บทที่ 272 : ก่อจราจล
งานแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที ทั่วทั้งเมืองหงหูล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น บ้านเรือนประดับประดาด้วยโคมแดง
ในตำหนักเจ้าเมือง กระทั่งบนต้นไม้ยังประดับประดาไปด้วยเส้นไหมสีแดงสดใส
งานแต่งอันใหญ่โตของบุตรสาวเจ้าเมืองนั้นจะจัดขึ้นในอีกสามวัน
เวลานี้ ไม่เพียงแค่แผนของจ้าวเฟิงที่เสร็จเรียบร้อย การจัดเตรียมงานแต่งงานก็เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
“ได้เวลาแล้ว คนยิ่งเยอะยิ่งจับตัวยาก”
จ้าวเฟิงเดินออกมาจากที่พัก
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยนั่งอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม ใช้ดวงตาของมันกวาดมองไปรอบๆ สื่อสารกับสัตว์วิเศษต่างๆ
จ้าวเฟิงเพียงเพิ่งเดินออกมา หลิวหยวนและเหล่าผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกสี่คนก็รีบตามไปอย่างชิดใกล้ ไม่ออกห่างเกินระยะหนึ่งร้อยหลา
โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสี่คนจะคอยจับตามองเด็กหนุ่มตลอดเวลา ทำให้เขาไม่อาจลอบหลบหนีออกไปได้
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบัดนี้มีหลิวหยวนที่คอยจับตามองเพิ่มอีกคนด้วย
จ้าวเฟิงเดินไปยังสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ก่อนผงกศีรษะเล็กน้อย: ใกล้ได้เวลาแล้ว
หากแผนการเริ่มต้นขึ้น ทั่วทั้งเมืองหงหูจะเกิดความวุ่นวายอย่างมาก
แต่ในยามนั้น
“นายน้อย ตอนนี้คุณหนูกำลังลองชุดแต่งงาน ท่านเจ้าเมืองให้มาตามท่านไปด้วยขอรับ”
พ่อบ้านเดินมาบอกด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
จ้าวเฟิงตัวแข็งค้าง แผนการที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นกลับถูกขัดขวางไว้เสียก่อน
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยที่บนไหล่ของเขาก็มีท่าทีไม่พอใจเช่นกัน
“ได้”
จ้าวเฟิงพยักหน้าตอบรับ
เด็กหนุ่มคิดในใจ “อย่างน้อยก่อนหนีไปควรจะทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดี บอกลาเสียหน่อย”
เมื่อพ่อบ้านนำจ้าวเฟิงมาถึงห้องแต่งตัว ไม่ช้าเหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายต่างก็ช่วยกันผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเด็กหนุ่มให้เป็นชุดเจ้าบ่าว ดวงตาของพวกเขาส่องประกายระริก
รูปร่างของจ้าวเฟิงนั้นสง่างาม ใบหน้าคมคาย สีหน้าเคร่งขรึม เส้นผมสีเขียวครามราวกับหยกน้ำงาม นุ่มลื่นยิ่งกว่าผ้าไหม ทั้งยังปรากฏกลิ่นอายลึกลับบางประการ
ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายราวดวงดารา
โดยเฉพาะดวงตาข้างซ้าย ส่องประกายสีเขียวสว่างราวอัญมณี ปรากฏความลึกล้ำราวบ่อน้ำอันไร้ก้นบึ้ง
ร่างของจ้าวเฟิงนั้นมีกลิ่นอายลึกลับน่าหวาดกลัว ทว่าหลังจากที่ใส่ชุดเจ้าบ่าวแล้วกลับให้ความรู้สึกอบอุ่น น่าเข้าหา
เมื่อเดินออกมาจากห้องแต่งตัวเข้าไปยังห้องพิธี จ้าวเฟิงก็เห็นหลิวฉินซินที่ใส่ชุดเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว
หลิวฉินซินมีคิ้วที่ราวกับภาพวาด ดวงตาส่องประกายราวกับบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ บัดนี้นางไม่สวมใส่ผ้าปิดหน้า เผยให้เห็นใบหน้างดงามสง่าไร้ที่ติ เมื่อรวมกับท่าทีสงบเยือกเย็นแล้วทำให้นางดูราวกับสตรีผู้สูงศักดิ์
ด้วยผงแป้งสีแดงทำให้พวงแก้มของนางปรากฏสีฝาดเล็กๆ สร้างสตรีงดงามผู้หนึ่งขึ้น
“ไม่เลว ไม่เลว ช่างเหมาะสมกันจริงๆ”
เจ้าเมืองหงหูยิ้มหัวเราะด้วยความชอบใจ
หลิวฉินซินที่งามอย่างไร้ที่ติ เป็นความงามล้ำจนไม่อาจหาผู้ใดเคียงได้บนโลก สตรีงดงามเช่นนี้ ทั้งชีวิตจ้าวเฟิงได้เห็นเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
ทว่าด้วยการนำผ้าปิดตาออก สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงจึงสร้างภาพลักษณ์ลึกลับและสูงส่งขึ้น
ในอาณาจักรนภาแห่งนี้ ผู้ที่มีพลังสายเลือดไม่ได้เป็นเพียงตำนานอีกต่อไป เช่นในราชวงศ์และสี่ตระกูลต่างก็มีพลังสายเลือดที่สืบทอดกันมา เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสูงส่ง
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นหายากนัก
ดังนั้นแล้ว ยามนี้จ้าวเฟิงจึงปรากฏภาพลักษณ์สูงศักดิ์และลึกลับ นับเป็นบุรุษในฝันของสตรีจำนวนนับไม่ถ้วน
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงปรากฏกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ สายตาที่มองไปทำให้ผู้คนต้องรู้สึกถึงแรงกดดัน
เหล่าผู้อยู่ในงานจำนวนหนึ่งที่มีพลังสายเลือดต่างก็รับรู้ได้ว่าพลังสายเลือดของตนนั้นสั่นไหวกระวนกระวาย
ทั้งเจ้าเมืองหงหูและหลิวฉินซินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“พลังสายเลือดของเด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคาด สามารถเทียบเคียงได้กับสายเลือดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรนภา กระทั่งอาจแข็งแกร่งกว่า ทั้งยังเป็นสายเลือดดวงตาอันพิเศษเสียอีก”
เจ้าเมืองหงหูยิ่งมองก็ยิ่งพอใจที่ “แผนการ” ของตนเป็นไปตามที่ต้องการ
เมื่อคิดว่าพลังสายเลือดอันสูงศักดิ์ของว่าที่บุตรเขยมีโอกาสที่จะเหนือกว่าสายเลือดของราชวงศ์ มันก็นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก
ในอาณาจักรนภาที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ เหล่าตระกูลใหญ่ที่มีพลังสายเลือดมักจะเลือกที่จะเกี่ยวดองกับผู้ที่มีพลังสายเลือดเช่นกัน
ทว่าความสามารถของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงในยามนี้ได้ทำให้บรรดาผู้อาวุโสตระกูลหลิวต่างก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้
ทั้งเด็กหนุ่มผู้นี้ยังเป็นนักฝึกสัตว์อีก
หลิวฉินซินที่สวมชุดเจ้าสาวมีภาพลักษณ์เป็นสตรีในฝันของทุกคน ดวงตางดงามเบิกกว้างเล็กๆ มองไปยังว่าที่สามีของตนในอนาคต
ต้องยอมรับว่าคุณสมบัติของเด็กหนุ่มผู้นี้ตรงตามบุรุษในฝันของนางจริงๆ
นอกจากนั้น อีกฝ่ายยังเป็น “เนื้อคู่” ของนางอีก
คำสั่งเสียของผู้เป็นอาจารย์นั้น นางไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ แม้ว่าผู้ที่นางต้องแต่งให้จะเป็นคนหน้าตาน่าเกลียด ไร้ความสามารถ นางก็ต้องยอมรับ
ทว่าโชคดีนัก คู่มั่นของนางผู้นี้มิใช่คนธรรมดา ทั้งพรสวรรค์และรูปลักษณ์ล้วนยอดเยี่ยม พลังสายเลือดก็สูงศักดิ์
แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายอ่อนโยนกว่านี้ ก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้
“ข้าอยากคุยกับฉินเอ๋อร์ตามลำพัง”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพ ทำให้หลิวฉินซินเผลอไผล หัวใจสั่นสะท้าน
นางอดนึกถึงยามที่ผู้เป็นอาจารย์ได้ “ทำนาย” ดวงชะตา และให้นางเปลี่ยนชื่อเพื่อชะตานั้น กระทั่งยังทำให้นางได้แต่งงานกับบุรุษที่โดดเด่นเช่นนี้
เมื่อคิดถึงยามนี้ ดวงตาของนางของนางสดใสขึ้น ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างก็หวั่นไหว
“ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าอยากคุยกัน เช่นนั้นพ่อก็ไปก่อน”
เจ้าเมืองหงหูแย้มยิ้มก่อนเดินจากไป ทิ้ง ‘คู่รัก’ ไว้เบื้องหลัง สร้างพื้นที่ส่วนตัวให้
จ้าวเฟิงครุ่นคิดถึงช่องว่างที่เจ้าเมืองหงหูมอบให้ นับว่าช่วยเหลือในแผนของเขานัก
ทว่า ในยามนี้เขาได้รู้สึกหวั่นไหวเล็กๆ ไปกับสตรีงดงามน่ารักผู้นี้ ดวงตาของนางปรากฏความมืดหม่นอยู่ประการหนึ่ง เป็นคราแรกที่ทำให้เขาลังเลในการหนีการแต่งงานครั้งนี้
ทว่าจิตใจของเด็กหนุ่มมั่นคง เขารู้ว่าเขาไม่เหมาะที่จะแต่งงานตอนนี้ ทั้งหน้าที่ที่ผู้เป็นอาจารย์มอบให้ก็ยังคงไม่เสร็จสิ้น
ในใจลึกๆ ของจ้าวเฟิงนั้นได้ปรากฏความต้องการอันลึกล้ำในการกอบกู้สิบสามแคว้นและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินเดินเข้าห้องไปด้วยกัน ยามนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคน
หลิวฉินซินจิตใจหวั่นไหว ความอ่อนโยนของจ้าวเฟิงได้ทำให้นางรู้สึกถึงความยินดีอย่างมากมาย หัวใจรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้เป็นอาจารย์ที่จากไปยิ่งนัก
“เฟิงมีความลับบางอย่างที่ต้องบอกกับเจ้า”
หลิวฉินซินแย้มยิ้ม
“โอ้?”
จ้าวเฟิงมองไปยังอีกฝ่าย
หลิวฉินซินนำเหรียญสีทองแดงงดงามออกมา แย้มยิ้มก่อนเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของข้าให้ไว้ก่อนจากไป ท่านบอกว่าให้มอบสิ่งนี้แก่ผู้ที่เป็นสามีของข้า”
จ้าวเฟิงชะงักก่อนจะรับเหรียญนั้นมา
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยไม่รู้ออกมาแต่ยามใด มันจับจ้องไปยังเหรียญนั้นด้วยดวงตาแวววาวอย่างอยากได้ ราวกับคนหน้าเลือด
“นอกจากนั้น นามเดิมของข้าคือ หลิวฉินซิน (柳琴歆) เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของข้า ท่านอาจารย์ได้ให้ข้าเปลี่ยนนามไปเป็น ฉินซิน (琴心) หลังจากที่พบกับสามีของข้าจึงจะสามารถกลับไปใช้นามเดิมได้”
ดวงตาของเด็กสาวกระจ่างใส เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
หรืออาจกล่าวได้ว่าบัดนี้นางได้กลับไปใช้นามเดิม ‘หลิวฉินซิน (柳琴心)’ แล้ว
“หลิวฉินซิน(柳琴心)… หลิวฉินซิน(柳琴歆)…”
จ้าวเฟิงเอ่ยนามทั้งสองออกมา แทบจะก่นด่าออกไป
ซิน (心) และซิน (歆) นั้นออกเสียงเหมือนกัน
เป้าหมายแต่เดิมของเขาคือการตามหา ‘หลิวฉินซิน (柳琴歆)’ ทว่ามิคาด ผู้เป็นอาจารย์ของหลิวฉินซินได้เปลี่ยนแปลงนามของเด็กสาวผู้นี้ให้กลายเป็นหลิวฉินซินเพียงเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
ข้าอยากจะบ้าตาย
จ้าวเฟิงระงับอารมณ์เอาไว้อย่างกล้ำกลืน
ทันใดนั้น ดวงตาเทพเจ้าของเขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง รับรู้ได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ
ผู้เป็นอาจารย์ของหลิวฉินซินได้เปลี่ยนนามของศิษย์ตนเอง บังเอิญพบเข้ากับเขา ได้ทำให้เขากลายเป็นสามีของนาง มันจะบังเอิญมากเพียงนี้ได้อย่างไร?
แมวขโมยตัวน้อยดวงตากรอกไปมาราวใช้ความคิด สีหน้าปรากฏความหม่นหมอง
จ้าวเฟิงมองไปที่ยังเครื่องทำนายโชคชะตา
แมวขโมยตัวน้อยแสดงท่าทีคุกคาม ส่งสัญญาณให้แก่จ้าวเฟิง
“อันใดนะ? เจ้าบอกว่าข้าถูกควบคุมให้กลายเป็นเช่นนี้?”
จ้าวเฟิงอ้าปากค้าง
แมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะตอบรับ ส่งสัญญาณว่าเรื่องราวนั้นซับซ้อนเกินไป ควรจะปล่อยผ่านไปก่อน
ทว่า
เป้าหมายของแมวขโมยตัวน้อยได้แสดงออกมาแล้ว
มันบอกให้จ้าวเฟิงนำเหรียญทองแดงนั้นไป หนีการแต่งงาน ใช้มันเป็นสิ่งชดเชยความสูญเสียและความทรมานที่ผ่านมา
“เจ้าเป็นอันใด?”
หลิวฉินซินพบว่าสีหน้าของจ้าวเฟิงนั้นผิดปกติ
“ไม่เป็นไร”
จ้าวเฟิงรักษาสีหน้าเอาไว้ รับเหรียญทองแดงนั้นมา จากนั้นจึงรั้งร่างของหลิวฉินซินเข้ามากอด มิให้อีกฝ่ายเอ่ยพูดคำใด
หลิวฉินซินใบหน้าแดงก่ำ ไม่มีการขัดขืนตอบโต้แม้แต่น้อย ปรากฏความอ่อนโยนมากกว่าปกติ
“ได้มาแล้ว”
แมวขโมยตัวน้อยมองจ้าวเฟิงเก็บเหรียญไปด้วยท่าทีตื่นเต้น กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีอยู่ใกล้ๆ
หลิวฉินซินเริ่มอายจึงได้ค่อยๆ ผลักจ้าวเฟิงออกไปอย่างอ่อนโยน แมวขโมยตัวน้อยนี้ได้ให้ความรู้สึกราวกับจิ้งจอกตัวหนึ่งแก่นาง ยังมีคนนอกอยู่ด้วย นางจะได้อยู่กับว่าที่สามีของนางได้อย่างไร?
“ฉินซิน ในอาณาจักรนภาแห่งนี้ข้ามีหน้าที่บางอย่างที่ยังทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าอนาคต หากข้าสร้างความลำบากให้โปรดอภัย”
ก่อนที่จ้าวเฟิงจะจากไป เด็กหนุ่มได้ทิ้งถ้อยคำลึกซึ้งเอาไว้
หลิวฉินซินคิดว่าจ้าวเฟิงพูดแบบนี้เพราะเมื่อก่อนที่อีกฝ่ายได้ทำตัวเย็นชาไม่ใส่ใจต่อนาง นางจึงไม่ได้คิดไปในทางอื่น
เมื่อเอ่ยลาต่อหลิวฉินซินแล้ว จ้าวเฟิงจึงถอดชุดเจ้าบ่าวออกและออกไปจากห้องอย่างสบายๆ
ไม่นาน
เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจนถึงหน้าประตูตำหนักเจ้าเมือง
ที่นี่ปรากฏคนเดินพลุกพล่านมากมาย บรรยากาศครึกครื้น
“เริ่มได้”
จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยแตะมือกัน
จัดการได้
ในดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง ใจกลางได้ปรากฏความลึกล้ำ ราวกับว่าประกายแสงสีเขียวครามลึกล้ำนั้นได้หมุนวนอย่างรวดเร็ว
คลื่นพลังจิตกระเพื่อมไหว หลอมรวมเข้าไปยังพื้นดิน
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยให้ความร่วมมืออย่างดี โบกอุ้งเท้าของมันไปมา
เพราะใกล้ๆ นั้นปรากฏผู้คนมากมาย คลื่นพลังจิตที่กระเพื่อมไหวนี้จึงถูกปกปิดไว้โดยฝูงชน
หลิวหยวนและผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสี่ที่ติดตามจ้าวเฟิงได้ตกอยู่ท่ามกลางงานเฉลิมฉลอง
ในยามนี้เอง
เสียงร้องคำรามแหลมของสัตว์วิเศษได้ปรากฏขึ้นจากภายในตำหนักเจ้าเมือง
ในตำหนักเจ้าเมืองนั้น สัตว์วิเศษจำนวนมากได้หลุดจากการควบคุม อาละวาดบ้าคลั่งขึ้นอย่างกะทันหัน
โดยเฉพาะปักษาปีศาจที่แข็งแกร่ง สมบัติแห่งตำหนักเจ้าเมือง พลังแข็งแกร่งเกินผู้ใดได้เดินพล่านไปทั่ว
ทันใดนั้น บนท้องนภาพลันปรากฏประกายสายฟ้า พายุฝน และเสียงคำรามของอัสนีขึ้น
บนพื้นดินนั้น บ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงพลันล้มลงพังทลาย กลับกลายเป็นเศษซาก
สัตว์วิเศษเหล่านั้นล้วนมีความสามารถยอดเยี่ยม
ปกติแล้ว พวกมันจะเชื่อฟังคำสั่งอย่างดี
ทว่าในยามนี้ สัตว์วิเศษส่วนใหญ่กลับหลุดจากการควบคุม อาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
เพียงเวลาอันสั้น สัตว์วิเศษทั้งหลายก็ได้บินออกจากเขตตำหนักเจ้าเมือง ทำให้ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย
ในตำหนักเจ้าเมือง เหล่าผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำเช่นบ่าวไพร่ล้วนหวาดผวา กรีดร้องอย่างหวาดกลัวไปทั่วทุกหนแห่ง
ตำหนักเจ้าเมืองนั้นอยู่ที่ใจกลางเมือง มักจะสงบสุขอยู่เสมอ ทว่าในยามนี้กลับตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างไม่อาจเทียบ ผู้คนจำนวนมากตกอยู่ในความหวาดกลัว
สัตว์วิเศษเหล่านี้มีพลังมหาศาลเหนือปกติ บัดนี้ได้ออกไปสร้างความวุ่นวายอยู่ด้านนอกตำหนักเจ้าเมือง ยากที่จะคาดการณ์ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“รีบไปตามนักฝึกสัตว์ให้มาควบคุมสัตว์พวกนี้”
เหล่าคนระดับสูงในตำหนักเจ้าเมืองเอ่ยสั่งอย่างเร่งรีบ
สถานการณ์ในยามนี้ หากไม่สามารถควบคุมพวกมันได้ ก็ต้องฆ่า
ทว่าหากทำเช่นอย่างหลังจะสร้างความเสียหายอย่างมาก นักฝึกสัตว์นั้นแม้จะมีพลังถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและมีวิธีการที่ใช้ในการควบคุมสัตว์ได้ ทว่าก็มีความเสี่ยงไม่น้อยเช่นกัน
“ให้ข้าจัดการเถอะ”
จ้าวเฟิงตะโกนเสียงเบา ไล่ล่าเหล่าสัตว์วิเศษที่หนีออกจากตำหนักเจ้าเมืองไปด้วยความมั่นใจ
เหล่าผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนรู้ถึงสถานะนักฝึกสัตว์ของเด็กหนุ่มจึงได้หลีกทางให้แต่โดยดี