Skip to content

King of Gods 257

King Of Gods

บทที่ 257 : เจ้าเมืองหงหู

งานคัดเลือกคู่ครอง?

จ้าวเฟิงนิ่งอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกอับจนซึ่งคำพูด สั่นศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า

อาณาจักรนภานั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ผู้คนที่มีนามว่าหลิวฉินซินนั้นย่อมมีมากมายเกินไป

ทว่าบัดนี้ช่างบังเอิญเสียจริง หนึ่งใน ‘หลิวฉินซิน’ กำลังอยู่ในระหว่างการหาคู่ครอง

“บุตรสาวของเจ้าเมืองผู้นี้มีพลังฝึกตนและอายุเท่าใดกัน?”

จ้าวเฟิงคิดว่าโอกาสเป็นไปได้นั้นน้อยนัก ทว่าเพื่อความมั่นใจจึงได้เอ่ยถามขึ้น

ตามหลักเหตุผลแล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าของจดหมายนี้ไม่ควรจะมีพลังฝึกตนและอายุแตกต่างไปจากผู้อาวุโสหนึ่งสักเท่าใด

ทว่าทุกเรื่องไม่มีความแน่นอน

เมื่อคนผู้หนึ่งได้เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกเขาจะมีช่วงชีวิตหลายร้อยปี ไม่อาจใช้ความคิดทั่วไปมาตัดสินได้ คนที่อายุหลายร้อยปีอาจมีรูปลักษณ์ราวผู้ที่มีอายุเพียง 20 ปีก็เป็นได้

เช่นเดียวกัน ผู้ที่มีพรสวรรค์อันหายาก เพียงอายุ 20 ปีก็สามารถเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้แล้ว

ดังนั้นตราบเท่าที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็อาจมีรูปลักษณ์เช่นคนชราหรือคนหนุ่มสาวก็ได้ หากมีรูปลักาณ์เหล่านั้นก็นับว่าพอเข้าเค้าอยู่บ้าง

เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงมีข้อจำกัดสองอย่าง คือ

หนึ่ง พลังฝึกตนต้องไม่แตกต่างจากผู้เป็นอาจารย์ของเขามาก อย่างน้อยก็ไม่ควรมากกว่าผู้อาวุโสหนึ่งมากนัก

สอง อายุต้องไม่น้อยเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด อย่างน้อยก็ต้องมีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป

นอกจากนี้ ยังมี ข้อกำหนดอื่นๆ เช่น การชมชอบการเดินทาง

ระยะห่างระหว่างอาณาจักรนภาและสิบสามแคว้นนั้นมากมายนัก

หากไม่จำเป็น ก็จะมีเพียงแต่คนที่ชมชอบการเดินทางจึงได้เดินทางออกจากอาณาจักรที่รุ่งเรืองไปยังสถานที่ทุรกันดารเช่นสิบสามแคว้น

“บุตรสาวของเจ้าเมืองผู้นี้ลึกลับนัก โดยมากแล้วมักชมชอบเดินทางไปข้างนอก พลังฝึกตนควรจะอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อย อายุไม่น่าเกิน 20 ปี สำหรับรูปลักษณ์นั้น บ้างก็เอ่ยว่านางคือสตรีที่งดงาม บ้างก็เอ่ยว่ารูปลักษณ์ของนางนั้นอัปลักษณ์อย่างเทียบไม่ได้…”

หลิวหยวนเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“เจ้าเมืองหงหูเองก็เป็นคนตระกูลหลิว เหตุใดเจ้าจึงบอกเกี่ยวอายุ รูปลักษณ์และเรื่องราวอื่นๆ ของนายหญิงของพวกเจ้าได้ไม่ชัดเจนกัน?”

จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ

หากพิจารณาตามเงื่อนไขในการคัดกรอง บุตรสาวเจ้าเมืองผู้นี้ก็นับว่าตรงคุณสมบัติอยู่

หลิวหยวนฝืนยิ้มออกมา “บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองผู้นี้ ไม่เพียงแค่นางที่ลึกลับ กระทั่งมารดาของนางยังลึกลับ เจ้าเมืองหงหูในรุ่นนี้ได้อยู่กับนางเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นนางก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าเจ้าเมืองหงหูนั้นไม่อาจลืมนางได้จึงไม่ได้รับอนุเพิ่มหรือแต่งงานใหม่”

จ้าวเฟิงมุ่นคิ้วเล็กๆ :งานหาคู่ครองของบุตรสาวเจ้าเมืองผู้นี้เดิมก็แปลกประหลาดอยู่แล้วประการหนึ่ง ทั้งข้อมูลส่วนมากไม่ชัดเจน ยากที่จะวิเคราะห์ได้

“งานคัดเลือกคู่ครองนี้จะจัดขึ้นอีกไม่กี่วัน หากนายท่านจ้าวสนใจ ท่านก็สามารถเข้าร่วมได้ เพียงแค่มีอายุไม่เกิน 25 ปีและสามารถเอาชนะคุณหนูหลิวได้ก็อาจได้กลายเป็นบุตรเขยผู้โชคดีผู้นั้น”

หลิวหยวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวหยั่งเชิง

จ้าวเฟิงสั่นศีรษะอย่างแรง งานเลือกคู่ครอง? เขาไม่มีความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น

ทว่า เขาต้องการเห็นบุตรสาวเจ้าเมืองผู้นั้น ทั้งยังไม่อาจตัดนางออกจากความเป็นไปได้ได้โดยสิ้นเชิง

จากนั้น

เด็กหนุ่มจึงเริ่มอ่านรายชื่อในมือ

บุคคลทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสตรีที่มีนามว่า ‘หลิวฉินซิน’ มีทั้งอายุไม่กี่ปี จนกระทั่งหลายร้อยปี ทั้งหมดได้รับการบันทึกไว้

คนเหล่านี้หลายคนมีสายเลือดตระกูลหลิว ทว่าได้แยกย้ายไปมีชีวิตเป็นของตนเอง

จ้าวเฟิงใช้ข้อกำหนดทั้งสองในการคัดแยกคน ที่สุดแล้วจึงเหลือราวๆ สิบคนที่ตรงตามข้อกำหนด

ในสิบคนนี้ มีสองคนที่พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ล้วนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

“สองคนผู้มีนามฉินซินและอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับว่าไม่ธรรมดาโดยแท้ หนึ่งคือสาวงามฉินแห่งตำหนักดาบ มียศเทียบเท่าผู้อาวุโส อีกหนึ่งคือราชวงศ์ องค์หญิงฉิน”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบอย่างช่วยไม่ได้

หนึ่งราชา สามสำนัก สี่ตระกูล

และตำหนักดาบคือหนึ่งในสามสำนัก

ไม่ว่าจะเป็น ‘ตำหนักดาบ’ หรือ ‘ราชวงศ์’ ต่างก็เป็นหนึ่งในแปดขั้วอำนาจของอาณาจักรนภา

นอกจากนั้น สาวงามฉินและองค์หญิงฉินยังตรงตามข้อกำหนดทั้งในด้านของอายุและพลังฝึกตน

เฮ้อ

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว ขยี้ศีรษะ

ในที่สุดยามนี้ ภารกิจส่งจดหมายของเขาก็ได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

นอกจากสาวงามฉินและองค์หญิงฉินแล้ว หากเขาต้องการพบคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก

จ้าวเฟิงคัดลอกข้อมูลใส่ในสมองของเขาและเริ่มกำหนดลมหายใจเพื่อฟื้นฟูพลังในค่ำคืนนั้น

หลังจากที่เร่งรีบออกจากสิบสามแคว้นจนกระทั่งมาถึงอาณาจักรนภา พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้พัฒนาไปมากนัก ทว่าความเสถียรของพลังนั้นกลับมีมากเป็นพิเศษ

จะเข้าสู่นภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณต้องใช้เวลาหลายวัน แต่ล่ะย่างก้าวล้วนยากลำบาก ทุกครั้งที่จะทะลวงนภาต้องใช้ความพยายามและสิ่งแปลกเปลี่ยนจำนวนมหาศาล

ก่อนหน้าในงานพันธมิตร หากเด็กหนุ่มไม่ได้กินยาปลดวิญญาณ ย่อมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีในการทะลวงเข้าสู่นภาที่เจ็ด นับว่ายากเย็นยิ่งนัก

หลังจากทำลาย ‘ตราผี’ ได้ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ได้ลดลงไปที่นภาที่หก ทว่าเขาไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด

บัดนี้

เด็กหนุ่มได้มาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่นี่มีไอสวรรค์หนาแน่น ทรัพยากรมากมาย ความเร็วในการฝึกตนย่อมเหนือกว่าสิบสามแคว้น

เด็กหนุ่มฝึกฝนพลังลมปราณในค่ำคืนนั้น

วันที่สอง

จ้าวเฟิงไปทักทายพวกลุงหลิวทั้งสาม

ลุงหลิวกำลังเตรียมเดินทางกลับ ใบหน้าแดงซ่าน จะอย่างไรในที่สุดตระกูลสาขาที่เขาอยู่ก็ได้ปรากฏอัจฉริยะที่โดดเด่นขึ้นแล้ว

หลิวถิงยวี่ยังคงไม่ลืมแมวขโมยตัวน้อย นางตัวติดกับมัน เล่นกับมันด้วยความสนุกสนาน

“ข้า ตาแก่ผู้นี้ ต้องเริ่มเดินทางกลับแล้ว ในเมืองหงหูนี้ข้าคงต้องขอรบกวนนายท่านจ้าวดูแลถิงเอ๋อร์และตงเอ๋อร์ด้วย”

ก่อนที่ลุงหลิวจะจากไป ชายชราได้มอบถุงสีเงินซีดให้แก่เด็กหนุ่ม

นี่คือ?

จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ เพียงแค่แตะก็รับรู้ได้ว่ามันคือถุงเก็บสัตว์วิเศษที่มีค่ากว่าแสนผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ

“เป็นเพียงของเล็กน้อย อาจไม่ควรค่าแก่ท่านนัก”

ลุงหลิวเผยรอยยิ้มเจิดจ้า

แม้ว่าผลึกเริ่มต้นแสนผลึกจะนับเป็นจำนวนที่มากมาย ทว่าสำหรับอีกฝ่ายแล้วมันไม่นับเป็นอันใด

ชัดเจนว่าชายชราได้คำนวณเอาไว้แล้ว จ้าวเฟิงนั้นขาดแคลนถุงเก็บสัตว์วิเศษอย่างมาก จะอย่างไรก็ตาม การพานางแอ่นมรกตเดินไปทั่วนั้นก็ไม่สะดวกเป็นอย่างมาก

“ขอบคุณท่านลุงหลิวมาก”

จ้าวเฟิงรับถุงเก็บสัตว์วิเศษมา

ในสถานะปัจจุบันนี้ เขาไม่อาจหาซื้อถุงเก็บสัตว์วิเศษได้จริงๆ

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงรับถุงเก็บสัตว์วิเศษไป ลุงหลิวจึงได้จากไปอย่างยินดี

นักฝึกสัตว์นั้นเป็นที่ได้รับความนิยมในอาณาจักรที่กว้างใหญ่นี้มาก ตระกูลที่ทรงอำนาจไม่ลังเลเพื่อที่จะเอาชนะใจคนเหล่านี้และสร้างสัมพันธ์อันดีเอาไว้

หากจ้าวเฟิงอาศัยอยู่ในเมืองหงหู เขาย่อมกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ย่อมสามารถดูแลพวกหลิวถิงยวี่ทั้งสองได้

จ้าวเฟิงเข้าใจถึงความต้องการของลุงหลิว จากนั้นเขาจึงได้สำรวจถุงเก็บสัตว์เลี้ยง

ถุงเก็บสัตว์เลี้ยงนั้นได้ถูกใช้เพื่อเก็บสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะจึงมีที่ว่างมากพิเศษอยู่ภายใน มันถูกสร้างขึ้นจากค่ายกลที่พิเศษอย่างมาก

ความแตกต่างระหว่างกำไลมิติและถุงเก็บสัตว์วิเศษนั้นคือ ถุงเก็บสัตว์วิเศษจะสามารถเก็บ ‘สิ่งมีชีวิต’ ได้เป็นเวลานานโดยมีพลังงานก่อกำเนิดไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ

ทว่าข้อเสียของมันก็ชัดเจน เนื่องจากช่องว่างภายในถุงเก็บสัตว์วิเศษนั้นใหญ่มาก ความแข็งแกร่งของมันจึงไม่มากนัก ปกติแล้วจึงมักใช้ได้เพียงแค่ราวๆ 10 ปี

กำไลมิตินั้นไม่เป็นเช่นนั้น มันเสถียรอย่างมาก แม้จะผ่านไปหลายร้อยหลายพันปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับสาเหตุที่แมวขโมยตัวน้อยสามารถอาศัยอยู่ในกำไลมิติได้ ทั้งยังสามารถผ่านเข้าออกได้ตามใจนั้น จ้าวเฟิงยังไม่สามารถอธิบายได้

เมื่อมีถุงเก็บสัตว์วิเศษแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้กวักมือเรียกนางแอ่นมรกตให้เข้าไปอยู่ในถุง

แมวขโมยตัวน้อยเองก็ได้ถูกลากลงไปในถุงเก็บสัตว์เลี้ยงเช่นกัน

นอกจากผลึกเริ่มต้นจำนวนหนึ่งและอัญมณีจำนวนมากแล้ว แมวขโมยตัวน้อยยังนำ กระติกเหล้าองุ่นขนาดใหญ่ไปกับมันด้วย

กระติกเหล้าองุ่นนี้เป็นสิ่งที่ได้มาจากแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ มันสามารถสร้างเหล้าขึ้นได้ตัวตนเอง นับว่าลึกลับยิ่งนัก

จ้าวเฟิงมักจะไม่ค่อยได้ดื่มเหล้านั้นนัก บางครั้งเด็กหนุ่มก็ทำเพียงปิดตาข้างหนึ่ง เพราะแมวขโมยตัวน้อยได้ดื่มมันทั้งหมด

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยถูไถตัวของมันเข้ากับใบหน้าของจ้าวเฟิงก่อนเข้าไปในกระเป๋าสัตว์วิเศษอย่างตื่นเต้นมีความสุข

ในกระเป๋าสัตว์วิเศษนั้นมีบริเวณโดยรอบหลายสิบหลา

นางแอ่นมรกตและแมวขโมยตัวน้อยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะนกตัวใหญ่ที่ราวกับว่าหวาดกลัวแมวขโมยตัวน้อยอย่างอธิบายไม่ได้

หลังจากที่จัดการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของตนแล้ว

จ้าวเฟิงได้ออกจากตำหนักของตระกูลหลิว ในมือมีตราแห่งหลิวหง ในอาณาเขตของตระกูลหลิวแห่งหงหูสามารถไปได้ทุกที่

ในฐานะของแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลิวแห่งหงหู เพียงเด็กหนุ่มเคลื่อนไหวก็ได้ดึงดูดความสนใจจากตระกูลหลิวซึ่งได้ส่งผู้นำทางมาให้ กระทั่งมีคนคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ

เมื่อได้รับการดูแลและปรนนิบัติเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็กลายเป็นไร้คำพูดไป

จ้าวเฟิงรู้สึกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่าหากตัวเขาไม่มีภารกิจส่งจดหมาย การอาศัยอยู่ที่เมืองหงหูสักช่วงเวลาหนึ่งก็นับว่าไม่เลว

“นายท่านจ้าวจะเข้าร่วมงานเลือกคู่ครองหรือไม่ขอรับ?”

บุคคลที่นำทางจ้าวเฟิง หลิวหยวน เอ่ยขึ้นอย่างกลั่นแกล้ง

หลิวหยวนนั้นเข้าใจความต้องการของจ้าวเฟิงอย่างชัดเจน งานคัดเลือกคู่ครองขององค์หญิงที่บังเอิญมีนามว่าหลิวฉินซินนั้นทำให้อีกฝ่ายจำเป็นต้องให้ความสนใจ

“ข้าไม่เข้าร่วม แค่ไปดูเท่านั้น”

จ้าวเฟิงรู้สึกอับจนคำพูด

หลิวหยวนทำเพียงหัวเราะและเดินนำไป

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม

เบื้องหน้าตำหนักของเจ้าเมืองได้ปรากฏลานประลองฝีมือที่สร้างขึ้นจากวัสดุสีทองเหลือบแดง ลานประลองนั้นกว่างราวๆ หนึ่งถึงสองร้อยหลา

ใกล้ๆ ลานประลองได้ปรากฏทะเลผู้คนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“งานคัดเลือกคู่ครองมีทั้งหมดเจ็ดวัน วันนี้คือวันสุดท้ายแล้ว ทั้งเมืองหงหูนั้นไม่มีบุรุษคนใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของคุณหนูหลิวได้”

“คุณหนูหลิวผู้นั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก จนกระทั่งปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดสามารถรับมือนางได้เกินสามกระบวนท่า”

เบื้องหน้าตำหนักเจ้าเมืองได้ปรากฏเสียงพูดคุยกันขึ้นอย่างคึกคัก

ในยามนี้

บนลานประลองได้ปรากฏร่างของบุตรสาวเจ้าเมืองที่ลึกลับ บนร่างของนางปรากฏผ้าแพรสีขาวราวหิมะ รูปร่างงดงามราวเทพธิดา รูปลักษณ์เหนือกว่าสาวงามผู้อื่น เพียงแผ่นหลังก็ทำให้ผู้คนลุ่มหลงและเฝ้าฝัน

นางมีผืนผ้าปกปิดใบหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตางดงามใสกระจ่างราวกับบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ เรือนผมสีดำสนิททิ้งตัวสยายราวใบหลิว แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ยังคงเยือกเย็น ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง

แม้จะไม่สามารถเห็นใบหน้าของนางได้ ทว่าบุตรสาวของจ้าวเมืองผู้นี้ก็ได้ทำให้ผู้คนต้องใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นแล้ว

รูปลักษณ์เช่นนั้น ในบรรดาสตรีที่จ้าวเฟิงรู้จักทั้งหมดมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงได้

เขาใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าอย่างไม่ตั้งใจ ลอบมองใบหน้างดงามของอีกฝ่าย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังของดวงตาซ้าย เพียงแค่การจ้องมองทั่วไปก็มีความสามารถในการมองทะลุ

ทว่าสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตกใจนั้นคือผ้าคลุมหน้าที่อีกฝ่ายสวมใส่นั้นได้มีพลังลึกลับบางอย่าง ทำให้เขาไม่อาจมองทะลุผ่านได้

นอกจากนั้นหลิวฉินซินยังราวกับรู้ตัว ดวงตางดงามได้กวาดมอง

แม้ว่าการตอบสนองของจ้าวเฟิงจะรวดเร็ว รั้งสายตากลับในทันที สายตาของบุตรสาวเจ้าเมืองกลับจ้องมองเด็กหนุ่ม ประกายแสงในแววตาเต้นระริก

จะอย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ผมสีเขียวครามตาเดียวของจ้าวเฟิงก็โดดเด่นยิ่งนัก

เพราะว่ามีหลิวหยวนนำทาง จ้าวเฟิงจึงได้นั่งในฝั่งของตำหนักเจ้าเมืองบนที่นั่งผู้ชม

ใจกลางที่นั่งผู้ชมนั้นได้ปรากฏร่างของเจ้าเมืองหงหูนามเว่ยหลานนั่งอยู่ อายุราวๆ 30-40 ปี ดูราวกับบัณฑิตผู้หนึ่ง

“คารวะท่านลุงหลิว”

จะอย่างไรหลิวหยวนก็คือบุตรบุญธรรมของตระกูลหลิว ชายหนุ่มเดินออกไปทักทายและเอ่ยแนะนำตัวจ้าวเฟิงไปด้วย

“อืม”

เจ้าเมืองหงหูผงกศีรษะเล็กๆ เหลือบมองจ้าวเฟิงคราหนึ่ง

จ้าวเฟิงพลันรู้สึกราวกับถูกภูเขาทั้งลูกกดทับ เจ้าเมืองหงหูเพียงเหลือบมองเขาอย่างเฉยเมย ทว่าแทบจะทำให้ปราณแท้ทั่วทั้งร่างของเขาพังทลายลงในเสี้ยววินาที

“เจ้าเมืองหงหูผู้นี้ อย่างน้อยพลังฝึกตนต้องอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้หรือสูงกว่า สามารถเอ่ยได้ว่าทั่วทั้งสิบสามสำนักมิมีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ คารวะผู้เป็นเจ้าเมือง

เจ้าเมืองหงหูปรากฏความชื่นชมในแววตา “นักฝึกสัตว์ที่เยาว์วัยเช่นนี้หายากยิ่งนัก”

จ้าวเฟิงทำได้เพียงทำตัวนอบน้อม

เขาประเมินว่าเจ้าเมืองหงหูนั้นอาจรับรู้ว่าแหล่งปราณจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าผู้อื่น กระทั่งพลังสายเลือดก็อาจถูกค้นพบ

“หึหึ เจ้ามาที่นี่ ย่อมต้องเข้าร่วมการคัดเลือกคู่ครองของลูกสาวข้าเช่นกันใช่ไหม”

เจ้าเมืองหงหูเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จ้าวเฟิงรับรู้ถึงความหมายของมันในทันที เด็กหนุ่มแทบจะสิ้นสติไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!