Skip to content

King of Gods 268

King Of Gods

บทที่ 268:เอาใจใส่นางบ้าง

อาจารย์เถี่ยกานอธิบายต่อว่า “ร่างเงานี้จะไม่ถูกพบเห็นโดยสายตาของผู้อื่น มีพลังโจมตีในระดับหนึ่ง สามารถก่อกวนศัตรู รวมทั้งช่วยเหลือในการปลิดชีพอีกฝ่าย วิธีการใช้งานนั้นมีนับไม่ถ้วน”

ในสมองของจ้าวเฟิงปรากฏภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ยามเมื่อเขาเริ่มโจมตี ‘เงา’ จำนวนมากก็ได้รวมมือกันจัดการคู่ต่อสู้

แน่นอนว่าคุณสมบัติที่ถูกปกปิดไว้เช่นนี้จำต้องมีขอบเขตและพลังที่เพียงพอ นอกจากนั้นยังต้องให้จ้าวเฟิงค้นหาต่อไป

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเด็กหนุ่มได้ถือว่าสำเร็จเกินที่ตั้งใจไว้แล้ว

หลังจากซ่อม “ผ้าคลุมเงาหยิน” เสร็จสิ้น พลังในการหลบซ่อนอำพรางตัวก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะยามที่เขาไม่ขยับเคลื่อนไหว

ยิ่งยามราตรี ความสามารถในการอำพรางตัวยิ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง

จ้าวเฟิงเริ่มทดสอบความสามารถของผ้าคลุมโดยยืนในที่มืด ต่อให้เป็นผู้ที่อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป หากไม่สังเกตจริงๆ ก็มิอาจรู้ตัวได้

ไม่กี่วันต่อมา

จ้าวเฟิงเริ่มใช้วิธีนี้เดินทางไปมาระหว่างภูเขาเถี่ยกานและตำหนักเจ้าเมือง

คนของตำหนักเจ้าเมืองพบว่าจ้าวเฟิงไปภูเขาเถี่ยกานบ่อยขึ้น

บางครั้งเด็กหนุ่มไปยังภูเขาเถี่ยกาน หลายวันก็ไม่กลับมา

ข่าวลือสะพัดออกไปข้างนอกว่าอาจารย์เถี่ยกานรับจ้าวเฟิงเป็นลูกศิษย์เขาไปแล้ว

ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่มีสิ่งหนึ่งแน่นอน นั่นคืออาจารย์เถี่ยกานให้ความสำคัญกับจ้าวเฟิงมาก ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองยังไม่ธรรมดา

และนี่นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับเจ้าเมืองหงหู

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุที่มาจากตัวเจ้าเมืองหงหู ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิวแห่งหงหูและอาจารย์เถี่ยกานไม่สู้ดีนัก

ในแวดวงการสร้างอาวุธนั้น อาจารย์เถี่ยกานนับว่าอยู่ในตำแหน่งที่ผู้คนต่างเลื่อมใส กระทั่งความสามารถยังจัดเป็นหนึ่งในสิบ หรืออาจนับได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าเลยก็ว่าได้

ที่สำคัญ อาจารย์ผู้นี้ยังมีความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างกับ “ลัทธิโลหะเลือด” อีกด้วย

เจ้าเมืองหงหูเองก็ต้องการจะพัฒนาความสัมพันธ์กับอาจารย์เถี่ยกาน ทว่ากลับไร้ซึ่งความคืบหน้า

บัดนี้ผู้เป็นบุตรเขยของเขากลับมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่าย นับว่าเป็นสิ่งที่ดี

ดังนั้น เจ้าเมืองหงหูจึงได้เรียกตัวจ้าวเฟิงเข้ามาพูดคุย

“เฟิงเอ๋อร์ หากเจ้าสามารถกลายเป็นศิษย์ของอาจารย์เถี่ยกานได้ ก็นับว่าได้ช่วยเหลือตระกูลหลิวแห่งหงหูมากแล้ว”

เจ้าเมืองหงหูพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

จ้าวเฟิงตอบรับอย่างคลุมเครือ

อาจารย์เถี่ยกานผู้นั้นเองก็ต้องการกรับเขาเป็นศิษย์ ทว่าจ้าวเฟิงไม่สนใจในการฝึกสร้างอาวุธมากนัก

ตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองหงหู เด็กหนุ่มไม่เคยลืมภารกิจ ‘ส่งจดหมาย’ นี้

ยิ่งเวลาผ่านไป จ้าวเฟิงเริ่มยุ่งขึ้นเรื่อยๆ

เขามักจะอาศัยอยู่ภูเขาเถี่ยกาน รับคำชี้แนะจากอาจารย์เถี่ยกาน

ในระหว่างนั้น จ้าวเฟิงได้ช่วยเหลืออีกฝ่ายสร้างอาวุธได้หลายชิ้น โดยที่หนึ่งในนั้นได้เป็นอาวุธชั้นจิตวิญญาณ

ระหว่างการฝึกฝนนั้น ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น ฝีมือในของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สายตาเฉียบคมยิ่งขึ้น

อาจารย์เถี่ยกานรู้สึกภูมิใจในความก้าวหน้าของจ้าวเฟิงเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มพัฒนาไปมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้

ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเพื่อการสร้างอาวุธที่ได้รับมาเท่านั้น

ขณะเดียวกัน

วันแต่งงานระหว่างจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินก็ได้ใกล้เข้ามาทุกที เหลืออีกเพียงสองเดือนเท่านั้น

หลิวฉินซิน ผู้เป็นว่าที่ภรรยาถูกมองข้าม ไม่ได้รับการใส่ใจตลอดมา

ทั้งการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานยังได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมืองหงหูอีกด้วย

แรกๆ หลิวฉินซินยังพอทนได้

ทว่ายิ่งวันแต่งงานคืบคลานเข้ามาใกล้ นางก็เริ่มที่จะหมดความอดทนยิ่งขึ้น

การแต่งงานสำหรับสตรีนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในชีวิต

ทั้งจ้าวเฟิงยังไม่เคยไปหาหลิวฉินซินเลยแม้แต่ครั้ง

“จ้าวเฟิงผู้นี้คิดว่าข้าคือผู้ใดกัน?”

หลิวฉินซินเริ่มลนลาน ทุกคราที่มองไปยังจ้าวเฟิง ดวงตาของนางมักจะปรากฏความไม่เป็นมิตร

ตั้งแต่งานหมั้นที่ผ่านมา ตัวตนของจ้าวเฟิงในใจของนางก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป

คราแรกที่เห็นจ้าวเฟิงนั้น นางคิดแค่ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงนักฝึกสัตว์ต่างแดน มีตาเดียว ผมสีเขียว เมื่อเทียบกับบุรุษในฝันแล้วนับว่าห่างไกลยิ่งนัก

ทว่าหลังจากนั้น เด็กหนุ่มผู้นี้ราวกับเก็บซ่อนอะไรไว้บางอย่าง ทุกครั้งที่พยายามทดสอบและค้นหาความจริงในตัวอีกฝ่าย ก็มักจะปรากฏความแข็งแกร่งที่น่าตื่นตะลึงออกมา

สายเลือดดวงตาลึกลับ ฝีมือการยิงธนูที่ยอดเยี่ยม วิธีการฝึกสัตว์ที่แปลกประหลาด ทำให้เหล่าอาจารย์ช่างต้องตื่นตะลึงกับพรสวรรค์ ทุกอย่างล้วนเกินความสามารถของคนธรรมดาทั่วไป

ทั้งทุกการกระทำของอีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบนิ่ง

ในอาณาเขตเมืองหงหูนี้ มีผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันคนใดที่สามารถเทียบเคียงเขาได้?

หลิวฉินซินเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของเด็กหนุ่มผู้นี้ตรงกับบุรุษในฝันของนาง

ที่สำคัญ อีกฝ่ายยังเป็นเนื้อคู่ของนางเสียอีก

ในยามนี้ หลิวฉินซินเริ่มยอมรับคู่หมั้นผู้นี้ได้อย่างกล้ำกลืน

ทว่าปัญหาคือ จ้าวเฟิงเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ไม่พบเห็นแม้แต่เงา ทั้งที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา

ในที่สุด วันนี้

จ้าวเฟิงมาหาหลิวฉินซินด้วยตนเอง

หลิวฉินซินถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยเด็กนี่ก็ยังพอเข้าใจเรียงลำดับความสำคัญอยู่บ้าง

ทั้งนางยังไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่หลงใหลในตัวนาง

“ฉินซิน ข้าต้องช่วยท่านอาจารย์สร้างอาวุธชั้นจิตวิญญาณ อาจจะต้องอาศัยอยู่ที่ภูเขาเถี่ยกานหนึ่งเดือน เพราะท่านเจ้าเมืองไม่อยู่จึงต้องฝากเจ้าให้ช่วยบอกท่านเจ้าเมืองอีกทีหนึ่ง”

จ้าวเฟิงอธิบายออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม

เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มก็เตรียมจะเดินจากไป

หนึ่งเดือน?

หลิวฉินซินนิ่งงันไปชั่วครู่ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นชาอยู่ลึกๆ

เด็กหนุ่มผู้นี้เย็นชาเกินกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก

หากเป็นเหมือนสตรีผู้อื่นทั่วไปมิใช่นาง ความเย็นชานี้อาจต้องทำให้นางล้มลงไปแล้ว

“ช้าก่อน….”

น้ำเสียงเย็นชาได้ดังขัดจังหวะการก้าวเดินของจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงชะงักก่อนมองไปที่หลิวฉินซินอย่างสงสัย

ในยามนั้น ดวงตาของเด็กสาวก็ได้แสดงออกถึงความเย็นชาเช่นกัน

ในที่สุดจ้าวเฟิงเข้าใจว่าเขาสิ่งใดผิดพลาด

“แย่แล้ว ข้าลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง”

จ้าวเฟิงรีบเปลี่ยนความคิด รับรู้ได้ถึงสังหรณ์ร้าย

หลังจากที่หมั้นกันมานั้น เขามัวแต่คิดถึงแผนการหนีงานแต่งงานหรือไม่ก็อาศัยอยู่ที่ภูเขาเถี่ยกานจนละเลยหลิวฉินซินผู้เป็นว่าที่ภรรยา

บัดนี้สิ่งที่เด็กหนุ่มกังวลคือ หลิวฉินซินจะมองแผนการของเขาออกหรือไม่?

หากเรื่องเล็กๆ นี้ทำให้แผนการหลบหนีการแต่งงานของเขาล้มเหลว เช่นนั้นก็นับว่าย่ำแย่แล้ว

“ช่วงหลายวันมานี้ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังยุ่ง แต่เรื่องงานแต่งงานของเรา…”

หลิวฉินซิรู้สึกลำบากใจ ในใจปรากฏความรู้สึกอับอาย ผ้าคลุมได้ปิดกั้นใบหน้าแดงก่ำไว้ นี่คือด้านที่จ้าวเฟิงมองไม่เห็น

จ้าวเฟิงตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะตัวเขา “ละเลย” อาจจะนำมาซึ่งการ “ทำลาย” ในใจรีบคิดถึงวิธีการแก้ไข

ควรต้องแก้ไขอย่างไรดี?

จ้าวเฟิงคิดอย่างรีบร้อน เขาจะต้องหยุดหลิวฉินซินไว้ให้ได้

“ต้องจัดการเช่นไร? ใช่แล้ว….ต้องดูแลเอาใจใส่นาง ใช่ ต้องเอาใจใส่นางบ้าง”

ความคิดของเด็กหนุ่มแล่นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งในสิบวินาทีก็ขบคิดออก

ความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรีนั้น จ้าวเฟิงนับว่าเชื่องช้านัก ในใจกระทั่งไม่สนใจมัน

ด้านหนึ่งเป็นเพราะอายุที่ยังน้อยของเขา ทั้งจิตใจยังมุ่งแต่การฝึกฝนจนไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบข้าง

นอกจากนี้ ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าที่ทำให้จิตใจของจ้าวเฟิงเรียบเฉย กระทั่งใกล้เคียงกับคำว่าไร้ความรู้สึก

ลองคิดดู ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงใช้พลังของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า เขาสามารถมองผ่านทุกสิ่งบนร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นสตรีงามล้ำคือสตรีน่าเกลียดน่ากลัวก็ล้วนแล้วแต่เห็นเพียงกระดูกเช่นศพคนตายและพลังปราณแท้ที่ไหลเวียนในร่าง มันคือสถานการณ์เช่นใดกัน?

จากนั้น

จ้าวเฟิงได้คิดว่าจะเอาใจนางอย่างไรดี

“ฉินซิน ช่วงนี้ข้าละเลยหรือเกือบจะลืมงานแต่งงานของเข้ากับเจ้าไป นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องจริงๆ…“

สายตาที่ไร้ความรู้สึกของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นในทันใด บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้น

หลิวฉินซินตกใจ เมื่อใดกันที่หมอนี่มีนิสัยเช่นนี้

ทว่านางก็ต้องยอมรับว่าปกติเห็นเพียงสายตาที่เย็นชาของจ้าวเฟิง ไม่เคยเห็นสายตาที่อบอุ่นเช่นนี้มาก่อน นับว่ายากที่จะได้เห็น

“ในใจของข้านั้นเพียงได้เห็นใบหน้าที่งดงามของฉินซินก็นับว่าไม่สูญเปล่า ไม่เคยคิดว่าจะได้เจ้ามาเป็นภรรยา ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ถึงความต้องการสวรรค์ ทั้งหมดล้วนเป็นเช่นความฝันเสียจริง”

จ้าวเฟิงพยายามพูดเพื่อ “เอาใจ” อีกฝ่าย สร้างความซาบซึ้งขึ้นกับอีกฝ่าย

เมื่อเห็นจ้าวเฟิงเอ่ยอย่างจริงใจในครานี้ หลิวฉินซินก็ตะลึงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ มิคาดว่าเด็กหนุ่มไร้ใจผู้นี้จะสามารถเอ่ยถ้อยคำ ‘จริงใจ’ เช่นนี้ออกมาได้

ขณะที่เอ่ยพูดนั้น จ้าวเฟิงได้พยามยามสังเกตสีหน้าและอารมณ์ของหลิวฉินซินไปพร้อมกัน

ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองของฉินซินไม่ได้มีมากนัก

หรือว่าข้ายังเอาใจใส่ไม่มากพอ?

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกเดินเข้าไปใกล้ๆ นางก่อนมองไปยังใบหน้างดงามของอีกฝ่ายพร้อมทั้งยื่นมือไปโอบเอวของนาง

“เจ้า…”

หลิวฉินซินไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะกล้าเข้ามาประชิดตัวและโอบเอวนางเช่นนี้

เมื่อเกิดความเผลอไผล พลังสายเลือดในร่างของนางก็ไหลพล่านอย่างไม่รู้ตัว

ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าเมื่อพลังสายเลือดในร่างของนางพลุ่งพล่านจะทำให้พลังสายเลือดในร่างของจ้าวเฟิงส่งสัญญาณเตือนออกมา

บางทีอาจเป็นเพราะพลังสายเลือดของหลิวฉินซินอันตรายมากเพียงพอ ประกายแสงสีเขียวครามในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจึงได้ส่องประกายสีน้ำเงินลึกลับขึ้น

ทันใดนั้น

หลิวฉินซินรู้สึกว่าพลังสายเลือดทั้งร่างสั่นสะท้านและจับตัวแข็ง

จ้าวเฟิงใช้มือที่แข็งแรงของเขาค่อยๆโอบกอดอีกฝ่าย ร่างกายอ้อนแอ้นของเด็กสาวได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายแล้ว

เนื่องจากพลังสายเลือดถูกกดดัน ยากที่จะขยับตัว ทำให้นางยากที่จะหายใจ หัวใจของเด็กสาวเต้นแรง ใบหน้าเริ่มแดงซ่าน

“ตัวของสตรีผู้นี้ เวลาที่กอดก็นับว่าดีอยู่ไม่น้อย”

จ้าวเฟิงคิดในใจ ทว่าความสนใจทั้งหมดได้ไปอยู่ที่สีหน้าของอีกฝ่าย

สีหน้าเช่นนั้น มิรู้ว่าเป็นความอับอายหรือโกรธเคือง ทว่ามันก็ยังคงให้ความรู้สึกอ่อนโยนอยู่ไม่น้อย

ความจริงแล้ว พลังสายเลือดทั่วทั้งร่างของหลิวฉินซินได้ถูกกดดัน เพียงแค่การหายใจยังยากลำบาก นับว่าอยู่ในสถานะสิ้นหวัง

“สงสัยข้าจะยังเอาใจนางไม่พอ”

จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างหดหู่

เด็กหนุ่มได้จะก้มหน้าลงและใช้ปากของเขาค่อยๆ สัมผัสไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย

“เจ้า….เจ้าบังอาจ…..”

หลิวฉินซินชะงักไปครู่ ความรู้สึกอับอายและเสียหน้าพลุ่งพล่านขึ้นในใจ

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง เด็กหนุ่มก็รีบผละตัวออกจากสตรีตรงหน้า

ขณะเดียวกันนั้นเอง พลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของเด็กสาวก็ได้สร้างแรงกดดันออกมาสู่อากาศ

ไม่ดีแล้ว

จ้าวเฟิงเพิ่งรู้ว่าการเอาใจใส่ของเขานับว่ามากเกินไป

“เจ้า….ไอ้คนไร้ยางอาย…..”

น้ำเสียงของหลิวฉินซินปรากฏความโกรธเกรี้ยว ทว่าพูดไปเพียงครึ่งหนึ่งก็หยุดชะงักลง

นางต้องการที่จะเอ่ยว่าอีกฝ่ายคือตัวต่ำช้าไร้ยางอาย ทว่าฝ่ายตรงข้ามคือคู่หมั้นของนาง

หลิวฉินซินชี้นิ้วไปยังจ้าวเฟิง อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ฉินซิน ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าเพียงแค่อยากจะเอาใจใส่เจ้าแค่นั้นเอง”

จ้าวเฟิงหมดสิ้นคำพูด

“ช่างมันเถอะ”

หลิวฉินซินเหลือบมองไปยังอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง ดวงตาคู่งามได้กลับไปสงบนิ่งเช่นเดิม

เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคู่หมั้นของนางทั้งยังนับว่าใกล้เคียงกับสามีในฝันของนาง

เมื่อเป็นคู่หมั้นกันแล้ว การกระทำของเขาก็ถือว่าไม่ได้ผิดแต่อย่างใด

“อืม ไม่เป็นอันใดก็เช่นนั้นข้าคงต้องไปที่ภูเขาเถี่ยกานในทันที ทว่าคงต้องขอให้ฉินซินบอกท่านเจ้าเมืองด้วย”

จ้าวเฟิงถอนหายใจโล่งอก กลับไปสงบเยือกเย็นเช่นเดิม เอ่ยลาอีกฝ่ายก่อนเดินออกไป

ไปแล้ว?

หลิวฉินซินชะงัก เด็กหนุ่มผู้นี้เมื่อครู่ยังบอกรักนาง ทั้งกอดทั้งจูบ แต่บัดนี้เดินจากไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“เขา…. เขาคิดว่าข้าคือผู้ใดกัน?”

มองไปยังความมืดมิดยามราตรี เด็กหนุ่มผมสีเขียวครามได้จางหายไป หลิวฉินซินรู้สึกยากที่จะตัดสินใจว่านางควรจะขายหน้าหรือโกรธเกรี้ยวก่อนดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!