บทที่ 258 : หาลูกเขย (1)
“…เจ้าคงมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครองของลูกสาวข้าเช่นกัน”
เจ้าเมืองหงหูใบหน้าเจิดจ้าด้วยความสุข ทำให้หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ นับว่าหวาดกลัวสิ่งใดย่อมพบเจอสิ่งนั้น
บัดนี้ เจ้าเมืองหงหู ‘ยืนยัน’ว่าจ้าวเฟิงจะเข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครอง หากเด็กหนุ่มบอกปฏิเสธไปว่า ‘ไม่’ ก็นับว่าเป็นการหักหน้าคนผู้นี้ต่อหน้าผู้คนแล้ว
ในตระกูลหลิวแห่งหงหู เจ้าเมืองหงหูคือบุรุษผู้เป็นที่สุด นับว่าเป็นยอดฝีมือในแนวหน้า ชื่อเสียงกระทั่งเหนือกว่าหัวหน้าตระกูลหลิว
ในบรรดาเจ้าเมืองหงหูทั้งหมด คนจากสกุลหลิวได้สั่นคลอนความเชื่อของผู้คนในทุกด้าน สามารถสร้างความมั่นคงให้กับเมืองหงหูได้ ในบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหมดของเมืองหงหูนั้นไม่ได้มีเพียงตระกูลหลิวเท่านั้น ยังมีอีกสองขั้วอำนาจ
“หึหึ ท่านลุงหลิวสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก บุคคลผู้นี้นามน้องจ้าว เขาเองก็สนใจในงานเลือกคู่ครั้งนี้ด้วยขอรับ”
หลิวหยวนส่งสายตาให้กับจ้าวเฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า
ในสถานการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปฏิเสธต่อหน้าเจ้าเมืองหงหูผู้ยิ่งใหญ่ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้กับตระกูลหลิวทั้งตระกูลแล้ว
จ้าวเฟิงก่นด่าอยู่ในใจ ความรู้สึกหลายอย่างพลุ่งพล่านขึ้น
ทว่าในยามนี้เขาเปรียบเหมือนผู้ที่ขึ้นมาบนหลังพยัคฆ์แล้วไม่อาจลง ไม่อาจถอยหลังได้ ทำได้เพียงผงกศีรษะเล็กๆ “ข้าสนใจอยู่บ้าง ทว่าเพียงต้องการเห็นใบหน้างดงามของบุตรสาวท่านเจ้าเมืองเสียมากกว่า สำหรับงานคัดเลือกคู่ครองนั้น ผู้เยาว์มิกล้าคาดหวังในความสัมพันธ์เช่นนั้น”
เด็กหนุ่มยังพูดไม่ทันสิ้นคำ ทว่าได้สร้างความชื่นชมขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเมืองหงหู
อีกทั้งประโยคสุดท้ายยังเหลือพื้นที่ไว้ให้ตนเองได้เดินบ้าง
“สหายน้อย ข้ารู้สึกเช่นว่าเราเป็นสหายเก่าแก่แม้เพียงเพิ่งเคยพบหน้า งานคัดเลือกคู่ครองนี้จัดเป็นวันสุดท้ายแล้ว อีกสักพักเจ้าจะต้องขึ้นไปอยู่บนลานประลอง”
เจ้าเมืองหงหูหัวเราะพร้อมพยักหน้าไปด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็แทบจะสิ้นสติไป
เจ้าเมืองหงหูผู้นี้เหตุใดจึงไม่ปล่อยข้าไป?
หลิวหยวนหัวเราะอยู่ในใจ นำจ้าวเฟิงไปยังที่นั่งผู้ชมด้วยกัน
ณ ที่นั่งผู้ชม เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวหดหู่อยู่ในใจ สีหน้าค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ
อีกฝ่าย
เจ้าเมืองหงหูปรากฏรอยยิ้มบางขณะหัวเราะอยู่ในใจ คิดว่า “สามารถเป็นนักฝึกสัตว์ได้ทั้งที่ยังเยาว์วัย มีแหล่งพลังจิตที่ยิ่งใหญ่ กระทั่งมีกลิ่นอายของสายเลือดโบราณ เมื่อเทียบกับสายเลือดของตระกูลหลิวของข้าแล้ว มีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า… อัจฉริยะเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร?”
ที่แท้
เพียงเห็นจ้าวเฟิงครั้งเดียว เจ้าเมืองหงหูก็รับรู้ได้ถึงพรสวรรค์ที่มากมายของเด็กหนุ่ม
พลังฝึกตนของเจ้าเมืองนั้นลึกล้ำมิอาจคาดคำนวณ ทั้งตัวเขายังมีพลังสายเลือด ดังนั้นแล้วเขาย่อมสามารถมองเห็นพรสวรรค์สายเลือดของจ้าวเฟิงได้
นี่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าความรู้สึกก่อนหน้าของจ้าวเฟิงนั้นถูกต้อง
ในอาณาจักรนภา ตระกูลใหญ่ส่วนมากจะมีมรดกสายเลือด ตระกูลใหญ่เหล่านี้จะแต่งงานกันเองเพื่อรักษามรดกสายเลือดเอาไว้ และมักจะเลือกผู้ที่มีพลังสายเลือดเช่นกันเป็นคู่ครอง กระทั่งเลือกผู้ที่มีสายเลือดใกล้เคียงกัน
ผู้ที่มีมรดกสายเลือดเทียบเท่ากับเขาได้นั้นมีเพียงเหล่า ‘ขุนนาง’ ที่มีสถานะสูงกว่าบุคคลทั่วไป
ทว่าขุนนางนั้นมักจะแต่งงานกับขุนนางด้วยกัน
จ้าวเฟิงมีมรดกสายเลือด แหล่งพลังจิตเหนือกว่าผู้อื่นมาก อายุยังน้อยทว่าได้เป็นนักฝึกสัตว์ แน่นอนว่าสายตาของเจ้าเมืองหงหูย่อมต้องจับจ้องไปที่เขา
จ้าวเฟิงที่น่าสงสาร นั่งอยู่ตรงที่นั่งของผู้เข้าชมรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างมาก ทว่าด้วยสติปัญญาของเขา เมื่อครุ่นคิดดูก็เข้าใจสาเหตุที่แท้จริง
“เจ้าเมืองหงหูผู้นี้คงจะไม่บังคับข้าให้แต่งงานกับลูกสาวของเขาใช่หรือไม่”
จ้าวเฟิงสับสนอยู่ภายในใจ
ทว่าความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป เหตุใดเขาจึงไม่ลองเสียเล่า?
ไม่ว่าจะอย่างไร เป้าหมายของเขาก็คือสืบข้อมูลบุตรสาวเจ้าเมืองผู้นี้
ด้วยพลังฝึกตนในนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณของเด็กหนุ่มย่อมไม่สามารถต่อสู้กับผู้ใดได้ เมื่อเขาพ่ายแพ้ก็ย่อมพลาดโอกาสการเป็นบุตรเขยของตระกูลนี้
เมื่อคิดถึงยามนี้ หัวใจของจ้าวเฟิงจึงสงบลงได้
ในยามนี้เอง
บนลานประลองได้ปรากฏชายร่างสูงใหญ่ เรือนผมสีแดง แขนทั้งสองข้างปรากฏไม้เลื้อยสีแดงรัดพัน
“ไม่น่าเชื่อ นั่นคนตระกูลจ้ง เทียนคุ๋ย”
สีหน้าของหลิวหยวนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะจับจ้องไปยังชายผมแดงร่างสูงใหญ่นั้น
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจ้องไปยังแขนทั้งสองของจ้งเทียนคุ๋ย ร่องรอยสีแดงนั้นไม่ใช่รอยสักหรืออันใดเช่นนั้น ทว่าเป็นพลังแห่งสายเลือด
“จ้งเทียนคุ๋ยนั้นคือหนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งเมืองหงหู มาจากหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองหงหู ตระกูลจ้ง”
“มิคาดว่าคนจากตระกูลจ้งผู้นี้จะเข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครองของตระกูลหลิวครั้งนี้ด้วย”
ด้านล่างลานประลองปรากฏเสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
งานคัดเลือกคู่ครองในวันที่เจ็ดนี้ คนที่เหลืออยู่มีจำนวนไม่มากนัก ทว่าแต่ละคนกลับมีความสามารถค่อนข้างสูง และมีพลังที่แข็งแกร่ง
แน่นอนว่าจ้งเทียนคุ๋ยในยามนี้ย่อมเป็นผู้ที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่าหกสิบในร้อยส่วน ทั้งร่างกายยังมีมรดกสายเลือด…”
จ้าวเฟิงยากที่จะคาดเดาถึงพลังของอีกฝ่าย แต่แน่นอนว่าต่อให้ตัวเขาได้ต่อสู้กับคนผู้นี้โอกาสในการชนะก็มีน้อยนัก
บนลานประลอง จ้งเทียนคุ๋ยยืนอย่างผ่าเผย เรือนผมสีแดงคล้ายเปลวเพลิงโบกไหว ทำให้เขาดูโดดเด่น
ขณะเดียวกันร่องรอยสีแดงรอบแขนเขาก็สว่างจ้าขึ้นรายล้อมอยู่รอบกาย
เฮ้อ
พลังบนร่างของจ้งเทียนคุ๋ยปะทุออก คล้ายคลึงกับภูเขาไฟขนาดเล็ก แพร่กระจายความร้อนที่ราวกับจะหลอมละลายทุกสิ่งออกมา ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองขยับตัวอย่างไม่สบายใจ
“ขออภัยที่ต้องล่วงเกิน”
ทั่วทั้งร่างของจ้งเทียนคุ๋ยปรากฏแสงสีแดงโชติช่วง พลังปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน คล้ายคลึงกับกองเพลิงขนาดใหญ่ พุ่งตรงไปยังหลิวฉินซินในผืนผ้าบางสีขาว
ดวงตางดงามของหลิวฉินซินยังคงสงบนิ่ง มิได้ล่าถอยแต่อย่างใด บนมือได้ปรากฏหวีหยกขึ้นอันหนึ่ง
หวีหยก
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก จดจำได้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งได้มอบหวีหยกครึ่งหนึ่งให้แก่เขา
หวีหยกในยามนี้มีกลิ่นอายพิเศษ ปรากฏประกายแสงสีฟ้าใสขึ้น
พรึบ
ผู้คนเห็นเพียงประกายแสงแหลมคมที่สร้างร่องรอยขึ้น แต่ล่ะรอยนั้นลากตรงยาวสิบหลา ทำองศาเป็นวงกลม เส้นตรง หรือแม้กระทั่งเส้นโค้ง
แต่ล่ะรอยแสงนั้นได้มีพลังที่เพียงพอในการเย้ยหยันพลังของผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ด เพียงพอที่จะทำลายกำแพงเมืองทั่วไปจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ
“แต่ล่ะรอยแสงนั้นนับว่าเทียบเท่าได้กับการโจมตีของชางหยูเยว่ที่เพาะเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบแล้ว ทั้งยังสามารถโจมตีได้มากกว่า”
จ้าวเฟิงเฝ้ามองด้วยจิตใจที่ตื่นเต้นสั่นไหว
ความแข็งแกร่งของหลิวฉินซินผู้นี้เหนือกว่าที่คาดมากนัก ไม่แปลกใจเลยที่กล้าจะเผชิญหน้ากับทุกคนที่มาเข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครอง
ในยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะสมัยของหงหู เกรงว่าจะหาคนที่คู่ควรกับนางได้ยากนัก
ทว่าความแข็งแกร่งของจ้งเทียนคุ๋ยเองก็ไม่อาจดูแคลนได้ เปลวเพลิงทั่วทั้งร่างถูกยิงออกไปยังพื้นที่รอบๆ ในระยะสิบถึงยี่สิบหลา ต่อต้านการโจมตีของหลิวฉินซินตรงๆ ได้
ในเวลาสั้นๆ แม้ว่าหลิวฉินซินจะได้เปรียบ จ้งเทียนคุ๋ยก็ไม่หวั่นไหว
“นี่คือการปะทะกันของยอดอัจฉริยะแห่งอาณาจักรนภาหรือ?”
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน
ไม่ต้องเอ่ยถึงหลิวฉินซินเลย เพียงจ้งเทียนคุ๋ยก็สามารถเอาชนะอัจฉริยะทั้งหมดในงานสิบสามสำนักพันธมิตรได้แล้ว
ทว่าเมื่อคิดถึงปัจจัยในอาณาจักรนภาแล้ว มันย่อมเหนือกว่าสิบสามแคว้นไปไกล
เพียงแค่พลังของตระกูลหลิวแห่งหงหูก็เหนือกว่าพันธมิตรของสิบสามแคว้นแล้ว ไหนจะมีอีกสองตระกูลที่มีอำนาจ ทั้งตระกูลของสำนักอื่นๆ อีก
หลังจากปะทะกันหลายกระบวนท่า ผ้าคลุมหน้าของหลิวฉินซินได้พริ้วไหวเล็กน้อย หวีหยกในมือกวัดแกว่งออกไปอย่างน่าพิศวง
พรึบ
ในเสี้ยวพริบตา ประกายแสงก็ได้รวมตัวกัน พุ่งแหวกอากาศ ขอบของประกายแสงนั้นได้ปรากฏประกายสีเงินสุกใสลึกลับขึ้น
“ตูม” จ้งเทียนคุ๋ยถูกโจมตีจนกระเด็นถอยไปจากพลังรุนแรง บนไหล่ปรากฏรอยบาดลึกถึงกระดูก
“มิคาดพลังนั่นสามารถผ่า ‘มังกรเพลิงพิทักษ์’ ของข้าได้อย่างง่ายดาย”
จ้งเทียนคุ๋ยคู้ตัวอยู่บนพื้น ใบหน้าขาวซีด ใบหน้ากระตุกระริก
ในเมืองหงหู เขาคือหนึ่งในสิบยอดฝีมือของคนรุ่นใหม่ ทว่ากลับไม่อาจเอาชนะบุตรสาวของเจ้าเมืองที่ท่องเที่ยวไปทั่วตลอดหลายปีมานี้ได้
ที่ผ่านมา
บุตรสาวเจ้าเมืองผู้นี้ลึกลับนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงรูปลักษณ์ กระทั่งความแข็งแกร่งยังแทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้
จนกระทั่งบัดนิ เจ้าเมืองได้จัดงานคัดเลือกคู่ครองขึ้น จึงได้เผยให้เห็นถึงความสามารถอันไม่อาจเทียบเคียงของนางออกมาแก่ผู้คน
หลังจากที่จ้งเทียนคุ๋ยพ่ายแพ้ บนลานประลองก็ได้ปรากฏความเงียบงันที่น่าอึดอัดขึ้นอีกครั้ง
ด้านล่างลานประลอง เหล่าคนหนุ่มทั้งหลายใบหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย ไม่อาจหาที่ยืนให้ตนได้
เมืองหงหูที่มีอัจฉริยะจำนวนมหาศาล ยอดฝีมือมากมายราวเมฆา บุรุษรุ่นใหม่ผู้หนึ่งกลับถูกบดขยี้ลงใต้เท้าของสตรี
“พี่หลิว ท่านคือบุตรบุญธรรมของหัวหน้าตระกูล ย่อมไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับบุตรสาวเจ้าเมือง เหตุใดจึงไม่ท้าประลองเสียเล่า?”
จ้าวเฟิงมองไปยังหลิวหยวนอย่างสงสัย
หลิวหยวนฝืนยิ้ม “จ้งเทียนคุ๋ยนั้นคือหนึ่งในสิบผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่ของเมืองหงหู นับว่าติดหนึ่งในสาม ข้าด้อยกว่าเขาเล็กน้อย ไม่กี่วันก่อนได้พ่ายแพ้ให้กับฉินซินไปแล้ว”
จ้าวเฟิงรู้สึกอับจนหนทางในทันใด
จะอย่างไรหลิวหยวนก็คือบุตรบุญธรรมของผู้นำตระกูล หากแต่งงานเกี่ยวดองกันกับบุตรสาวเจ้าเมือง มันย่อมเป็นหนทางลัดในการเข้าร่วมตระกูลหลิวหลักอย่างไม่ต้องสงสัย
บุตรสาวเจ้าเมืองผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก ในบรรดาคนรุ่นใหม่ของเมืองหงหูกลับไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับนางได้
แน่นอนว่าจ้าวเฟิง ในฐานะของคนนอกแล้วย่อมไม่อาจเอ่ยปลอบได้
จ้งเทียนคุ๋ยผู้นี้มีพลังสายเลือด อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่ายังมิอาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเขาผู้ที่มีพลังอยู่ในนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเลย
จากนั้นครึ่งวัน มักจะปรากฏคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์ขึ้นไปท้าประลอง ทว่าที่สุดแล้วล้วนจบลงในหนึ่งหรือสองกระบวนท่า
เมื่อมองไปยังเหล่าผู้ที่มีพรสวรรค์ที่พ่ายแพ้ จ้าวเฟิงก็ปรากฏเหงื่อเย็นเยียบขึ้น
ที่น่าชังไปกว่านั้นคือเจ้าเมืองผู้นั้นมักจะปรากฏรอยยิ้มบางบนใบหน้า ลอบมองเขาบ่อยๆ
เบื้องหน้าเวลาใกล้เย็นย่ำ การประลองเลือกคู่ได้ดำเนินมาจนใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“สิ้นสุดสิ… สิ้นสุดเสียทีเถอะ…”
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกราวกับว่าหนึ่งวันนั้นยาวนานเช่นหนึ่งปี
ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เขาไม่มีโอกาสที่จะชนะการประลองเลยแม้แต่น้อย
การประลองสุดท้าย
ลานประลองนั้นได้เงียบงันเป็นพิเศษ
บุตรสาวเจ้าเมืองนามหลิวฉินซินได้จัดการงานคัดเลือกคู่ครองนี้อย่างชาญฉลาด คิ้วสีดำนั้นราวกับภาพวาด ดวงตาใสกระจ่างราวบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิสงบเยือกเย็น ไม่ปรากฏความอับอายหรือยินดี
สำหรับงานคัดเลือกคู่ครองนี้ หลิวฉินซินเองก็ไม่ได้มีความหวังมากนัก
เจ้าเมืองหงหูทอดถอนใจ
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป มันไปหยุดลงที่ที่นั่งผู้ชมของเด็กหนุ่มผมสีเขียวครามผู้นั้น
“สหายน้อย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกราวกับว่าเป็นสหายเก่าแก่ตั้งแต่คราแรกที่พบ คงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
เจ้าเมืองหงหูปรากฏรอยยิ้มยินดีขึ้นที่มุมปาก
จ้าวเฟิงก่นด่าอยู่ภายในใจ ข้าไปเป็นสหายเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน
ทว่าในยามนี้ ภายใต้การจับจ้องของผู้คน เขาไม่อาจที่จะปฏิเสธความต้องการของเจ้าเมืองหงหูได้
“จะอย่างไร ด้วยพลังของข้าก็ไม่อาจเอาชนะสตรีผู้นี้ได้ ใช้โอกาสนี้ในการสืบข้อมูลนางก็พอแล้ว”
สายตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก จับจ้องไปยังหวีหยกในมือของหลิวฉินซินเป็นพิเศษ
สตรีผู้นี้ เว้นเสียแต่อายุที่ไม่เข้าเค้า พลังฝึกตนรวมทั้งลักษณะนิสัยนับว่าตรงตามข้อกำหนด
โดยเฉพาะหวีหยกอันนั้นกับหวีหยกที่จ้าวเฟิงมีอยู่ครึ่งหนึ่งนับว่ามีความคล้ายคลึงกัน ถึงแม้หลิวฉินซินผู้นี้ไม่ใช่คนที่ข้าต้องการตามหา แต่ทว่าก็สามารถเป็นข้อมูลเบาะแสได้อยู่บ้าง
“น้องจ้าว สู้เขา การแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเมืองนั้นนับว่าเป็นวาสนาอันดีที่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องริษยา”
หลิวหยวนเอ่ยกลั่นแกล้งเสียงกลั้วหัวเราะ
จ้าวเฟิงไม่อาจถอยหลังได้ ร่างของเด็กหนุ่มโจนทะยานก่อนจะพลิ้วลงที่ลานประลองอย่างแผ่วเบา
ดวงตางดงามของหลิวฉินซินจับจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิงอย่างสนใจ
ในเวลาเดียวกัน ผู้ประกาศด้านล่างก็ได้เอ่ยขึ้นเสียงดังชัดเจน “นี่คือผู้มาเยือน นักฝึกสัตว์จ้าวเฟิง นายท่านจ้าวต้องการที่จะเห็นใบหน้างดงามของบุตรสาวท่านเจ้าเมืองจึงได้เข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครองนี้เป็นพิเศษ”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นก็ได้สร้างความตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง
“เป็นนักฝึกสัตว์ที่เด็กอันใดเช่นนี้”
“เข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครองเพียงเพื่อที่จะเห็นความงามของสตรีผู้หนึ่ง?”
ด้านล่างผู้คนได้พูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น ปรากฏความวุ่นวายขึ้นประการหนึ่ง
จ้าวเฟิงแทบกระอักโลหิต คำที่เขาเอ่ยพูดขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ก่อนหน้ากลับถูกเปิดเผยต่อผู้คนอย่างคาดไม่ถึง
ในยามนี้ หลิวฉินซินได้สนใจในตัวเขาขึ้นค่อนข้างมาก