บทที่ 271 :แผนการสำเร็จ
เมื่อความจริงปรากฏ ทั้งจ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานต่างก็รู้สึกตกใจ
หลิวฉินซินที่จ้าวเฟิงต้องการค้นหานั้นมีบรรดาศักดิ์สูงนัก เป็นถึง “ราชวงศ์” ฉินหวางเฟย
ในอาณาจักรนภาแห่งนี้ ราชวงศ์ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุด ควบคุมทั่วทั้งอาณาจักร กระทั่งสามสำนัก สี่ตระกูลยังต้องเชื่อฟัง
เมื่อจ้าวเฟิงนึกถึงจุดนี้ คิ้วของเด็กหนุ่มก็มุ่นเข้าหากัน พลันคิดบางอย่างออก สีหน้าแปรเปลี่ยนไป
หากเขาจำไม่ผิด ระหว่างราชวงศ์และลัทธิโลหะเลือดไม่ถูกกันราวกับสายน้ำและเปลวเพลิง และอีกไม่นานก็อาจเกิดสงครามขึ้น
ราชวงศ์มีอำนาจในการควบคุม ทั้งยังเป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งนี้ ทว่าลัทธิโลหะเลือดเป็นเช่นศาสนา อำนาจน่าหวาดหวั่น ใช้วิธีการรุนแรงทำลายล้างผู้ต่อต้าน
“ฉินหวางเฟยต้องการครอบครองอำนาจเหนือผู้ใด หลอกลวงผู้คน กระทั่งพยายามยึดครองลัทธิโลหะเลือดของข้า”
เถี่ยหมัวเอ่ยพร้อมสายตามืดทะมึน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตใจของจ้าวเฟิงก็รู้สึกสั่นไหว
ระหว่างลัทธิโลหะเลือดกับราชวงศ์ ทั้งฉินหวางเฟยยังนับเป็นศัตรูคู่แค้น ไม่อาจอยู่ร่วมโลก
“หากข้านำของสิ่งนี้ไปมอบให้แก่ฉินหวางเฟยและเข้าสวามิภักดิ์ต่อนางก็เท่ากับว่า…”
จ้าวเฟิงรู้สึกกังวลอย่างหนัก
อาจารย์เถี่ยกานเองก็เริ่มเข้าใจในความนัยของคำพูดของเถี่ยหมัว
ดวงตาของบุรุษผมสีเลือดส่องประกายระริก เอ่ยพูดอย่างลังเลออกมาในที่สุด “ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็นับว่ามีบุญคุณต่อลัทธิโลหะเลือดของเราและนายเหนือผู้นี้ ระหว่างบุญคุณความแค้นนายเหนือผู้นี้ย่อมนั้นย่อมแยกแยะออก เรื่องนี้เราย่อมไม่ต้องการทำให้เจ้าลำบากใจ”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็รู้สึกโล่งอกเล็กๆ
เขาค่อนข้างกังวลว่าลัทธิโลหะเลือดจะบีบบังคับให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก
ทว่าแม้เถี่ยหมัวจะไม่ต้องการทำให้เขาลำบากใจ เขาก็ยังรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง
ลัทธิโลหะเลือดและราชวงศ์นั้นไม่อาจที่จะปรองดองกันได้
หากเขาร่วมมือกับลัทธิโลหะเลือด เขาเองก็ต้องเป็นศัตรูกับราชวงศ์ เป็นศัตรูกับฉินหวางเฟยที่ต้องรับจดหมายนั้น
ทว่าหลังจากที่เขามอบจดหมายเสร็จสิ้นและอยู่ข้างราชวงศ์ มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเป็นศัตรูกับลัทธิโลหะเลือด
ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะเลือกทางใดล้วนแล้วแต่ต้องเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หลังจากทำอาวุธเสร็จ จ้าวเฟิงก็ไม่ได้อยู่นานและรีบเดินทางกลับทันที
บางทีเรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้อาจเป็นวิธีการเผชิญหน้ากับ ‘การแต่งงาน’ นี้
อาจารย์เถี่ยกานมองตามร่างที่เลือนหายไปของจ้าวเฟิงก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านรองเจ้าลัทธิ ท่านทำแบบนี้ไม่กังวลหรือว่าฝั่งราชวงศ์จะถูกใจในตัวของจ้าวเฟิง? ทั้งสายเลือดดวงตาของเขาก็ยังมีความสามารถไม่น้อย”
“ทุกสิ่งล้วนต้องมองให้ลึกลงไปกว่านั้น แม้ว่าจะบีบบังคับให้เขาเลือกในยามนี้ก็ไม่อาจได้รับความภักดี อีกทั้งฉินหวางเฟย ผู้ที่มีฐานันดรสูงศักดิ์เช่นนี้ ท่านคิดว่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนต่างแดนหรือ?”
สายตาของบุรุษผมสีเลือดปรากฏความลุ่มลึกขึ้น
“ความหมายของท่านคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและฉินหวางเฟยไม่ได้ลึกซึ้งเช่นนั้น”
อาจารย์เถี่ยกานพลันเข้าใจ
“หึหึ”
มุมปากของบุรุษผมสีเลือดปรากฏรอยยิ้มร้ายกาจขึ้นบางเบา “ไม่ช้า ความจริงก็จะเปิดเผย การคาดเดาของนายเหนือผู้นี้ย่อมถูกต้อง”
เมื่อกลับเข้าเมืองไป
เจ้าเมืองหงหูได้เรียกจ้าวเฟิงเข้าพบทันที
ความจริงแล้ว งานแต่งงานระหว่างจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินนั้นเหลือเวลาเตรียมการอีกครึ่งเดือน
“นับแต่บัดนี้ เรื่องที่เหลือทั้งหมดเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ตั้งใจเตรียมตัวร่วมพิธีงานแต่งงานเถอะ”
เจ้าเมืองหงหูพูดขึ้น
ในระหว่างนี้ เรื่องการแต่งงานระหว่างจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหงหู
ตอนนี้ทั้งเมืองหงหูต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นเรื่องงานแต่งงาน
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความเร่งร้อนในใจ
งานแต่งงานเริ่มใกล้เข้ามา โอกาสในการหนีของเขาก็ยิ่งน้อยลง
แผนการทีล่ะย่างก้าวของจ้าวเมืองหงหูได้ทำให้จ้าวเฟิงไม่มีโอกาสหลบหนี
หากเป็นบุรุษผู้อื่น เมื่อได้พบสตรีเช่นหลิวฉินซิน ต่อให้รู้ว่าเป็นกับดักก็ย่อมยินยอม
หลิวฉินซินที่งามล้ำเหนือผู้ใด ท่วงท่าสงบนิ่ง ราวกับรูปวาดของทวยเทพ
หากจะพูดในด้านอื่นๆ ก็ยังยากจะหาใครเทียบ
ทว่าแต่เดิมแล้ว จ้าวเฟิงไม่ได้ต้องการที่จะแต่งงาน
ด้วยอายุที่ยังน้อย เพียงสิบหกขวบปี โหยหาแต่เพียงการเป็นยอดฝีมือ เรื่องราวระหว่างบุรุษสตรีนั้นไร้ซึ่งความสนใจใด
ทั้งหมดเป็นไปตามแผนของเจ้าเมือง รวมกับ “พรหมลิขิต” จากการที่แมวขโมยตัวน้อยได้ดึงผ้าปิดหน้าของหลิวฉินซินออก
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองหงหู จ้าวเฟิงก็รักษาสีหน้า ผงกศีรษะตอบรับ
“อีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้าเป็นบุตรเขยของตระกูลหลิวแล้ว ทางที่ดีอย่าได้สนิทสนมกับลัทธิโลหะเลือดนัก”
เจ้าเมืองหงหูกำชับ
จ้าวเฟิงตระหนักขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่าฉินหวางเฟยผู้นั้นก็มาจากตระกูลหลิวเช่นกัน
เมื่อนางเข้าร่วมกับราชวงศ์ ก็นับว่าเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิวกับราชวงศ์อยู่ในระดับหนึ่ง
ในเมื่อตระกูลหลิวและราชวงศ์มีความสนิทสนมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างลัทธิโลหะเลือดย่อมต้องรักษาระยะห่างเอาไว้
จ้าวเฟิงเอ่ยลาอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มกลับไปยังที่พักของตน กวาดดวงตาเทพเจ้าไปรอบๆ เล็กน้อย
การกวาดมองครั้งนี้ได้ทำให้สีหน้าของเขามืดทะมึนขึ้น
ใกล้ๆ ที่พักของเขาได้ปรากฏยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งจับตามองอยู่
ที่แท้
เพราะเรื่องการแต่งงาน รวมทั้งความสัมพันธ์กับลัทธิโลหะเลือด เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เจ้าเมืองหงหูจึงได้ส่งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมา “ปกป้อง” จ้าวเฟิง
เมื่อมีผู้ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมาค่อยเฝ้าดู แผนการหลบหนีงานแต่งงานก็ยิ่งยากขึ้น
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก นั่งขัดสมาธิ โคจรปราณภายในร่าง
เมื่อเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคอยจับตามอง เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังพลังของเขา
ในคืนนั้น เด็กหนุ่มได้ ‘ทะลวง’ เข้าสู่นภาที่เจ็ดได้
การทะลวงขั้นในครานี้ จ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องทำให้มันเสถียร เป็นเช่นการที่พลังได้กลับคืนสู่สภาพเดิม
“พลังฝึกตนและพื้นฐานนั้นมั่นคงกว่าก่อนหน้า”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะลับๆ
แม้จะเป็นนภาที่เจ็ดเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อเทียบกับเขาในยามที่อยู่ในงานพันธมิตรแล้ว นับว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่าตัวนัก
หลังจากงานพันธมิตร จ้าวเฟิงได้รับรู้ถึง “เขตแดนเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์” เมื่อเทียบกับเขตแดนเจตจำนงวิญญาณแล้วยังนับว่าเหนือกว่า เหนือกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
บัดนี้ “มรดกอัสนี” ชั้นแรกของเขาแทบจะนับว่าสมบูรณ์แบบ รวมทั้งด้านเคล็ดวิชาพลังจิตเมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วก็นับว่าแข็งแกร่งกว่ามาก
ข่าวการบรรลุนภาที่เจ็ดของจ้าวเฟิงได้ทราบไปถึงเจ้าเมืองหงหูอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยเพิ่งจะทะลวงขั้น บอกว่าต้องการที่จะสร้างความเสถียรให้กับพลังฝึกตน ดังนั้นแล้วจึงต้องการให้เลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน”
พ่อบ้านเอ่ย
“ทะลวงขั้น นับเป็นเรื่องดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องวุ่นวายพวกนั้นก็ลื่อนออกไปให้เขาก่อนเท่าที่จะทำได้ ”
เจ้าเมืองหงหูไม่ได้มีความสงสัยในเด็กหนุ่ม ใบหน้าปรากฏความชื่นชม
หนึ่ง การทะลวงขั้นนั้นจำเป็นต้องสร้างความเสถียรให้กับพลังฝึกตนจริงๆ สอง การทะลวงขั้นของจ้าวเฟิงได้ทำให้เขาเหมาะสมกับหลิวฉินซินมากยิ่งขึ้น
“อีกเรื่องหนึ่งคือ ก่อนและหลังงานแต่งงานให้เขานำผ้าปิดตาออกด้วย สายเลือดดวงตาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้นับว่าเหมาะสมกับพรสวรรค์ของหลิวฉินซินอย่างมาก”
เจ้าเมืองหงหูกำชับ
คำสั่งของเจ้าเมืองหงหูได้ไปถึงจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
“ดีนัก การหนีงานแต่งงานครั้งนี้ จำเป็นต้องใช้พลังของดวงตาเทพเจ้า”
เจ้าเฟิงนำผ้าปิดตาลงอย่างเชื่องช้า
หลังจากกลับมาจากตำหนักเถี่ยกาน เขาได้เปลี่ยนผ้าปิดตาใหม่ มันมีสีเงินจางและบางเบา สร้างความรู้สึกสง่างาม
ผ้าปิดตาใหม่นี้เป็นสิ่งที่อาจารย์เถี่ยกานมอบให้เขา เมื่อสวมใส่จะสามารถปกปิดความสามารถของสายเลือดดวงตาได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
ต่อมา
ในการสร้างความเสถียรให้กับพลังฝึกตนนั้น จ้าวเฟิงได้เริ่มเตรียมการเรื่องสำคัญในการ ‘หลบหนีการแต่งงาน’ อย่างลับๆ
เขาออกจากห้องน้อยลง ครุ่นคิดถึงแผนการต่อไป
หากมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกในการลงมือ เขาก็จะส่งแมวขโมยตัวน้อยออกไปจัดการ
ด้วยรูปร่างเล็กจ้อยของมัน เวลาที่ทำเรื่องอะไรก็ไม่ค่อยถูกสังเกตเห็นนัก ทำให้เรื่องราวหลายๆ อย่างสะดวกมากขึ้น
“ตำหนักเจ้าเมือง เมืองหงหูและพื้นที่โดยรอบ ข้าพอจะล่วงรู้บ้างแล้ว…”
ในหัวใจของเด็กหนุ่มปรากฏความลังเลขึ้น
ด้วยพลังฝึกตนของเขาในยามนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้กลัวการไล่ล่าจากเหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองสามคนเลย
ทว่าผู้ที่ยากจะรับมือที่สุดคือยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่เพิ่งถูกส่งมา
คนผู้นี้นามหลิวหยวน มีคำกล่าวไว้ว่าเขาคือน้องชายของเจ้าเมืองหงหู ครั้งหนึ่งเคยได้เข้าร่วมกับตำหนักดาบ เพื่อที่จะปกป้องบุตรเขยในนามของเจ้าเมือง เขาจึงได้อยู่ใกล้ๆ
งานแต่งงานได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทว่ายังเหลือเวลาอีกราวๆ 5-6 วัน
วันนี้
จ้าวเฟิงที่เตรียมการทุกสิ่งพร้อมแล้วจึงได้ ‘ออกไปด้านนอก’ ในที่สุด
การออกมาในครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้ไปหาหลิวฉินซิน ทั้งยังไม่ได้ไปหาเจ้าเมืองหงหู
เป้าหมายของเขาคือยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่คอยเฝ้ามองอยู่ผู้นั้น
“ท่านลุงหยวน ข้าเพิ่งจะสร้างความเสถียรให้กับพลังฝึกตนของข้าได้ มีปัญหาในการฝึกหลายอย่าง ต้องการจะถามท่านเสียหน่อย”
จ้าวเฟิงไปหายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นั้นด้วยตนเอง
“อืม”
หลิวหยวนพยักหน้า ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส เขาย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยปกติเขาเองก็มีเหล่าเด็กๆ มาคอยขอคำชี้แนะอยู่แล้ว
ไม่ต้องเอ่ยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือบุตรเขยของเจ้าเมืองเลย ในอนาคตเขาย่อมเป็นผู้ที่ควบคุมเมืองหงหูแห่งนี้ ย่อมไม่อาจเพิกเฉยได้
ขณะเดียวกัน
หลิวหยวนได้ลอบคิด “ควรใช้โอกาสนี้ในการค้นหาความสามารถที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้นี้”
จ้าวเฟิงมีสายเลือดดวงตา บนร่างปรากฏกลิ่นอายลึกลับ ทุกคนรวมทั้งเจ้าเมืองหงหูล้วนสงสัยใคร่รู้
จ้าวเฟิงมาหาหลิวหยวนเป็นคนแรกและได้พูดคุยเกี่ยวกับการฝึกตนบางส่วน
หลังจากนั้นเขาจึงใช้การประลองเพื่อขอคำชี้แนะ
เป้าหมายของจ้าวเฟิงย่อมเป็นการค้นหาความสามารถของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้นี้
หลิวหยวนนับได้ว่าเป็นศิษย์ตำหนักดาบครึ่งหนึ่ง
ตำหนักดาบคือหนึ่งในสามสำนักแห่งอาณาจักร ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลหลิวและราชวงศ์
ในด้านการต่อสู้ คนของตำหนักดาบส่วนมากใช้พิณ ดาบ ปากกา ขลุ่ย และสิ่งอื่นๆ นับว่าเป็นวิธีการต่อสู้ที่สง่างาม
อาวุธของหลิวหยวนคือพู่กันสีดำ ภายใต้การตวัดวาด ปราณจิตวิญญญาณได้ไหล่ทะลัก สร้างภาพงดงาม
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออก ทำความเข้าใจในวิธีการต่อสู้ของหลิวหยวน วิเคราะห์ส่วนดีและด้อยของมัน
“สง่าและงดงาม… ทั้งการโจมตีและป้องกันล้วนกลางๆ ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเร็วไม่นับว่าย่ำแย่”
จ้าวเฟิงเข้าใจในความสามารถของอีกฝ่ายส่วนหนึ่ง
พลังที่เขาแสดงออกมานั้นใกล้เคียงกับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปของอาณาจักรนภา เมื่อเทียบกับสิบสามแคว้นแล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้าง และเพราะดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงจึงสามารถรับมือหลิวหยวนได้หนึ่งถึงสองกระบวนท่า
แน่นอนว่า หลิวหยวนได้กดพลังลงไปสามสิบจากหนึ่งร้อยส่วน หากใช้พลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างเต็มที่ ความแตกต่างระหว่างขอบเขตนั้นนับว่าเป็นสิ่งกีดขวางที่ยิ่งใหญ่ ไม่อาจที่จะรับมือได้
หลังจากที่พูดคุยกันครึ่งชั่วยาม จ้าวเฟิงก็ค้นพบข้อมูลของหลิวหยวนอยู่บ้าง
เพื่อแสดงความขอบคุณ เด็กหนุ่มจึงตอบแทนโดยการช่วยฝึกสัตว์วิเศษให้อีกฝ่า
หลิวหยวนปฏิเสธ ทว่าจ้าวเฟิงนั้นจริงใจนักจึงตอบตกลงในที่สุด เขาเคยได้ยินมาแล้วว่าวิธีการฝึกสัตว์ของเด็กหนุ่มนั้นไม่ธรรมดา
หนึ่งชั่วยามต่อมา
แมวขโมยตัวน้อยและจ้าวเฟิงช่วยกันฝึกสัตว์วิเศษของหลิวหยวน ‘นางแอ่นสีแดง’
หลังจากได้รับการฝึกแล้ว ‘นางแอ่นสีแดง’ ก็ราวกับว่ามีสติปัญญามากขึ้น เชื่อฟังผู้เป็นเจ้าของมากกว่าแต่เดิม
“ขอบใจหลายชายมาก”
หลิวหยวนดีใจอย่างมาก มิคาดคิดว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจะใช้เขาเป็นหนึ่งในขั้นตอนของแผน
เรียบร้อย
จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยสบตากันก่อนจะกลับไปยังที่พัก
ตอนนี้เอง
แผนการหนีงานแต่งงานได้เตรียมพร้อมแล้ว