่เชื่อถือเลยแม้แต่น้อย

เมืองหงหูนั้นเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของอาณาจักรนภา แน่นอนว่าในเมืองย่อมมีนักฝึกสัตว์อยู่ไม่น้อย

แต่นักฝึกสัตว์เหล่านั้นค่อนข้างมีชื่อเสียง เหล่าทหารมักจะรู้จักเป็นเสียส่วนมาก

ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ที่มีผมสีเขียวครามและนัยน์ตาข้างเดียว เมื่อรวมกับหลายๆ สิ่งแล้วทำให้ดูร้ายกาจ ไม่เหมือนกับนักฝึกสัตว์แม้แต่น้อย

“ฮี่ฮี่ เมื่อใดกันที่อาณาเขตเมืองหงหูปรากฏนักฝึกสัตว์ที่อายุน้อยเช่นนี้ ข้าคนสกุลหลิวคงต้องขอคำแนะนำบ้างแล้ว”

เสียงหัวเราะใสกระจ่างดังขึ้น

เพียงแค่เสียงนั้นสิ้นสุดลง ชายหนุ่มในชุดเกราะสีม่วงบนหลังของนกสีเลือดสองหัวก็ได้พุ่งตรงมา

“นายน้อยหลิว”

“หัวหน้าหลิว”

เหล่าทหารและคนอื่นๆ ทำความเคารพในทันที สีหน้าปรากฏความเคารพ

ชายหนุ่มในชุดเกราะสีม่วงนี้มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่ากลิ่นอายบนร่างนั้นเมื่อเทียบกับลุงหลิวแล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง

“ปราณครึ่งจิตวิญญาณ เปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่าหกสิบในร้อยส่วน”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเผยความประหลาดใจออกมา

เพียงเหลือบมองครั้งเดียว ลุงหลิวก็จดจำอีกฝ่ายได้ในทันที “นายน้อยหลิวหยวน”

ชายหนุ่มในชุดเกราะสีม่วงกวาดตามองพวกลุงหลิวทั้งสาม รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยบางอย่าง“พวกเจ้าคือ…”

ลุงหลิวรีบอธิบายถึงสถานะของพวกเขา

“ฮี่ฮี่ เป็นตระกูลหลิวสาขาผู้ดูแลเขตหลินหลานนั่นเอง ข้าเกือบลืมไปเลย… ยามนี้คือช่วงการช่วงชิงตำแหน่งของตระกูลสาขา”

นายน้อยหลินหยวนคิดออกในที่สุด

ในอดีต ลุงหลิวเคยได้มาส่งศิษย์จากตระกูลสาขาและมายังตระกูลหลิวหงหู ในยามนั้นเองที่ได้พบนายน้อยหลิวหยวนผู้นี้

หลังจากแนะนำตัว จ้าวเฟิงก็รู้ว่านายน้อยหลิวหยวนผู้นี้เป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลหลิวในบรรดาคนรุ่นใหม่

“น้องจ้าวเฟิงผู้นี้เป็นนักฝึกสัตว์ที่ตระกูลของข้ารู้จักเมื่อเร็วๆ นี้ และได้เดินทางมาที่เมืองหงหูด้วยกัน…”

ลุงหลิวแนะนำจ้าวเฟิงอย่างจริงจัง

นายน้อยหลิวหยวนผงกศีรษะเล็กๆ ชัดเจนว่าสถานะนักฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงนั้นยังไม่ได้รับการเชื่อถือนัก

นักฝึกสัตว์ที่มีอายุเพียงเท่านี้นับว่าหายากนัก ทั้งการแอบอ้างว่าเป็นนักฝึกสัตว์ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนัก

“ได้พบนักฝึกสัตว์ที่เยาว์วัยเช่นนี้นับเป็นเกียรติแก่หลิวผู้นี้นัก บังเอิญเสียจริงที่ปักษาเพลิงสองเศียรของข้าบัดนี้ได้บ้าคลั่งไป บางครากระทั่งไม่อาจควบคุมได้ มิรู้ว่านักฝึกสัตว์สกุลจ้าวท่านนี้จะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่”

สิ้นเสียงของหลิวหยวน ปักษาเพลิงสองเศียรที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นก็ได้ส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา บนร่างปรากฏเปลวเพลิงขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ

หลิวหยวนได้ ‘ถูกบังคับ’ ให้ลงจากปักษาเพลิงสองเศียรที่กำลังโมโหจนร่วงลงจากหลังของมันสู่พื้น

จ้าวเฟิงเค้นเสียงอยู่ในใจ หลิวหยวนผู้นี้จงใจเล่นปาหี่ ทำให้ ‘ปักษาเพลิงสองเศียร’ โกรธอย่างจงใจ สร้างสถานการณ์มาทดสอบหรือไม่ก็กลั่นแกล้งตัวเขา

ผู้อื่นที่ไม่ทันสังเกตก็จะรู้สึกเหมือนว่าสัตว์พาหนะของหลิวเหยียนนั้นได้บังเอิญบ้าคลั่งขึ้นในครานี้อย่างพอดิบพอดี

พวกลุงหลิวทั้งสามต้องการจะเอ่ยบางอย่าง ทว่ากลับหยุดลงกลางคัน

จะอย่างไรก็ตาม จ้าวเฟิงก็คือนักฝึกสัตว์ ปัญหาเช่นนี้เขาควรจะสามารถแก้ไขได้

นอกจากนั้น พวกเขาเองก็ต้องการใช้โอกาสนี้ในการดูความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงด้วย

“ได้ แต่… ข้าต้องการค่าตอบแทน”

จ้าวเฟิงสีหน้านิ่งเฉย มองไปยังปักษาเพลิงสองเศียรที่บ้าคลั่งอย่างหนัก

ค่าตอบแทน?

ผู้คนมองหน้ากัน จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าพูดจาใหญ่โตมิเบา

ทว่าเหล่าผู้ที่ได้รับการเรียกขานว่านักฝึกสัตว์ย่อมไม่ทำสิ่งใดแบบให้เปล่า

“ตราบเท่าที่เจ้าสามารถทำให้เพลิงน้อยของข้าเชื่องได้ หากเป็นคำขอทั่วไปข้าย่อมทำให้ได้”

ใบหน้าของหลิวหยวนปรากฏความมั่นใจขึ้น

จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขอให้อีกฝ่ายหาที่อยู่ของสตรีสกุลหลิวในทันที

“ไม่มีปัญหา”

หลิวหยวนเอ่ยตอบโดยไร้ซึ่งความลังเล

เพลิงน้อยของเขาได้ถูกทำให้บ้าคลั่งโดยตั้งใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากจ้าวเฟิงสามารถทำให้มันเชื่องได้ก็นับว่าได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์และความสามารถที่มีอยู่จริง

ทว่านักฝึกสัตว์อย่างเป็นทางการนั้น กระทั่งตระกูลหลิวหงหูก็ยังจำเป็นต้องเอาชนะใจเพื่อสร้างความเป็นมิตร ดังนั้นคำขอทั่วไปย่อมสามารถทำให้ได้

จ้าวเฟิงผงกศีรษะก่อนจะค่อยๆ เดินตรงไปยังปักษาเพลิงสองเศียรอย่างเชื่องช้า

ปักษาเพลิงสองเศียรกระพือปีก ปรากฏเปลวไฟสูงกว่าสามหลาขึ้น แสดงความบ้าคลั่งของมันให้แก่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้เห็น

“เด็กดี… เด็กดี…”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ชี้นิ้วหนึ่งออกไปยังปักษาเพลิงสองเศียรแล้ววนเป็นวงกลม

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้เคลื่อนกายไปยังปักษาเพลิงสองเศียรอย่างช้าๆ

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยเองก็ได้อยู่ที่หัวไหล่ของจ้าวเฟิง แยกเขี้ยวขู่ไปยังนกตัวยักษ์อย่างคุกคาม

ปักษาเพลิงสองเศียรนั้นชะงักและไม่ขยับกายแม้แต่น้อย

อย่างแรกคือนิ้วของจ้าวเฟิงที่ได้วาดเป็นวงกลมอย่างต่อเนื่อง ได้ปะปนพลังจิตที่ทำให้เกิดความสงบนิ่งอยู่

จากนั้นจึงเป็นการคุกคามของแมวขโมยตัวน้อยที่มีความเกี่ยวเนื่องกันในระดับหนึ่ง

ในที่สุด

หนึ่งคนหนึ่งแมวได้ไปถึงยังร่างของปักษาเพลิงสองเศียรอย่างปลอดภัย

“เด็กดี… เด็กดี…”

จ้าวเฟิงวางมือของเขาลงไปยังศีรษะของปักษาเพลิงสองเศียรและลูบอย่างแผ่วเบา

มันทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตะลึงงัน

เบื้องหน้าปักษาเพลิงสองเศียรตัวยักษ์ ร่างของจ้าวเฟิงนั้นเล็กราวกับคนแคระ

ทว่าเด็กหนุ่มได้ใช้วิธีการที่ง่ายดายในการปลอบโยนนกยักษ์ตัวนี้

ปักษาเพลิงสองเศียรบัดนี้ได้สงบลงมากแล้ว

หลิวหยวนประหลาดใจ เขาพลันผิวปากครั้งหนึ่ง ทว่าปักษาเพลิงสองเศียรกลับทำเพียงสั่นสะท้านเล็กๆ ไม่มีการตอบสนองที่ชัดเจน

ในยามนี้ จ้าวเฟิงได้ยืนอยู่บนร่างของนกยักษ์แล้ว

“หากไม่มีคำอนุญาตจากข้า ไม่มีผู้ใดสามารถยืนอยู่บนร่างของเพลิงน้อยได้อย่างปลอดภัย ยกเว้นนักฝึกสัตว์”

ดวงตาของหลิวหยวนส่องประกายเจิดจ้า

เมื่อจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยขึ้นไปยืนบนร่างของปักษาเพลิงสองเศียรแล้ว หลิวหยวนก็พบว่าร่างของเพลิงน้อยของเขาได้สั่นสะท้านขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้

“เมี้ยว…. เมี้ยว….”

แมวขโมยตัวน้อยเลียนแบบการเคลื่อนไหวก่อนหน้าของจ้าวเฟิง ลูบศีรษะของเพลิงน้อยด้วยอุ้งเท้าแมวของมันเบาๆ ราวกับกำลังเอ่ยว่า “เด็กดี… เด็กดี…”

สีหน้าขอหลิวหยวน ลุงหลิว และคนอื่นๆ ปรากฏความตะลึงขึ้น

โดยเฉพาะหลิวหยวน ใบหน้าของเขากระตุกอย่างรุนแรง มันคือเพลิงน้อยที่มีนิสัยก้าวร้าวของเขา เมื่อใดกันที่เคยถูกดูถูกเช่นนี้

เจ้าแมวตัวเล็กนั่น กล้าที่จะมาลวนลามเพลิงน้อยของเขาได้อย่างไร

แม้ว่าหลิวหยวนจะรู้สึกโกรธเคืองในใจอยู่บ้าง ใบหน้าของเขาก็ยังคงรักษาความสุภาพเอาไว้ได้ “นายท่านจ้าว ท่านนับว่ามีความสามารถโดยแท้ ข้าหลิวนับถือนัก คำขอของท่านก่อนหน้า หลังจากที่หลิวหยวนกลับตระกูลแล้วจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

“อืม”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กๆ ท่าทีเหมือนนักฝึกสัตว์ยิ่งนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวหยวนและคนอื่นๆ ย่อมต้องระวังการปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี การเอาชนะใจของนักฝึกสัตว์นั้น แม้ว่าจะเป็นตระกูลหลิวหงหูที่เป็นตระกูลใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากนั้น

เมื่อมีหลิวหยวนนำทาง ผู้คนที่เดินอยู่ต่างต้องหลีกทาง ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางใดๆ

จ้าวเฟิงนำนางแอ่นมรกตเข้าไปในเมืองโดยที่ไม่มีผู้ใดห้าม

เมื่อเขาได้ถูกเรียกว่า ‘นักฝึกสัตว์’ แล้วย่อมได้รับสิทธิพิเศษ

นักฝึกสัตว์นั้นต้องทำให้สัตว์เชื่อง ไม่ต้องเอ่ยถึงสัตว์วิเศษของพวกเขาเลย กระทั่งสัตว์พาหนะของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงยังเงียบสงบเป็นพิเศษ

พักหนึ่ง

จ้าวเฟิงที่อยู่ในกลุ่มคนนั้นกลับกลายเป็นแขกคนสำคัญ เข้าไปในตระกูลหลิวหงหู

ในทางกลับกัน พวกลุงหลิวทั้งสามเองก็ได้รับผลพลอยได้ ทั้งหมดได้รับการดูแลที่ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ตระกูลหลิวหงหูกระทั่งส่งผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงออกมารับพวกจ้าวเฟิง

ผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนนี้ได้ต้อนรับจ้าวเฟิงอย่างให้ความสำคัญ และให้สัญญาว่าจะดูแลอย่าง ‘แขกผู้ทรงเกียรติอันดับแรก’

‘แขกผู้ทรงเกียรติ’ นั้นจะได้รับการดูแลเช่นเดียวกับผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลหลิว

ผู้อาวุโสระดับสูงนั้นต้องเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อย ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่า ‘แขกผู้ทรงเกียรติอันดับแรก’ นั้นมีอำนาจมากเพียงใด

“ให้ข้าได้คิดเสียหน่อยเถอะ”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กๆ ไม่ได้คล้อยตามในทันที

เรื่องที่สำคัญที่สุดของเขาในยามนี้คือการส่งจดหมาย ทำภารกิจจากผู้เป็นอาจารย์ให้สำเร็จ

เขาจำได้ว่า อาจารย์เคยบอกว่าคนที่รับจดหมายฉบับนั้นไปจะจัดการทุกอย่างให้เขาเอง

ทว่าหากผู้อาวุโสหนึ่งรู้ว่าบัดนี้จ้าวเฟิงได้กลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติอันดับแรกของตระกูลย่อยแห่งหนึ่งในอาณาจักรนภาอย่างคาดไม่ถึง บางทีเขาอาจจะบอกให้เด็กหนุ่มตอบตกลงในทันทีและไม่ต้องส่งจดหมายอีกต่อไป

เพราะเป้าหมายของผู้อาวุโสหนึ่งนั้นคือการสร้างที่อยู่ให้กับจ้าวเฟิงในอาณาจักรนภา จดหมายนั้นเป็นเพียงหนึ่งในเส้นสายของเขาเท่านั้น

ทว่า

การกลายมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติอันดับหนึ่งของตระกูลหลิวหงหูนับว่ามีสถานะสูงส่งนัก เมื่อเทียบกับการดูแลที่ศิษย์หลักได้รับแล้วนับว่าดีกว่าหลายเท่าตัวนัก

จ้าวเฟิงไม่ต้องการเส้นสายใดๆ เพียงสถานะนักฝึกสัตว์ก็ได้ผลที่ดีเหนือคาด มันเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งไม่รู้

ทว่าแน่นอน

จ้าวเฟิงไม่ได้รับรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้เป็นอาจารย์ ในใจมีเพียงความคิดง่ายๆ ในการส่งจดหมายให้ถึงมือผู้รับที่แท้จริง

“นี่คือตราแห่งหลิวหง น้องจ้าวสามารถไปได้ทุกที่ภายในอาณาเขตตระกูลหลิวหงหู โดยไร้ซึ่งผู้ใดขัดขวาง”

ผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นั้นมิคาดว่าไม่แม้แต่จะไม่พอใจ กลับยื่นตราสัญลักษณ์หนึ่งให้แทน

ตราแห่งหลิวหง?

ลุงหลิวเผยสีหน้าริษยาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ นักฝึกสัตว์ในอาณาจักรนภานั้นได้รับความนิยมมากเกินไป ตระกูลใหญ่ที่ทรงอำนาจจำนวนมากล้วนแข่งขันแย่งชิงกัน

ตราแห่งหลิวหงนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสถานะ ‘แขกผู้ทรงเกียรติ’ ของตระกูลหลิวหงหู

เมื่อมีตราสัญลักษณ์นี้ การอาศัยอยู่ในเมืองหงหูยามนี้จะสะดวกสบายขึ้นมาก

เมื่อจัดการเรื่องของจ้าวเฟิงเสร็จ อีกฝ่ายจึงได้หันไปหาพวกลุงหลิวทั้งสาม

“พวกเจ้ามาทดสอบพรสวรรค์เสียหน่อย”

ผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงกวาดตามองหลิวถิงยวี่และหลิวตงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

“ถิงเอ๋อร์ เร็วเข้า”

ลุงหลิวทั้งคาดหวังและกังวล

ผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นั้นไม่ใช้สิ่งของในการทดสอบ ทำเพียงหลับตาและวางมือลงบนชีพจรของหลิวถิงยวี่

“สายเลือด คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้มีสายเลือดอยู่ในตระกูลหลิวของเรา”

ผู้อาวุโสในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงชะงักไป

บนผิวของหลิวถิงยวี่นั้นได้ปรากฏประกายโลหิตสว่าง คล้ายคลึงกับเงานิล

พลังสายเลือดนั้น กระทั่งผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นในอาณาจักรนภายังหายากนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงสายเลือดของหลิวถิงยวี่เลย นางมีสายเลือดของตระกูลหลิว

ในวันเดียวกัน เรื่องนี้ก็ได้สร้างความตื่นตัวให้กับเหล่าระดับสูงของตระกูลหลิว

หลิวถิงยวี่และหลิวคงเข้าร่วมตระกูลหลิวหงหูได้สำเร็จ แปรเปลี่ยนจากมัจฉาสู่มังกร ได้ก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าว

จ้าวเฟิงได้เป็นพยานให้กับภาพนั้น ในใจทอดถอนใจอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ จดจำถึงยามที่เข้าร่วมตระกูลจ้าวกับจ้าวเสวี่ยก่อนหน้า

ตอนเย็น

จ้าวเฟิงได้พักยังเรือนแขกที่หรูหรา

หลิวหยวนได้รีบส่งสมุดรายชื่อร่องรอยของคน ในนั้นเต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล

ในรายชื่อนั้น ทั้งหมดเป็นชื่อของหลิวฉินซิน

จ้าวเฟิงรู้สึกนับถือขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หลิวหยวนผู้นี้ทำงานได้ดีนัก มันไม่ใช่ความเร็วที่ธรรมดาเลย

“ใช่แล้ว เกือบลืมที่จะแจ้งนายท่านจ้าวเลย องค์หญิงของเมืองหงหูนี้เองก็มีนามว่าหลิวฉินซิน”

หลิวหยวนเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างลังเล

“อืม”

จ้าวเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจ จะอย่างไรจำนวนของผู้ที่มีชื่อเดียวกันนั้นก็มีมากเกินไป

“ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่นางฉินซินผู้นี้จะจัดงานดูตัวขึ้นเร็วๆ นี้”

หลิวหยวนเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยใบหน้าที่แดงซ่านอย่างอับอาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!