บทที่ 259 : หาลูกเขย (2)
เสียงผู้คนนับหมื่นที่กำลังโห่ร้องทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกอับจนคำพูด เมื่อคิดว่าในงานสิบสามสำนักพันธมิตร อย่าได้บอกเชียวว่าเขาได้เอาชนะอัจฉริยะรุ่นเดียวกันทั้งหมดโดยสิ้นเชิงเพียงเพื่อมาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของสตรีผู้หนึ่งในวันนี้?
เด็กหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา จิตใจและสมองกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง
เมื่อทุกสิ่งดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่มีหนทางถอย ทำได้เพียงมุ่งไปข้างหน้า
หนึ่ง เพื่อศักดิ์ศรีของเจ้าเมืองหงหูเขาไม่อาจต่อต้านได้ สอง เพื่อทดสอบความสามารถบุตรสาวของเจ้าเมือง
หลิวฉินซินอยู่ภายใต้ผ้าผืนบางสีขาว ดวงตากระจ่างใส เอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับสนใจว่า “นักฝึกสัตว์จ้าว มาจากสถานที่ห่างไกล นับว่าเป็นเกียรติแก่ฉินซินแล้ว ตราบเท่าที่เอาชนะฉินซินได้ ไม่เพียงแต่การได้มองใบหน้าของข้า ฉินซินยินยอมที่จะมอบร่างกายนี้ให้กับท่าน”
ความนัยของประโยคของหลิวฉินซินได้ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองหัวเราะเสียงดัง
ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเด็กหนุ่มในนภาที่หกผู้นี้จะสามารถเอาชนะเด็กสาวได้
ในบรรดาผู้ท้าชิงจำนวนมาก พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงนั้นอาจกล่าวได้ว่าด้อยที่สุด
จากการที่ได้ดูการประลองของอีกฝ่ายก่อนหน้า เด็กหนุ่มเองก็เข้าใจในจุดนี้ ระหว่างเขาและหลิวฉินซินมีความแตกต่างมากนัก
หากอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย จ้าวเฟิงย่อมใช้พลังทั้งหมด กระทั่งใช้สภาพแวดล้อมทุกอย่างเพื่อตอบโต้
ทว่างานคัดเลือกคู่ครองนี้ นับเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่งเท่านั้น
“ฉินซิน นักฝึกสัตว์จ้าวผู้นี้คือแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลิวของเรา อายุและพลังฝึกตนนับว่าด้อยกว่าเมื่อเทียบกับเจ้า เจ้าจะลดพลังฝึกตนลงให้เหมาะสมได้หรือไม่?”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
การเอ่ยเช่นนั้นได้ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
นักฝึกสัตว์ผู้นี้มีพื้นเพอันใดกัน กระทั่งทำให้เจ้าเมืองหงหูชมชอบมากเป็นพิเศษ
“นี่… เป็นสิ่งที่ท่านพ่อต้องการ พลังฝึกตนของฉินซินจะลดลงให้อยู่ในนภาที่เจ็ด”
คิ้วงดงามของหลิวฉินซินมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาสวยเหลือบมองไปทางจ้าวเฟิงเล็กน้อย เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
แน่นอนว่านางไม่ได้เห็นเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริง
หากพูดตรงๆ เมื่อเทียบความสามารถของจ้าวเฟิงกับเด็กสาวแล้วนับว่าแตกต่างกันมากนัก
ด้านล่างลานประลองปรากฏเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้น แม้ว่าจะมีคำวิจารณ์คลุมเครืออยู่ แต่ในเมื่อความเห็นของเจ้าเมืองหงหูและคุณหนูหลิวฉินซินตรงกัน คนนอกก็ไม่สอดมือเข้าคัดค้าน
นอกจากนั้น ในความเห็นของผู้คน แม้ว่าหลิวฉินซินจะกดพลังฝึกตนลงไปที่นภาที่เจ็ดก็ยังเหนือกว่าจ้าวเฟิงอยู่ดี
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะสบถด่าออกไป เจ้าเมืองหงหูผู้นี้จะจงใจอันใดเช่นนี้ มิคิดปล่อยตัวเขาไป
หากหลิวฉินซินกดพลังฝึกตนลงที่ในนภาที่เจ็ด โอกาสที่จ้าวเฟิงจะชนะจะมากถึงกึ่งหนึ่ง หากเด็กหนุ่มออมมือระหว่างต่อสู้ย่อมไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของเจ้าเมืองหงหูได้
“คุณหนูหลิวฉินซิน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ จ้าวผู้นี้อยากรับรู้ถึงพลังที่ท่านได้รับการกล่าวขาน หากต้องพ่ายแพ้ย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง”
จ้าวเฟิงรีบร้อนเอ่ยแย้งขึ้น
หลิวฉินซินแย้มยิ้ม ประเมินค่าอีกฝ่ายสูงขึ้นอีกหลายขั้น
หากเป็นผู้เข้าร่วมงานคัดเลือกคู่ครองคนอื่นๆ บางทีอาจต้องการให้นางลดพลังฝึกตนลงเพื่อที่จะได้กอดสาวงามผู้นี้และกลายเป็นบุตรเขยผู้โชคดีของเจ้าเมืองหงหู
“เริ่ม”
เสียงประกาศดังชัดเจนดังขึ้นจากด้านล่างลานประลอง เจ้าของเสียงนั้นคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
สิ้นเสียง จ้าวเฟิงก็ได้แตะกระเป๋าสีเงินที่เอวก่อนจะเอ่ยเรียก “นางแอ่นมรกต”
นางแอ่นมรกตส่งเสียงกรีดร้องแหลม กลายเป็นเส้นแสงสีฟ้า มองด้วยตาเปล่าไม่อาจเห็น พุ่งตรงไปยังหลิวฉินซินราวสายฟ้า
ความเร็วของนางแอ่นมรกตได้ดูแคลนเหล่าผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดแล้ว ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิง เส้นทางการโจมตีนั้นทั้งไม่อาจคาดและลึกลับ
ร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวรีบร่นถอย รักษาระยะห่างไว้กับคู่ต่อสู้
ในยามนี้ เขาต้องใช้การต่อสู้แบบนักฝึกสัตว์เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย
หลิวฉิวซินตวาดเบาๆ เส้นแสงส่องประกายระริกหลายเส้นปรากฏขึ้นอย่างไม่แน่นอน มุ่งออกไปด้วยทิศทางน่าพิศวง ไล่ล่าร่างของนางแอ่นมรกต
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ สีหน้าแปรเปลี่ยนไป การโจมตีของอีกฝ่ายนั้นปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทว่ายังสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางได้ราวกับมีชีวิต นี่นับว่าเหนือกว่านภาที่เจ็ด มีเพียงเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจึงสามารถทำได้
แม้ว่าหลิวฉินซินจะกดพลังฝึกตนลงสู่นภาที่เจ็ด เคล็ดวิชาที่ลึกล้ำของนางก็ได้ถูกลดพลังลงกว่าครึ่ง
ครืนนน
นางแอ่นมรกตกางกรงเล็บ ภายใต้การกระพือปีกได้ป้องกันการโจมตีทั้งสิบสองครั้งกลางอากาศได้สำเร็จ มันร่อนไปในองศาหนึ่ง เบี่ยงร่างเข้าไปยังด้านหลังของคู่ต่อสู้
ใจกลางอากาศ นางแอ่นมรกตนั้นคล่องแคล่ว เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวได้ไร้ที่สิ้นสุด เช่นมันมีสติปัญญานึกคิด หลิวฉินซินราวกับเผชิญหน้าอยู่กับมนุษย์ผู้หนึ่ง
แม้ว่าเด็กสาวจะกดพลังฝึกตนเอาไว้ การโจมตีที่รุนแรงของนางก็ยังคงสามารถสร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้กับนางแอ่นมรกตได้
ทว่าเมื่อมีจ้าวเฟิงเป็นนาย ทุกการโจมตีของมันได้ถูกควบคุมโดยเด็กหนุ่ม พลังที่ใช้ออกพร้อมกับความเร็วที่ถึงขีดจำกัด เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตเขาก็จะควบคุมมันให้มันบินขึ้นสูง
การต่อสู้ในยามนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ล่างลานประลองรู้สึกนับถือนักฝึกสัตว์วัยเยาว์ผู้นั้นขึ้นอย่างมาก
บนใบหน้าของจ้าวเฟิงได้ปรากฏความหดหู่ขึ้นประการหนึ่ง การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นปรากฏความประมาทขึ้น แม้ว่าจะใช้พลังในนภาที่เจ็ดก็มิได้ใช้ออกอย่างเต็มที่
“หวีหยกในมือนางก็ยังไม่ได้ใช้”
ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายวูบ ในมือปรากฏคันศรสีน้ำเงินเข้ม ปรากฏแสงสีแดงเจือจาง ใจกลางปรากฏสัญลักษณ์บัวหิมะอยู่
บนคันศรหลัวซุยได้ปรากฏศรสามดอกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ธนู?
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างปรากฏรอยยิ้มบาง ไม่ใช่สิ่งที่เกินคาดเดาสำหรับพวกเขานัก
ในอาณาจักรนภามีอาวุธหลากหลายชนิด นักฝึกสัตว์เองก็มักจะใช้ธนู
ธนูมักจะถูกใช้โดยนักฝึกสัตว์ เพราะสัตว์วิเศษนั้นจะเป็นฝ่ายนำทาง เป็นเช่นโล่เนื้อ การใช้อาวุธระยะไกลนับว่าเป็นสิ่งที่เข้าคู่กันอย่างที่สุด
ฟุ่บ ฟุ่บ
ศรหลัวซุยพุ่งฝ่าอากาศพร้อมกับเสียงคำรามครืนของสายฟ้า รวดเร็วกว่าเสียง นำพาไอความเย็นเยียบไปกับมันพร้อมกับประกายสายฟ้า พุ่งตรงไปยังช่องว่างบนร่างของคู่ต่อสู้
เมื่อจ้าวเฟิงใช้คันศรหลัวซุย หลิวฉินซินจึงเลิกดูแคลนอีกฝ่ายในที่สุด
คันศรหลัวซุยของเด็กหนุ่มนั้นได้ประกอบด้วยสำนึกรู้จากมรดกอัสนี ความเร็วนั้นมากมายนัก เมื่อเข้าใกล้เป้าหมายยังปรากฏไอความเย็นที่ส่งผลต่อความเร็ว
แม้ว่าศรหลัวซุยไม่อาจที่จะสร้างอาการบาดเจ็บให้กับหลิวฉินซินได้แม้แต่น้อย ทว่ามันได้ส่งผลกระทบรุนแรงอื่นๆ เมื่อมีนางแอ่นมรกตโจมตีจากทางอากาศเป็นหลัก มันก็นับว่าเป็นการ ร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ
ในระยะเวลาสั้นๆ จ้าวเฟิงได้กลับมาเสมอกับหลิวฉินซินได้
ตราบเท่าที่บนร่างของอีกฝ่ายปรากฏช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ศรหลัวซุยจะมองหาทุกโอกาส ในขณะที่การโจมตีของนางแอ่นมรกตได้รุนแรงมากขึ้น
“หลิวฉินซินผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาโดยแท้ แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้ใช้พลังสายเลือดและใช้เพียงแต่พลังที่มีอยู่จนถึงขีดสุด ทว่าก็ไม่อาจทำอันใดนางได้”
ในหัวใจของจ้าวเฟิงปรากฏความหดหู่ขึ้น
ฟุ่บ….
หวีหยกได้ปรากฏขึ้นในมือของหลิวฉินซินอีกครั้ง ประกายแสงได้ปรากขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ ด้านหนึ่งป้องกันการโจมตีจากนางแอ่นมรกตและคันศรหลัวซุย ทว่าในอีกด้านหนึ่งก็พยายามบีบบังคับคู่ต่อสู้
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวูบราวกับประกายสายฟ้า ทิ้งภาพติดตาเอาไว้ ร่างจริงของเขาอยู่ไหนมิอาจรับรู้ได้ชัดเจน
แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างเคลื่อนที่ เด็กหนุ่มก็ยังสามารถยิงธนูและควบคุมนางแอ่นมรกตไปด้วยได้ แทบจะเรียกได้ว่าทำสามอย่างพร้อมกัน
ไม่เพียงเท่านั้น การโจมตีของเขายังรุนแรงมากขึ้น
คันศรหลัวซุยและนางแอ่นมรกต การโจมตีจากทางพื้นดินและอากาศ สร้างการร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ
พลังฝึกตนของหลิวฉินซินถูกกดอยู่ในนภาที่เจ็ด ในยามนี้รู้สึกได้ถึงความยากลำบาก
“หากตั้งแต่เริ่มข้าไม่ออมมือให้นักฝึกสัตว์นี่และโจมตีในทันทีก็ย่อมสามารถจบการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว”
หลิวฉินซินทอดถอนใจอย่างหดหู่ บัดนี้นับว่าได้ดูแคลนคู่ต่อสู้ไปแล้ว
นักฝึกสัตว์ผู้นี้แม้พลังฝึกตนอยู่ในนภาที่หก ทว่าพลังต่อสู้ที่แท้จริงนั้นแม้จะเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมาต่อกรก็ไม่นับว่าเกินเลย
ผู้ที่เฝ้ามองอยู่ด้านล่างส่งเสียงอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ จ้าวเฟิงกลายเป็นผู้สมัครที่มีหวังมากที่สุดแล้ว
เจ้าเมืองหงหูนั่งอยู่บนที่นั่งคนดู ใบหน้าปรากฏความยินดี “เด็กหนุ่มคนนี้มีทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม พลังฝึกตนของฉินซินหากอยู่ในนภาที่เจ็ดนับว่ายากที่จะคำนวณผลลัพธ์”
ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าเมืองหงหูก็ได้มองไปยังความหวังที่มาถึงในที่สุด
ความสามารถของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าที่เขาคาด ความสามารถในการฝึกสัตว์ ทักษะธนูที่ยอดเยี่ยม และการใช้พลังสายฟ้า สร้างสถานการณ์ที่ทำให้เขาชื่นชมอย่างมาก
เมื่อกวาดตามองผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกับเด็กหนุ่มแล้ว พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงผู้นี้ในอาณาเขตเมืองหงหู ยากที่จะหาผู้เทียบเคียงได้
“หากเพียงเกรงว่าฉินซินคงจะไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดาย”
สีหน้าของเจ้าเมืองหงหูนิ่งสงบ
ในยามนี้ หลิวฉินซินวาดหวีหยกในมือ ปรากฏเส้นแสงที่ส่องประกายสีเงินลึกลับขึ้น
เฮ้อ
เรือนผมงดงามของหลิวฉินซินนั้นราวกับม่านน้ำตกที่พลิ้วไหวอย่างอ่อนโยน
ดวงตาของนางปรากฏแสงสีเงินราวกับท้องนภาสุกใสไร้ที่สิ้นสุด ปรากฏความเย็นเยียบขึ้นประการหนึ่ง
พลังสายเลือด
หัวใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก เมื่อรวมกับพลังลึกลับนั้น หวีหยกนั้นก็ราวกับเป็นท้องนภาในโบราณกาล ปรากฏกลิ่นอายโบราณที่ไม่อาจเทียบเคียงออกมา
“พลังสายเลือด… บนมรดกสายเลือด”
พลังสายเลือดในร่างของจ้าวเฟิงเคลื่อนไหวอย่างไม่สงบ
วูบบบ
แสงสีครามปรากฏขึ้น คลื่นที่คล้ายคลึงกันได้ไหลผ่านร่าง
บนร่างของจ้าวเฟิงได้ปรากฏร่องรอยสีครามขึ้นอีกครั้ง ราวกับสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ เรียบง่ายและสูงศักดิ์ ให้ความรู้สึกชั่วร้ายหลายประการ
ฟิ้ว ฟิ้ว
ศรหลัวซุยพุ่งออกไปพร้อมกับแสงสีเขียวคราม ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
คว้างงง
เมื่อพลังสายเลือดทั้งสองปะทะกันก็ได้สร้างแรงระเบิดขึ้นกลางลานประลอง ค่ายกลรอบด้านสั่นไหว ประกายแสงของม่านป้องกันเจือจางลงหลายส่วน
ผู้ที่อยู่ด้านล่างลานประลองตื่นตะลึง ใบหน้าขาวซีด
“มิคาด ความบริสุทธิ์ของพลังสายเลือดของเขากลับมากกว่าของฉินซิน…”
เจ้าเมืองหงหูประหลาดใจและยินดี
หลิวฉินซินเพียงคิด พลังสายเลือดในร่างของสั่นสะท้านเล็กๆ ตั้งแต่ยามที่มันตื่นขึ้นก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก่อน
แม้ว่าพลังสายเลือดของนางจะมีปริมาณมากกว่าอีกฝ่าย มันกลับไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด
การต่อสู้ในยามนี้ได้เข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว
ธนูของจ้าวเฟิงและการสนับสนุนของนางแอ่นมรกตยังคงกัดคู่ต่อสู้ไม่ปล่อย
พลังฝึกตนในนภาที่เจ็ดของหลิวฉินซินได้ใช้ออกอย่างเต็มที่
แน่นอนว่าหากยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ จ้าวเฟิงย่อมพ่ายแพ้
เพราะหลิวฉินซินมีพลังฝึกตนในนภาที่เจ็ด ปริมาณปราณแท้ย่อมเหนือกว่าจ้าวเฟิง
“หากไม่เอาจริง โอกาสสำเร็จของข้าก็มีไม่มากนัก”
จ้าวเฟิงพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก ใช้ปราณแท้ไปอย่างรวดเร็ว
ตราบเท่าที่ปราณแท้หมด พลังของเขาก็จะหมดลงและพ่ายแพ้ เมื่อถึงยามนั้นมันก็นับได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวนั้นพลันโผล่ขึ้นจากถุงเก็บสัตว์เลี้ยงอย่างกะทันหัน ดวงตากลมโตของมันใสกระจ่าง ทั่วทั้งกายปรากฏกลิ่นแอลกอฮอล์ อุ้มขวดเหล้าองุ่นขนาดใหญ่กว่าตัวมัน
“หืม?”
ผู้คนนิ่งอึ้งอย่างช่วยไม่ได้
“อย่าบอกข้านะว่าเขามีสัตว์วิเศษอีกตัว?”
สีบนใบหน้าของหลิวฉินซินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกินเหล้าองุ่นจนหมดกระติก อยู่ในสภาวะมึนเมา เดินโซเซอยู่บนลานประลอง
“ไอ้หนูนี่ต้องการอะไร”
จ้าวเฟิงตกใจแทบสิ้นสติ
แมวขโมยตัวน้อยมีกลิ่นแอลกอฮอล์ ดวงตาปรากฏความงุนงง เมามายวิ่งวนไปมาบนลานประลอง ไม่มีสติ
เขาและหลิวฉินซินปะทะกัน เกิดพลังปะทะที่รุนแรงขึ้น พลังนั้นมากพอที่จะทำลายผู้ที่มีพลังอยู่ในนภาที่หกและเจ็ดให้แหลกเป็นฝุ่นผง
“เมาหรือ?”
ดวงตาของเจ้าเมืองหงหูปรากฏความประหลาดใจ
การเดินของแมวขโมยตัวน้อยอาจดูวุ่นวาย ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยสัญชาตญาณที่เหนือกว่า เต็มไปด้วยจิตต่อสู้ที่ถูกปกปิดอยู่เบื้องหลัง