บทที่ 270 : วงแหวนทมิฬ
ณ ภูเขาเถี่ยกาน
เกี้ยวทองมังกรโลหิต รูปลักษณ์ราวมีดดาบได้แสดงความดุดันอันยากจะเทียบเคียง
ชั่วพริบตาเดียว เวลาหนึ่งเดือนก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสายลม พายุฝน หรือสายฟ้าก็ไม่อาจทำให้ “เกี้ยวทองมังกรโลหิต” ขยับไหว สิ่งมีชีวิตรอบด้านไร้ซึ่งเสียงใดๆ
ในระหว่างนั้น เหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจากเมืองหงหูก็ได้มองเกี้ยวทองมังกรโลหิตค่อยๆ จากไปจากสถานที่ห่างไกล
กระทั่งเจ้าเมืองหงหูยังได้มาตรวจสอบด้วยตนเอง
เมื่อเขาเห็นเกี้ยวทองมังกรโลหิต สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ลง หมุนตัวจากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เป็นที่รู้กันในเมืองหงหูว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์เถี่ยกานและลัทธิโลหะเลือดนั้นดีนัก มันไม่ใช่ความลับอันใด
ลัทธิโลหะเลือดในแคว้นนภาแห่งนี้มีอำนาจน่าพรั่นพรึง สั่งสอนวิธีการฆ่าฟัน ใช้ความรุนแรงในการบดขยี้ผู้ต่อต้าน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีอำนาจเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลหลิวหงหูเลย ต่อให้เป็นตระกูลหลักหลิวก็ยังต้องหวาดระแวง
บัดนี้ การกระทบกระทั่งกันระหว่างราชวงศ์และลัทธิโลหะเลือดในอาณาจักรนภาก็ได้กลายเป็นเรื่องเปิดเผยแล้ว เหล่าขั้วอำนาจทั้งหกต่างเข้าร่วมอย่างลับๆ ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งนัก
ในห้องทำอาวุธลับใต้ดิน
จ้าวเฟิงเดินไปยังห้องรับรองข้างๆ ก่อนนั่งลงฝึกตนอย่างสงบนิ่ง
การ ‘หลอมรวม’ ที่เป็นขั้นสุดท้ายนั้นเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำเพียงดูบุรุษเรือนผมสีเลือดและอาจารย์เถี่ยกานกระทำ
ความจริงแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายนี้ไม่ใช่ขั้นที่ต้องการความละเอียดอันใดนัก ในทางกลับกัน มันต้องใช้พลังฝึกตนระดับสูงมาก
เวลาต่อมา
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่าตื่นตะลึงจากห้องสร้างอาวุธลับชั้นใต้ดินอย่างต่อเนื่อง แม้เป็นเพียงหนึ่งหรือสองส่วนก็ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน
หากเป็นอาจารย์เถี่ยกาน จ้าวเฟิงมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีกลิ่นอายที่ทรงพลังเพียงนี้
กระทั่งเจ้าเมืองหงหูและคนอื่นที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ไม่อาจเทียบเคียงกับพลังมหาศาลนี้ได้
“ดูเหมือนว่าท่านเถี่ยหมัวผู้นี้จะอยู่ในขั้นนายเหนือแท้เป็นอย่างน้อย ย่อมครองตำแหน่งสูงในลัทธิโลหะเลือด”
จ้าวเฟิงคาดเดาอยู่ในใจ
ความสามารถของขั้นนายเหนือแท้นั้นยิ่งใหญ่นัก ยืนอยู่เหนือทั้งอาณาจักร ควบคุมทุกสิ่ง เพียงพลิกฝ่ามือก็สั่งเมฆา พลิกอีกคราสั่งสายฝน
เวลาผ่านไปเล็กน้อย
ขณะที่จ้าวเฟิงฝึกตนอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวอย่างต่อเนื่อง
ห้าหกวันต่อมา
ในห้องทำอาวุธลับใต้ดินปรากฏเสียงตีเหล็กออกมาพร้อมกับกลิ่นอายแหลมคมดุดันของอาวุธ มันค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่คือกลิ่นอายของอาวุธชั้นจิตวิญญาณ…”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ว่าคันศรหลัวซุยกำลังสั่นไหว ผ้าคลุมเงาหยินเองก็พลิ้วไหว ราวกับกระวนกระวายเล็กๆ
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยออกมาพร้อมกับมองไปยังห้องทำอาวุธลับ
ห้องทำอาวุธนั้นสร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษที่สามารถปิดกั้นประสาทสัมผัสจิตวิญญาณได้ สามารถปิดกั้นพลังวิญญาณได้ กระทั่งดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ไม่อาจมองทะลุผ่านได้โดยง่าย
กลิ่นอายของอาวุธชั้นจิตวิญญาณนั้นพิเศษ มันทั้งเฉียบคม สงบนิ่ง และกลิ่นอายกระหายเลือดรุนแรง จิตสังหารจากมันปรากฏขึ้นอย่างข้นคลั่ก
ยิ่งเวลาผ่านไป กลิ่นอายในห้องทำอาวุธลับใต้ดินเริ่มรุนแรงขึ้น
จ้าวเฟิงกระทั่งรับรู้ได้ถึงความอุ่นซ่านของเปลวไฟ บางทีอุณหภูมิที่ใจกลางนั้น กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปก็อาจกลายเป็นเพียงกองขี้เถ้าไปในเสี้ยววินาที
ช่วงเวลาหนึ่ง
กลิ่นอายของอาวุธชั้นจิตวิญญาณนี้ได้เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด กระทั่งห้องทำอาวุธนั้นก็ไม่อาจปิดกั้นได้
ติง…
จ้าวเฟิงได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นติดๆ กัน ในใจปรากฏความกระวนกระวายขึ้นอย่างกะทันหัน
พรึบ
ผ้าคลุมเงาหยินสะบัดวูบ ร่างของจ้าวเฟิงจางหายไปในเสี้ยววินาที
ณ เวลานี้ บรรยากาศในห้องใต้ดินเริ่มอึดอัดมากขึ้น
“ฉึก ฉึก” ผนังที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับอาวุธชั้นจิตวิญญาณได้ถูกเงาแสงสีมืดประกายเงินทะลวงผ่าน สร้างเป็นรอยกว้างยาวหลายฟุต ปรากฏประกายขึ้นยามที่กระทบกัน
ทั้งประกายแสงเหล่านั้นเพียงสัมผัสก็สามารถจัดการผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ในเสี้ยววินาที
พรึบ
จ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าห้องลับ
ในตอนนั้นเอง ภายในห้องลับได้ปรากฏประกายแสงหม่นมัวขึ้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้มองเห็นถึงกรงจักรสีดำเงินอยู่ที่ใจกลาง
รอบจุดศูนย์กลางของมันปรากฏความมืดมิดลึกล้ำ ปลายขอบเป็นใบมีดบางสีเงิน ให้ความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองไป
วูบ
กรงจักรสีดำเงินพลันหดตัวลงกะทันหัน หายไปจากสายตา
จากนั้น แสงหม่นมัวก็ได้หายไปจนหมดสิ้น
บุรุษผมสีเลือดและอาจารย์เถี่ยกานเดินออกมาพร้อมกัน
สีหน้าอาจารย์เถี่ยกานอ่อนล้าและซีดเซียว ทว่าใบหน้ากลับปรากฏความตื่นเต้นมากกว่าปกติ
บุรุษผมสีเลือดมีสีหน้ายินดี แขนขวาของเขาได้ถูกห่อหุ้มโดยโลหะสีเงินดำ ราวกับแขนของเครื่องจักร
แขนขวาสีดำนั้นมีพื้นผิวราบเรียบ เป็นดั่งประติมากรรมที่งดงามไร้ซึ่งที่ติ กระทั่งรอยต่อก็ไร้ซึ่งข้อบกพร่อง
นอกจากมีโลหะเป็นส่วนประกอบแล้ว แขนข้างนี้ก็ไม่ต่างจากแขนของคนทั่วไป ให้กลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา
“ฮี่ฮี่ นี่พลังของวงแหวนทมิฬนี้สมบูรณ์กว่าที่คาดไว้นัก สามารถตัดผ่านอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย เมื่อกวาดมองไปทั่วทวีปเหนือแล้ว นอกจากอาวุธโบราณชั้นมรดก สิ่งที่สามารถเทียบเคียงมันได้ก็นับว่าน้อยนัก”
ชายผมสีเลือดแย้มรอยยิ้ม พึงพอใจอย่างมาก
จ้าวเฟิงได้เข้าร่วมในการสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ทุกชิ้นส่วนของมันล้วนอยู่ในความทรงจำของเขา
ครานี้เมื่อเห็นอาวุธที่เสร็จสมบูรณ์ เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าก็แทบจะวิเคราะห์มันได้ทั้งหมด
“วงแหวนทมิฬนี้น่าจะมีสามรูปแบบ หนึ่ง รูปแบบแขน เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิด สอง คือรูปแบบในการโจมตี มีรูปร่างเป็นกรงจักรสีดำเงินที่หมุนได้อย่างรวดเร็ว ความแหลมคมไม่อาจต่อต้าน รูปแบบที่สามคือโล่ ใช้ในการป้องกัน”
จ้าวเฟิงใช้ดวงตาเทพเจ้าวิเคราะห์ผลลัพธ์ออกมา
เขาต้องยอมรับว่าอาวุธชิ้นนี้นับว่าสมบูรณ์แบบอย่างมาก กระทั่งเหนือกว่าขอบเขตความสามารถของอาวุธธรรมดาทั่วไป
อาจารย์เถี่ยกานและบุรุษผมสีเลือดคงไม่อาจจินตนาการได้ว่า ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นสามารถท้าทายอำนาจสวรรค์ได้เพียงนี้ สามารถคัดลอกและวิเคราะห์ความสามารถมันได้
แม้จ้าวเฟิงจะไม่ได้เห็นพิมพ์เขียวและไม่ได้เข้าร่วมขั้นตอนหลักในการสร้าง ทว่าเขาได้มีส่วนร่วมในการ ‘ตรวจสอบ’ ส่วนประกอบแต่ล่ะชิ้น
ความคุ้นเคยกับวัสดุของงานชิ้นนี้นั้น จ้าวเฟิงกระทั่งมีมากกว่าอาจารย์เถี่ยกาน
“สมกับที่เป็นพิมพ์เขียวจากมรดกความลับสวรรค์ แม้พวกเราจะสร้างมันขึ้นมาได้ทว่ากลับไม่จำเป็นที่จะสามารถวิเคราะห์ความสามารถและความลับของมันได้ ทั้งหากไม่มีจ้าวเฟิงเข้ามาช่วย ต้องการจะสร้างวงแหวนทมิฬคงจะต้องจ่ายมากกว่านี้นับสิบเท่าตัว”
อาจารย์เถี่ยกานเอ่ยขึ้น
สามารถสร้าง “วงแหวนทมิฬ” ออกมาได้นั้น ก็นับว่าเป็นความสำเร็จของจ้าวเฟิงเช่นกัน
ทว่าสิ่งที่จ้าวเฟิงคิดอยู่ในยามนี้คือ ‘วงแหวนทมิฬนี้เหมาะสมที่จะใช้เป็นแขนนัก’
มันทำให้เขานึกถึงผู้เป็นอาจารย์
หากทำตามเงื่อนไขได้มากเพียงพอ จ้าวเฟิงกระทั่งสามารถสร้างวงแหวนทมิฬแบบง่ายขึ้นมาได้ ทว่าในยามนี้นับว่ายากยิ่งนัก มีเพียงการบรรลุถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะมีโอกาส
“จ้าวเฟิง ครานี้นับว่าเจ้าลงแรงไปมิน้อย เจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการหรือไม่? หากเจ้ายินยอมเข้าร่วมลัทธิโลหะเลือด นายเหนือหัวผู้นี้ยินดีที่จะมอบตำแหน่งหัวหน้าสาขาให้แก่เจ้า”
บุรุษเรือนผมสีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มยินดี
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของอาจารย์เถี่ยกานก็ได้ซีดเซียวลงเล็กๆ มันเป็นตำแหน่งที่เทียบเท่าได้กับผู้นำตระกูลระดับกลางของอาณาจักรนภาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าบุรุษผมสีเลือดอาจจะดีใจมากเกินไป ทว่าเขาเองก็มีซาบซึ้งต่อจ้าวเฟิงมากนัก คำพูดที่กล่าวไปนั้นเป็นความต้องการตอบแทนอย่างแท้จริง
“เรียนท่านเถี่ยหมัว ผู้เยาว์มาจากดินแดนห่างไกล การมาที่อาณาจักรนภาแห่งนี้เพื่อที่จะตามหาคนผู้หนึ่ง ยามนี้จึงไม่มีความต้องการเข้าร่วมกับผู้ใด”
จ้าวเฟิงปฏิเสธอย่างฉลาดเฉลียว
ลัทธิโลหะเลือดแม้จะแข็งแกร่งมาก ทว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักนี้เลย หากผิดพลาดก็อาจจมลงสู่วังวนการต่อสู้ภายในอาณาจักรนภาได้
เมื่อเทียบกันแล้ว จ้าวเฟิงยินยอมที่จะให้อีกฝ่ายเป็นหนี้บุญคุณเขาเสียมากกว่า หากถึงยามคับขันจะขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายก็ยังไม่สาย
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือของเจ้าในครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่นัก หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือในภายภาคหน้าสามารถบอกแก่ลัทธิโลหะเลือดได้”
บุรุษเรือนผมสีเลือดยื่นตราสีโลหิตแปลกประหลาดให้แก่เด็กหนุ่ม
“นี่คือตราคำสั่งของจ้าวลัทธิโลหะเลือด หากมีตรานี้ เจ้าสามารถเดินทางในอาณาเขตของลัทธิโลหะเลือดได้ และสามารถขอนายเหนือหัวผู้นี้ได้อย่างหนึ่ง”
บุรุษผมสีเลือดอธิบาย
จ้าวเฟิงรีบกล่าวขอบคุณและรับตราคำสั่งจ้าวโลหะเลือดนั้นมา
หลังจากนั้น บุรุษผมสีเลือดไม่ได้จากไปในทันที
อาจารย์เถี่ยกานกล่าวว่า “วงแหวนทมิฬ แม้ว่าจะสร้างได้สำเร็จ ทว่าทางที่ดีควรให้จ้าวเฟิงตรวจสอบอีกครั้ง”
จะอย่างไร อาวุธชิ้นนี้ก็ล้ำค่ายิ่งนัก พิมพ์เขียวได้มาจากมรดกที่ลึกลับและเก่าแก่ที่สุดอย่างมรดกความลับสวรรค์
“ความจริงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแล้ว อาวุธชิ้นนี้ทุกส่วนประกอบล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด คล้ายคลึงกับกระดูกข้อต่อของร่างกายมนุษย์ ขยับครั้งหนึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งร่างกาย”
จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้มบางทว่าไม่ได้ปฏิเสธ รับวงแหวนทมิฬมาก่อนจะใช้ดวงตาเทพเจ้าตรวจสอบอย่างละเอียด
ด้วยดวงตาเทพเจ้า เด็กหนุ่มสามารถวิเคราะห์โครงสร้างของวงแหวนทมิฬได้ ย่อมสามารถสร้างอีกชิ้นหนึ่งขึ้นได้ในอนาคต
วงแหวนทมิฬนี้หนักยิ่งนัก อย่างน้อยก็มากกว่าหนึ่งพันจิน
ทว่าเมื่อเทียบกับระดับของบุรุษผมสีเลือดแล้วก็ไม่นับเป็นอันใด
“ไม่มีปัญหา ทว่าในช่วงแรกควรจะปล่อยให้มันเย็นลงก่อนสักหลายวัน แต่ก็ไม่ควรนานเกินไปนัก สักครึ่งเดือนก็น่าจะสามารถแสดงพลังได้สูงที่สุด”
เมื่อตรวจสอบเสร็จ เด็กหนุ่มก็ยื่นอาวุธคืนให้แก่บุรุษผมสีเลือด
เมื่อฟังคำแนะนำของจ้าวเฟิงแล้ว ทั้งอาจารย์เถี่ยกานและบุรุษผมสีเลือดก็ได้มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
เพราะคำแนะนำของจ้าวเฟิงนั้นตรงกับคำอธิบายในพิมพ์เขียวยิ่งนัก
ทั้งที่เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นพิมพ์เขียวนั้นมาก่อน ทว่าก็ยังคงสามารถอธิบายได้เช่นเดียวกับที่มันเขียนเอาไว้ นับว่าน่าอัศจรรย์นัก
บุรุษผมสีเลือดมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างเคร่งเครียด “สายเลือดดวงตาของเจ้าพิเศษยิ่งนัก หากเจ้าต้องการ ลัทธิโลหะเลือดของข้ายินดีต้อนรับเจ้าเสมอ นายเหนือผู้นี้ขอมอบคำเชิญนี้ให้เจ้าอย่างจริงใจ”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่ายจึงไม่ได้ปฏิเสธ คิดว่าหลังจากที่ส่งจดหมายของผู้เป็นอาจารย์แล้วจะคิดใคร่ครวญดูอีกครั้ง
จะอย่างไร จดหมายของผู้อาวุโสหนึ่งก็ได้เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง เจ้ากำลังหาคนอยู่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่ให้ท่านเถี่ยหมัวช่วยเจ้าเสียล่ะ?”
อาจารย์เถี่ยกานเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
เขารู้ว่าท่านเถี่ยหมัวให้ความสำคัญกับจ้าวเฟิง จึงได้มอบคำเชิญที่จริงใจให้เช่นนั้น
ดวงตาจ้าวเฟิงส่องประกาย เร่งร้อนหยิบหวีหยกออกมามอบให้กับเถี่ยหมัว
เถี่ยหมัวรับหวีหยกนั้นมา สัมผัสมันอย่างนุ่มนวล ดวงตาส่องประกายวูบ
“บางทีบุคคลที่เจ้าต้องการค้นหา คงมีนามว่าหลิวฉินซินใช่หรือไม่?”
เถี่ยหมัวถาม
“ถูกต้องขอรับ ทว่าไม่รู้ว่าเป็นหลิวฉินซินผู้ใด”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เถี่ยหมัวอาจเป็นผู้มากอำนาจของลัทธิโลหะเลือด มีความรู้และคนรู้จักอย่างกว้างขวาง
“หลิวฉินซิน…”
น้ำเสียงของเถี่ยหมัวเข้มขึ้น คิ้วมุ่นเข้าหากัน สายตาส่องประกายเลือนราง
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกว่า เถี่ยหมัวดูเหมือนจะรู้เบาะแสบางอย่าง อาจกระทั่งรู้ถึงตัวตนของผู้ที่เขาต้องการตามหา
ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เร่งร้อนถาม หากอีกฝ่ายต้องการย่อมเอ่ยบอกออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น
เถี่ยหมัวนำหวีหยกครึ่งหนึ่งนั้นส่งคืนจ้าวเฟิง เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉียบ “คนที่เจ้าต้องการตามหาน่าจะเป็นฉินหวางเฟย”
ฉินหวางเฟย
จ้าวเฟิงจิตใจสั่นสะท้าน ไม่คิดว่าผู้ที่เป็นเจ้าของจดหมายนี้จะมีตำแหน่งที่พิเศษเช่นนี้
ในบรรดาผู้ที่มีนามว่าหลิวฉินซิน “ฉินหวางเฟย” คือผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุด
“ฉินหวางเฟย”
อาจารย์เถี่ยกานสูดลมหายใจเย็นเยียบ “ฉินหวางเฟยผู้นี้ อำนาจและฐานะในราชวงศ์อาจนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสามอันดับแรก กล่าวได้ว่าทั่วทั้งอาณาจักรนภาล้วนถูกควบคุมโดยนาง ผู้ที่จ้าวเฟิงต้องการตามหาจะเป็นนางไปได้อย่างไร?”