บทที่ 273 :ยี่สิบลมหายใจ
ขณะที่สัตว์วิเศษทั้งหลายกำลังอยู่ในความวุ่นวาย จ้าวเฟิงได้ใช้ฐานะนักฝึกสัตว์ในการควบคุมสถานการณ์ ทำให้ผู้ที่คอยเฝ้าดูเขาไม่มีความสงสัยแต่อย่างใด
“พวกเจ้าคอยคุ้มครองความปลอดภัยของนายน้อยด้วย”
หลิวหยวนจำเป็นต้องโจมตีเพื่อควบคุมสถานการณ์วุ่นวายนี้
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นหนึ่งในผู้มีตำแหน่งสูงของตระกูลหลิวแห่งหงหู เมื่อสัตว์วิเศษเกิดความโกลาหลเขาเองก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้
อีกทั้งเวลานี้ นอกจากนักฝึกสัตว์ที่จะควบคุมได้ ก็มีเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้
หลิวหยวนมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่สัตว์วิเศษกำลังอาละวาดอยู่ ทว่าชายชุดดำทั้งสี่คนก็ยังคงเฝ้าติดตามจ้าวเฟิงเช่นเดิม
“แผนการที่วางไว้ราบรื่นกว่าที่คิดไว้….”
จ้าวเฟิงมองไปยังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหงหู มุมปากปรากฏรอยิ้มยินดีเล็กๆ
มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้แผนการหนีของเขาสำเร็จได้
การที่สัตว์วิเศษได้อาละวาดขึ้นนั้นเป็นเพราะเขาและแมวขโมยตัวน้อยที่ร่วมมือกัน
ทั้งจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยต่างก็สามารถสื่อสารกับสัตว์วิเศษในตำหนักเจ้าเมืองเหล่านี้ได้ ทั้งการบังคับหลอกล่อ ด้วยวิธีการที่หลากหลายได้ทำให้พวกมันร่วมมือกันก่อความวุ่นวาย
ส่วนมากแล้วเป็นการกระทำโดยแมวขโมยตัวน้อย
“เจ้าพวกเดรัจฉาน หยุดเดี๋ยวนี้”
จ้าวเฟิงทะยานขึ้นสูง ไล่ตามอินทรีย์ดำยักษ์ไป ปีกของมันกว้างหลายสิบหลา คลื่นความร้อนสีแดงที่มีอุณหภูมิเพียงพอที่จะหลอมละลายโลหะได้ การโจมตีที่น่าหวาดหวั่น
ในสถานการณ์วุ่นวายที่เหล่าวิเศษเดินพล่านอาละวาดเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ยากที่จะควบคุมได้
หนึ่งคนหนึ่งนก ต่อสู้กันอยู่บนท้องนภา
จ้าวเฟิงใช้วิธีการของนักฝึกสัตว์เกลี้ยกล่อมอินทรีย์ดำยักษ์ ในที่สุดจึงสามารถควบคุมมันให้สงบลงได้
ด้วยการกระทำเช่นนั้นได้ทำให้ชายชุดดำทั้งสี่ที่เฝ้ามองเขาอยู่ไม่เกิดความสงสัย
จ้าวเฟิงติดตามอินทรีย์ดำยักษ์ไปจนออกนอกเมืองไปโดยไม่รู้ตัว
“ทุกคนถอยออกไป ข้าต้องสะกดเดรัจฉานตัวนี้ก่อน”
จ้าวเฟิงเอ่ย
เด็กหนุ่มอาศัยอยู่ที่เมืองแห่งนี้เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว และในฐานะบุตรเขยของเจ้าเมืองย่อมเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง ทำให้เหล่าทหารหลีกทางให้และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ในตอนนี้เอง
จ้าวเฟิงได้ใช้วิธีการฝึกสัตว์ของเขาในการควบคุมอินทรีย์ดำยักษ์ได้สำเร็จ
“เด็กดี เด็กดี”
จ้าวเฟิงค่อยๆ เดินไปเข้าไปยังร่างของอีกฝ่ายช้าๆ
ความจริงแล้ว ทุกการกระทำของปักษาตัวนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงในยามนี้แข็งแกร่งกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง การควบคุมสัตว์วิเศษในนภาที่เจ็ดจึงนับเป็นเรื่องง่ายดาย
“วิธีการควบคุมสัตว์ของนายน้อยช่างยอดเยี่ยมนัก”
ชายชุดดำทั้งสี่ที่อยู่ภายในกำแพงเมืองผงกศีรษะยอมรับ
ปักษายักษ์คุ้มคลั่งก่อนหน้า บัดนี้กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องที่เชื่อฟังไปแล้ว
ทว่า
เมื่อจ้าวเฟิงเข้าใกล้ร่างของปักษายักษ์ ท่าทีของมันก็พลันเปลี่ยนแปลงไป
อินทรีย์ดำยักษ์พลันส่งกลิ่นอายอันตราย ขยับปีกของมัน สร้างเปลวเพลิงสีแดงดำออกมา ส่งเสียงกรีดร้องแหลม แสดงท่าทีดุร้ายออกมาอย่างกะทันหัน
“นายน้อย”
ชายชุดดำทั้งสี่สีหน้าเปลี่ยนไป
“เจ้าเดรัจฉานนี่นับว่าเจ้าเล่ห์มิน้อย”
จ้าวเฟิงไม่หงุดหงิดแต่กลับแย้มยิ้มออกมา เพื่อเอาชนะให้ได้เขาจึงเรียก “นางแอ่นมรกต” เออกมาไล่ตามอินทรีย์ดำยักษ์ตัวนั้นไป
ด้วยความเร็วของนางแอ่นมรกตทำให้จ้าวเฟิงสามารถตามติดอีกฝ่ายไปได้ทันในระยะเวลาอันสั้น
ไม่สิ
ชายชุดดำทั้งสี่สื่อสารกัน รับรู้ได้ว่าสถานการณ์นั้นแปลกประหลาด หากดูจากความสามารถในการฝึกสัตว์ที่จ้าวเฟิงแสดงออกมานั้น การบังคับสัตว์เหล่านี้ก็ไม่น่าจะยากเย็นจนเกินไป
“นายน้อยไม่ต้องตามไปแล้ว”
“นายน้อย ท่านเจ้าเมืองมีคำสั่งห้ามให้ท่านออกจากเมืองหงหูเด็ดขาด”
ชายชุดดำทั้งสี่รีบตะโกนออกมา
จ้าวเฟิงไม่สนใจเสียงตะโกนเหล่านั้น กระทั่งล้มเลิกการไล่ตามอินทรีย์ดำยักษ์และบินห่างออกไป
ไม่เพียงเท่านั้น
อินทรีย์ดำยักษ์ตัวนั้นยังกระทั่งย้อนกลับมาทำร้ายชายชุดดำทั้งสี่อีกด้วย
เมื่อเรื่องจะดำเนินมาถึงยามนี้ ชายชุดดำทั้งสี่ก็เข้าใจในจุดประสงค์ของจ้าวเฟิงในที่สุด
“อย่าให้เขาหนีไป”
ชายชุดดำทั้งสี่ต่างตะโกนด้วยความตกใจ ปลดปล่อยปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างออกมา
พรึ่บ พรึ่บ
เบื้องหลังของทั้งสี่ปรากฏเงาขนนกสีดำคล้ายคลึงกับปักษาบางชนิด ไล่ตามเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวเฟิงหันกลับไปมอง พบว่าด้านหลังของชายชุดดำทั้งสี่ปรากฏปีกสีเทาขึ้น มีความสามารถในการบินในระดับหนึ่ง คล้ายคลึงกับความสามารถของผ้าคลุมเงาหยินของเขานัก
ปีกสีเทานั้นช่วยให้ชายชุดดำทั้งสี่บินตามนางแอ่นมรกตของจ้าวเฟิงได้ทัน
หากเปรียบเทียบความเร็วในระยะยาว พวกเขาย่อมไม่มีทางเทียบกับนางแอ่นมรกตได้ ทว่าเมื่อเทียบในด้านของการระเบิดความเร็วในระยะเวลาสั้นๆ ชายชุดดำทั้งสี่นั้นแทบจะมีความเร็วเทียบเท่าได้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
อินทรีย์ดำยักษ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิงเพียงเพิ่งเข้าใกล้ก็ได้ถูกผ่าครึ่งจากคมดาบสีทมิฬ แยกเป็นสองส่วน
เป็นการฆ่าในเสี้ยววินาที
หากไม่มีดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงคงไม่อาจมองเห็นการโจมตีของชายชุดดำได้อย่างชัดเจน
“ปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างของคนเหล่านี้นับว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก เปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่าห้าสิบในร้อยส่วน โดดเด่นในการแกะรอย ทั้งกระบวนท่าเคลื่อนไหวยังนับว่าเป็นจุดแข็งของพวกเขา ”
สีหน้าของจ้าวเฟิงพลันหม่นมืดลง
ชายชุดดำทั้งสี่ล้วนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เป็นยอดฝีมือที่มีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน เก่งกาจในการแกะรอย
โดยปกติ การที่จ้าวเฟิงรับมือได้พร้อมกันสองคนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
ทว่าในยามนี้กลับมีสี่คน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคือ คนทั้งสี่นั้นโจมตีร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยม มุ่งไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ล้อมกรอบเด็กหนุ่มเอาไว้
แต่ปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านี้
เวลาในการหนีงานแต่งงานของจ้าวเฟิงมีนั้นมีจำกัดยิ่งนัก
หากยืดเยื้อไปแม้เพียงนิด อาจจะมีกำลังเสริมของยอดฝีมือติดตามมาทัน กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็อาจจะมาด้วย แม้ว่าจะมีปีกยามนั้นเด็กหนุ่มก็ย่อมไม่อาจหลบหนีไปได้
เพียงไม่นาน
ชายชุดดำทั้งสี่ก็ได้ล้อมจ้าวเฟิงไว้
พวกเขาลงมืออย่างระมัดระวัง ไม่กล้าที่จะทำอันตรายเด็กหนุ่มจึงใช้วิธีการนี้ หากมิเช่นนั้นเมื่อเป็นคนอื่นคงต้องตายตกไปหลายพันครั้งแล้ว
“นายน้อย ท่านต้องกลับไป นี่เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเมือง”
หัวหน้าชายชุดดำทั้งสี่มีสีหน้าเคารพนอบน้อม
จ้าวเฟิงสีหน้าไร้อารมณ์ เก็บนางแอ่นมรกตก่อนจะพลิ้วกายลงพื้นอย่างช้าๆ
ชายชุดดำทั้งสี่ได้ล้อมจ้าวเฟิงไว้ทุกทิศทาง ทั้งตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือ ทว่าไม่ได้กระทำการรุนแรงแต่อย่างใด
พรึ่บ
ทันใดนั้น ผ้าคลุมเงาหยินของเด็กหนุ่มก็สั่นสะท้าน ปรากฏเงาวูบ จางหายไป
“ซ่อนตัว”
สีหน้าของชายชุดดำทั้งสี่แปรเปลี่ยนไป ทว่าไม่ได้ตกใจมากนัก ต่างเพ่งความสนใจของตน กระตุ้นปราณจิตวิญญาณในร่าง ปลดปล่อยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไปจนถึงขีดสุด
หนึ่งในชายชุดดำนำสุนัขขนฟูสีดำสนิทออกมาจากถุงเก็บสัตว์วิเศษ ดมกลิ่นในอากาศ
พวกเขาเชี่ยวชาญในการหลบซ่อนตน ย่อมต้องมีวิธีการแก้ไขพวกมัน
ทว่าแม้ใช้เคล็ดวิชาลับหลายอย่าง กลับไม่อาจค้นหาตำแหน่งของจ้าวเฟิงได้
“เขาต้องอยู่ใกล้ๆ พวกเรา ด้วยวิธีการปกปิดตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากขยับคราหนึ่งย่อมเปิดเผยร่องรอยออกมาอย่างช่วยไม่ได้”
หัวหน้าชายชุดดำทั้งสี่มีสีหน้ามั่นใจ
ครืน…
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นในความว่างเปล่า กลุ่มก้อนสายฟ้าสีน้ำเงินพุ่งตรงไปยังร่างของชายชุดดำผู้หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ชายชุดดำผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไป มือสายฟ้าขนาดใหญ่ส่องประกาย พยายามมุ่งหน้าตรงไปยังไหล่ของเขาอย่างโหดเหี้ยม
“ฝันไปเถอะ”
ชายชุดดำผู้นี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ บนร่างปรากฏเสียงสีดำขยายออกหลายฟุต ปะทะเข้ากับการโจมตีของจ้าวเฟิงอย่างรุนแรง
ครืนนน ตูม
การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน ร่างของชายชุดดำล่าถอยออกไปอย่างลนลาน แขนข้างหนึ่งปรากฏรอยไหม้ดำ
จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย คาดคิดว่าการโจมตีเมื่อครู่จะสามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส มิคาดกลับทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
ชายชุดดำทั้งสี่ทักษะการต่อสู้นั้นแข็งแกร่ง ประสบการณ์มากมาย ยากที่จะเทียบเคียง
“นายน้อย อย่าได้ขัดขืนเลย”
ชายชุดดำที่เหลืออีกสองคน ในเวลาไล่เลี่ยกันก็ถูกจ้าวเฟิงโจมตีเช่นกัน
มีดสั้น ขนนก ลูกดอก ขลุ่ยไม้ไผ่
ทั้งสี่ต่างมีอาวุธที่ไม่เหมือนกัน
ความจริงแล้ว ทั้งสี่ต่างก็มีอาวุธที่เชี่ยวชาญเป็นของตน เมื่อนำมาโจมตีร่วมกันแล้วก็ได้สร้างการโจมตีที่รุนแรงจนไม่อาจป้องกันได้
ขลุ่ยไม้ไผ่ได้ส่งคลื่นเสียงพลังจิต สร้างภาพลวงตาและการโจมตีทางจิต
มีดสั้นรับผิดชอบในการต่อสู้ระยะประชิด ขนนกรับผิดชอบในการก่อกวน ส่วนลูกดอกทำหน้าที่สนับสนุน
“นายน้อย ข้าขอให้ท่านยอมจำนนเสียโดยดี คราวก่อนพี่พวกเราสี่คนร่วมมือกัน กระทั่งผู้ที่อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังไม่อาจรอดพ้น”
ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“ฮี่ฮี่ เช่นนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อ”
จ้าวเฟิงหัวเราะคิกคัก อ้าปากส่งคลื่นเสียงพลังจิตออกไปพร้อมด้วยประกายสายฟ้าเป็นระลอก ทำให้ปราณแท้ในร่างของทั้งสี่สั่นสะท้าน ผู้ที่อยู่ใกล้เด็กหนุ่มกระทั่งกระอักโลหิต
ในขณะเดียวกัน ผ้าคลุมเงาหยินของเด็กหนุ่มก็ขยับไหว ร่างทั้งร่างกลับกลายเป็นเงาเลือนลาง เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น พุ่งออกไป
ทว่า
ชายชุดดำเหล่านี้ยากที่จะสลัดหลุดกว่าที่คาดคิด อาวุธปีกของอีกฝ่ายได้ติดตามเด็กหนุ่มไปท่ามกลางเสียงครืนครางของสายฟ้า
หากพูดถึงความเร็ว คนผู้นี้นับว่ารวดเร็วที่สุดในทั้งสี่คน เทียบเท่าได้กับจ้าวเฟิง
ในเวลาเดียวกัน
ผู้ที่ใช้ลูกดอกได้ส่งการโจมตีออกไปยังเด็กหนุ่ม
“ยากที่จะรับมือโดยแท้”
จ้าวเฟิงเริ่มรู้สึกปวดศีรษะ รับรู้ถึงอุปสรรคอันใหญ่หลวง
ในยามนี้ ทั้งสี่ยังคงออมมือให้อยู่บ้าง มิเช่นนั้นเขาคงจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายไปแล้ว
“น้องสี่ เจ้ารีบกลับไปแจ้งข่าว นายน้อยต้องการหนีการแต่งงาน”
หัวหน้าชายชุดดำเอ่ย
พรึ่บ
ชายชุดดำที่ใช้ขลุ่ยไม้ไผ่เป็นอาวุธเร่งรีบมุ่งหน้าไปทางทิศทางเมืองหงหู
จ้าวเฟิงรู้สึกหนาวเยือก เหล่าชายชุดดำทั้งสี่นับว่าน่าหวาดหวั่นโดยแท้ เมื่อเห็นว่าการโจมตีพลังจิตไม่ค่อยได้ผลต่อตัวเขาก็ได้ส่งคนกลับไปแจ้งข่าว
ที่เหลืออีกสามคนต้องทำเพียงสกัดการหลบหนีของจ้าวเฟิงเท่านั้น
ทิศทางที่จ้าวเฟิงจะสามารถหลบหนีไปได้นั้นมีเพียงสามทิศเท่านั้น หากวิ่งไปยังทิศเมืองหงหูย่อมเป็นการกลับไปสู่กับดัก
“ฉลาด แข็งแกร่ง ยากที่จะรับมือ…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
เขาตระหนักได้ในที่สุด ว่าหากไม่ลงมืออย่างเต็มที่ เขาก็อาจจะต้องติดอยู่ที่นี่จริงๆ
ด้วยการขัดขวางของผู้ที่ใช้มีดสั้น ลูกดอก และขนนก จ้าวเฟิงทำได้เพียงมองคนใช้ขลุ่ยมุ่งหน้าไปยังเมืองหงหู
คนชุดดำทั้งสามที่เหลืออยู่ยืนเป็นมุมสามเหลี่ยม ไม่ได้ต้องการเอาชนะหรือเข่นฆ่าอีกฝ่าย หากแต่ต้องการที่จะสกัดกั้นเขาไว้เท่านั้น
“เวลาหลบหนีของข้า เหลือเพียงยี่สิบลมหายใจ”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงคำนวณและสรุปผลออกมา
ภายในเวลาสิบลมหายใจ ชายชุดดำที่ใช้ขลุ่ยจะไปถึงประตูเมืองและเรียกกองกำลังเสริมกลุ่มแรกมา
เวลาที่เหลืออีกสิบลมหายใจ กำลังเสริมของยอดฝีมือเหล่านี้ก็อาจมาถึงก่อนได้
หลังจากยี่สิบลมหายใจ ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง หลิวหยวน ย่อมค้นพบว่าสถานการณ์นั้นผิดปกติ ย่อมไล่ล่ามา กระทั่งอาจนำยอดฝีมืออีกจำนวนมากมา
อีกทั้ง ในเวลาครึ่งน้ำชาเดือด เจ้าเมืองหงหูย่อมทราบข่าวที่จ้าวเฟิง ‘หลบหนีการแต่งงาน’
ในยามนั้น
เจ้าเมืองหงหูย่อมแจ้งประกาศจับไปทั่วทั้งเมืองหงหู
หรือพูดอีกอย่างคือ
การหลบหนีการแต่งงานของจ้าวเฟิงจะสำเร็จหรือไม่ มีเวลาเพียงยี่สิบลมหายใจ