บทที่ 269:เกี้ยวเลือดมังกร
ณ ภูเขาเถี่ยกาน
จ้าวเฟิงรีบออกจากเมืองหงหูเพื่อไปให้ทันตามเวลานัดหมาย
จากข้อตกลงของเขากับอาจารย์เถี่ยกาน วันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาจะเริ่มสร้างอาวุธชั้นจิตวิญญาณนั้น
การมาที่ภูเขาเถี่ยกานครั้งนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป จิตใจปรากฏความหนาวเยือก
ทั้งตำหนักเถี่ยกานเต็มไปด้วยบรรยากาศและกลิ่นอายที่น่าพิศวง
ทั้งบนภูเขาและตำหนักด้านในล้วนเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงใด
หน้าประตูตำหนักเถี่ยกานปรากฏเกี้ยวสีทอง ปรากฏรอยสลักรูปมังกรโลหิตคำราม ด้านบนมีรอยมีดปาดแทงเป็นรูปกากบาทสื่อถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต
ทั้งสี่มุมของเกี้ยวปรากฏคนหามเกี้ยวยืนตัวตรง ไม่ขยับไหว
จ้าวเฟิงกวาดตามองทั้งสี่ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
กลิ่นอายบนร่างของทั้งสี่นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ทั้งหมดคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ คนผู้นี้คือผู้ใดกัน กระทั่งใช้ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมาเป็นคนหามเกี้ยวได้?
หากจะว่าไปแล้ว คนหามเกี้ยวทั้งสี่กระทั่งมีพลังที่เหนือกว่าผู้อาวุโสหยุนไห่เสียอีก
ในเวลาเดียวกันนั้น
เบื้องหลังห่างออกไปครึ่งลี้ ร่างในชุดสีดำ หลอมรวมอยู่กับความมืดมิดยามราตรี เฝ้ามองจ้าวเฟิงอย่างจดจ่อ
“ภูเขาเถี่ยกานในคืนนี้ มีบางอย่างผิดปกติ”
คนในชุดดำผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุด หลบซ่อนอยู่บนพื้นที่สูงได้ส่งเสียงตอบ “ตำหนักเถี่ยกาน ด้านหน้าปรากฏเกี้ยวอยัคันหนึ่ง สร้างขึ้นด้วยทองคำ โลหิตมังกร และมีดดาบ…”
เพียงสิ้นคำ
คนชุดดำทั้งสี่ก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเยือก
“เกี้ยวทองมังกรโลหิต”
ทั้งสี่มองไปยังเกี้ยวนั้นด้วยความหวาดกลัวและตื่นตะลึง
ในตอนนั้นเอง
แผ่นหลังของทั้งสี่เปียกชุ่ม ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“ทำอย่างไรดี?”
หนึ่งในสี่คนเอ่ยขึ้น
“อย่าขยับ”
หนึ่งในสี่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงปรากฏความขมขื่น
“หากเจ้าของเกี้ยวนั้นต้องการฆ่า… ต่อให้เป็นท่านเจ้าเมือง หรือท่านผู้นำตระกูลฉีหลินก็ไม่อาจช่วยเราได้”
คนชุดดำทั้งสี่ยืนแข็งราวท่อนไม้อยู่กับที่ ไม่กล้าแม้ขยับตัว
หากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่า กระทั่งปักษาทั่วทั้งภูเขาเถี่ยกานก็มิกล้าที่จะส่งเสียงใด สร้างดินแดนแห่งความเงียบงันขึ้น
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าบรรยากาศนั้นหนักอึ้งอย่างน่าประหลาด เพียงการหายใจยังยากลำบาก
เขาตระหนักได้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีความเกี่ยวข้องกับเกี้ยวทองมังกรโลหิต
“ตามข้อตกลงกับท่านอาจารย์เถี่ยกาน บุคคลลึกลับผู้นั้นก็จะมาถึงในวันนี้เช่นกัน”
จ้าวเฟิงไม่พูดอันใดและเดินเข้าไปในตำหนักเถี่ยกาน
คนที่แบกหามเกี้ยวทั้งสี่ราวกับท่อนไม้ ยืนไม่ขยับราวกับไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ ไม่แม้แต่จะชายตามองจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ได้ถึงความหนาวเยือกที่ไม่อาจอธิบายได้ในอากาศ
ด้านในของตำหนักเถี่ยกานว่างโล่ง กระทั่งลูกศิษย์ที่เรียนทำอาวุธและอาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างก็ไม่ปรากฏตัว
“เจ้ามาแล้วหรือ”
อาจารย์เถี่ยกานลากไฟดวงหนึ่งมาที่ด้านหน้าเด็กหนุ่ม
จ้าวเฟิงตกใจ เพียงที่จะเอ่ยพูดกับอีกฝ่ายก็ได้ถูกอาจารย์เถี่ยกานดึงเข้าไปที่ห้องทำอาวุธเสียก่อน
ภายในห้องทำอาวุธได้ปรากฏบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขามีเรือนผมสีเลือด สวมใส่ชุดสีทอง อายุประมาณสามสิบปี รูปลักษณ์ธรรมดา ทว่าสายตากลับลึกล้ำ
“ท่านเถี่ยหมัว ผู้ช่วยของข้ามาแล้ว”
อาจารย์เถี่ยกานเอ่ยอย่างนอบน้อม
จ้าวเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่เอ่ยพูดอันใด บุรุษเรือนผมสีเลือดในชุดสีทองผู้นี้เขาไม่อาจอ่านออกได้ ดูราวกับเป็นเพียงคนธรรมดา ทว่าเพียงเหลือบมองคราหนึ่งกลับยากที่จะลืมเลือน
นอกจากนั้นยังมีความรู้สึกแปลกประหลาดประการหนึ่ง ทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าตรวจสอบ
“เขาหรือ? ตามที่กำหนดไว้ เราต้องการอาจารย์ช่างสองคนจึงจะมีโอกาสสำเร็จ”
น้ำเสียงของชายผมสีเลือดนั้นนุ่มนวล
อาจารย์เถี่ยกานเอ่ยอธิบาย “การที่จะทำอาวุธชิ้นนี้ขึ้นได้นั้นไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดได้แม้เพียงเล็กน้อย เราต้องการความสามารถในการควบคุมและความแม่นยำที่แข็งแกร่ง ในจุดนี้ความสามารถของเขาเหนือกว่าอาจารย์ช่างผู้อื่น นอกจากนั้นท่านเถี่ยหมัวยังต้องการให้สร้างอาวุธชิ้นนี้ขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าอาจารย์เพ่ยนั้นยังคงอยู่กับราชวงศ์และสร้างอาวุธให้กับพวกเขา ไม่อาจผละจากมาในระยะเวลาอันสั้นได้”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น จ้าวเฟิงยังคงนิ่งเงียบ
ทว่าขาก็ได้รับข้อมูลที่สำคัญบางอย่าง หากเขาจำไม่ผิด อาจารย์เพ่ยผู้นั้นคืออาจารย์ช่างอันดับหนึ่งในอาณาจักรนภา
“ช่างเถอะ เจ้าและอาจารย์เพ่ยต่างก็เป็นศิษย์ที่เรียนวิชาสร้างอาวุธมาด้วยกัน หากเอ่ยถึงฝีมือแล้วย่อมไม่แตกต่าง”
บุรุษเรือนผมสีเลือดผงกศีรษะ
เขาไม่ได้สงสัยในพลังของบจ้าวเฟิง เชื่อถือในคำพูดของอาจารย์เถี่ยกานอย่างไร้ซึ่งข้อสงสัย
“เจ้าชื่ออะไร?”
บุรุษผมสีเลือดเอ่ยถาม
“ผู้เยาว์นามจ้าวเฟิง คารวะท่านผู้อาวุโสเถี่ยหมัว”
จ้าวเฟิงรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้ามีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา คำพูดจาจึงเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทว่าไม่ปรากฏความเยินยอเอาอกเอาใจในน้ำเสียง
ชายผมสีเลือดพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก
เพื่อไม่ให้เสียเวลา อาจารย์เถี่ยกานเองจึงได้เริ่มลงมือสร้างอาวุธกับจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดนัก สิ่งที่เขาต้องทำก็คือช่วยอาจารย์เถี่ยกานสร้างอาวุธให้สำเร็จ
“เจ้าจะต้องทำตามข้อกำหนดพิเศษของพิมพ์เขียวนี้”
อาจารย์เถี่ยกานนำพิมพ์เขียวจำนวนมากออกมาให้จ้าวเฟิงดูรายละเอียด
จ้าวเฟิงนำผ้าปิดตาออก กวาดตามองไปยังพิมพ์เขียวเหล่านั้นและบันทึกเข้าไปในสมอง
เขาสามารถยืนยันได้ว่าพิมพ์เขียวเหล่านี้ไม่ใช่พิมพ์เขียวที่สมบูรณ์ของมรดกความลับสวรรค์ เป็นเพียงส่วนหนึ่ง
เมื่อดูเนื้อหาอย่างละเอียด จ้าวเฟิงได้ชะงักไปเล็กน้อย วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ทั้งการทำและขั้นตอนการทำต้องทำอย่างแม่นยำ มิอาจให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ได้
ไม่เพียงเท่านั้นส่วนประกอบที่ต้องการนั้นยังจำนวนมากถึงหลักพันอีกด้วย
ทว่าส่วนประกอบแต่ละชิ้นมีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียว กระทั่งใหญ่เท่าฝ่ามือ
ส่วนที่ยากที่สุดนั้นคือ ชิ้นส่วนนับพันนี้ห้ามมีแม้แต่รอยตำหนิ ทั้งนี่ยังเป็นเพียงส่วนประกอบ ไม่ใช่ชิ้นงานที่เสร็จสิ้น
ต่อให้เป็นช่างระดับอาจารย์ สามารถสร้างชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบได้จำนวนมาก ทว่าจำนวนที่มากกว่าหนึ่งพันชิ้น ทั้งยังต้องมีความแม่นยำในขนาด ส่วนประกอบ การหลอม และสิ่งสำคัญอื่นๆ ไม่อาจที่จะผิดพลาดได้ มันก็ยังนับว่ายากเย็นเกินไป
ที่สำคัญคือ บางชิ้นมีขนาดที่เล็กมาก กระทั่งช่างระดับอาจารย์ยังยากที่จะแยกแยะ
“ไม่มีไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
อาจารย์เถี่ยกานถาม
“ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาและพลังพอสมควร ทั้งในระหว่างที่ทำยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองวัสดุบางส่วน”
จ้าวเฟิงตอบกลับ
“สิ้นเปลืองวัสดุบางส่วน?”
มุมปากของบุรุษผมสีเลือดยกสูงขึ้นเล็กน้อย แย้มยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใด
เพื่อการทำอาวุธชิ้นนี้ วัสดุที่เสียไปก่อนหน้านับว่าเพียงพอในการถมตำหนักเถี่ยกานได้
“จำไว้ว่าหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็นับว่าล้มเหลวทั้งหมด”
อาจารย์เถี่ยกานกำชับ
“หากมีตกหล่น ข้าสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว”
จ้าวเฟิงพยักหน้าและเริ่มลงหลอมวัสดุ
ตั้งแต่เริ่มต้นจนยามนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวั่นไหว
ทุกลมหายใจ ทุกแรงที่ใช้ล้วนได้รับการควบคุมอย่างถี่ถ้วน
บุรุษผมสีเลือดจ้องมองไปยังดวงตาสีเขียวของจ้าวเฟิงอย่างสนใจ ทว่าไม่ได้เอ่ยพูดสิ่งใด
เวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป
จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานต่างแยกหน้าที่การทำงานของแต่ละคน
ต่างกันตรงที่จ้าวเฟิงจะต้องยุ่งยากกับการแก้ปัญหาเบื้องต้นที่น่าเบื่อจำนวนหนึ่ง
อาจารย์เถี่ยกานจะเริ่มหลอมด้วยวิธีสร้างที่ใช้รูปแบบค่ายกลชั้นสูงกว่า หลอมวัสดุชั้นสูงกว่า
ขณะที่จ้าวเฟิงกำลังสร้างชิ้นส่วนอยู่นั้น ในใจก็ปรากฏความตะลึงไม่น้อย วัสดุบางอย่างที่เขาใช้อยู่นั้นเมื่อเทียบแล้วอาจมีระดับต่ำกว่า ทว่ากลับสามารถใช้ซื้ออาวุธทั่วไปได้เป็นกอง และวัสดุระดับสูงบางอย่างที่จ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะรู้ชื่อของมัน อาจารย์เถี่ยกานจะบอกคุณสมบัติของพวกมันและวิธีการหลอมเฉพาะจากพิมพ์เขียว
การเตรียมอุปกรณ์ในขั้นต้นใช้ระยะเวลานานไม่น้อย
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ควบคุมกระบวนการหลอมวัสดุแต่ล่ะชนิด
หลังจากนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เพ่งนิ่ง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก ความเร็วของมือเริ่มรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสายน้ำที่รินไหล
ขั้นตอนการเตรียมวัสดุบางอย่างนั้นต้องระมัดระวังอย่างมาก ทั้งองศาและอุณหภูมิไม่อาจผิดพลาดได้
ในระหว่างขั้นตอนนั้น จ้าวเฟิงก็ได้ทำวัสดุบางส่วนเสียไปเช่นกัน
ทว่าเขาไม่ได้สูญเสียอย่างสิ้นเปลืองซ้ำๆ สามารถกระทำได้อย่างแม่นยำอย่างรวดเร็ว
บุรุษผมสีเลือดด้านข้าง ใบหน้าแต่เดิมที่เรียบเฉยได้เริ่มปรากฏความเคร่งขรึมขึ้น
ท่ามกลางการจ้องมองนั้น เวลาได้ผ่านพ้นไปครึ่งเดือน
จ้าวเฟิงเหนื่อยอ่อน หลังจากพักผ่อนก็ตื่นขึ้นมาทำงานต่อ จากนั้นก็กลับไปพักผ่อน
ในที่สุด วันนี้การเตรียมวัสดุในขั้นต้นก็เสร็จสิ้นลง
“ขั้นที่หนึ่งได้ทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้เราต้องตรวจสอบว่ามีจุดใดผิดพลาด เพื่อทำให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนเหล่านี้จะไม่มีแม้แต่ตำหนิเล็กๆ”
อาจารย์เถี่ยกานพูดขึ้น
วิธีการตรวจสอบนั้นง่ายดาย ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนกันตรวจ
จ้าวเฟิงเริ่มตรวจก่อน เขาตรวจชิ้นส่วนที่อาจารย์เถี่ยกานมอบให้ ชิ้นส่วนทุกชิ้นนั้นล้วนถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีตงดงาม
จากคำขอของอาจารย์เถี่ยกาน จ้าวเฟิงตรวจพบข้อผิดพลาดทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบสามจุด รวมทั้งจุดที่มีตำหนิเล็กน้อยด้วย
แน่นอนว่าตำหนิเล็กน้อยเหล่านี้จำต้องควบคุมอยู่ในระดับหนึ่ง
“หนึ่งร้อยยี่สิบสามจุด มากเพียงนั้น?”
อาจารย์เถี่ยกานตกใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อมองโดยละเอียดก็พบตำหนิเล็กๆ ที่อยู่ในระดับที่สามารถรับได้ ทว่ากลับถูกพบเห็นดดยจ้าวเฟิง
จากนั้น
ถึงคราวอาจารย์เถี่ยกานตรวจสอบหาตำหนิของจ้าวเฟิง
“ทั้งหมดหกจุด”
อาจารย์เถี่ยกานประหลาดใจอยู่บ้าง
นอกจากนั้น ตำหนิทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงทำความเข้าใจผิดพลาดไป
สีหน้าของบุรุษเรือนผมสีเลือดที่อยู่ไม่ไกลแปรเปลี่ยนไปเล็กๆ
“ลองให้ข้าตรวจสอบอีกครั้งสิ”
จ้าวเฟิงตรวจสอบชิ้นส่วนของตนเองขณะที่ถามอาจารย์เถี่ยกานไปพร้อมกัน
ไม่นาน จ้าวเฟิงก็ตรวจพบตำหนิของตัวเองได้อีกยี่สิบสามสิบจุด
ตำหนิเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยากจะมองเห็น กระทั่งอาจารย์เถี่ยกานเองก็ยังไม่อาจตรวจพบ ทั้งบางส่วนยังมีขนาดเล็กมาก อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทว่าคาดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะตรวจพบทั้งหมด
และหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็ได้นำชิ้นส่วนทั้งหมดมาตรวจสอบอีกหลายครั้ง
“ไม่มีปัญหาแล้ว”
จ้าวเฟิงพยักหน้า
ขั้นตอนแรกทำสำเร็จ อาจารย์เถี่ยกานรู้สึกยินดีอยู่บ้าง เวลาที่ใช้ทั้งหมดถือว่าน้อยกว่าที่คิดไว้
ต่อมาคือขั้นตอนการขึ้นรูป ต้องใช้ความรู้ที่ลึกขึ้น จ้าวเฟิงจึงทำได้แค่เป็นลูกมือ
นอกจากนั้น ขั้นตอนหลักทั้งหมดในการสร้าง อาจารย์เถี่ยกานยังต้องเก็บเป็นความลับจากเด็กหนุ่ม
สิ่งจ้าวเฟิงต้องทำคือหาจุดผิดพลาด
แต่ละขั้นตอนได้ดำเนินต่อไปไม่หยุด
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแปดวัน อาจารย์เถี่ยกานได้หยุดมือลง
“ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย หลอมรวม”
อาจารย์เถี่ยกานสูดลมหายใจลึก
ชายชราบอกให้จ้าวเฟิงตรวจสอบข้อผิดพลาดอีกครั้ง
จ้าวเฟิงตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดจึงได้ผงกศีรษะ
สำเร็จหรือล้มเหลวล้วนขึ้นอยู่กับขั้นตอนสุดท้ายนี้
ดังนั้นแล้ว ในขั้นตอนนี้จ้าวเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม กระทั่งหลบออกไปเอง
จะอย่างไรก็ตาม พิมพ์เขียวของอาวุธชิ้นนี้นั้นมาจาก “มรดกความลับสวรรค์” วัสดุที่ใช้ทั้งหมดรวมทั้งความยากของขั้นตอนการล้วนน่าตื่นตะลึง เมื่อชิ้นงานนี้เสร็จสิ้นมันย่อมสร้างความตื่นตกใจกับผู้คนอย่างแน่นอน
“หากการสร้างอาวุธครั้งนี้สำเร็จ เจ้าจะกลายเป็นวีรบุรุษของลัทธิโลหะเลือด”
บุรุษเรือนผมสีเลือดผงกศีรษะให้กับจ้าวเฟิง