บทที่ 274:วงแหวนอัสนี
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงวิเคราะห์ถึงแผนขั้นต่อไป
ทว่าในขณะเดียวกัน คนในชุดดำทั้งสามก็เข้าใจสถานการณ์อย่างดี
จุดประสงค์เดียวของพวกเขาคือขัดขวางจ้าวเฟิงเอาไว้
“เริ่มได้ ภายในยี่สิบลมหายใจ ข้าจะเอาชนะพวกเจ้า”
เรือนผมสีเขียวครามของจ้าวเฟิงพริ้วไหว สายตาเต็มไปพลังที่สามารถมองทะลุจิตใจ
วูบ
บนร่างของเด็กหนุ่มปรากฏชั้นแสงสีครามใสส่องสว่าง สร้างรอยสักสีน้ำเงินใสขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ สร้างความสูงศักดิ์และลึกลับขึ้นในคราเดียวกัน
เมื่อพลังสายเลือดเริ่มทำงาน คิ้วทั้งสองข้างของจ้าวเฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคราม กลิ่นอายทั่วทั้งร่างพลันแข็งแกร่งขึ้น พลังเพิ่มสูงขึ้นครึ่งขั้น
ย่าห์
จ้าวเฟิงตวาดออกไปครั้งหนึ่ง ส่งคลื่นเสียงพลังจิตพุ่งตรงไปยังศัตรูทั้งสาม
“สายเลือดโบราณ”
สีหน้าชายชุดดำทั้งสามแปรเปลี่ยนไป รีบร้อนใช้พลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงปิดหูและจุดอ่อนของร่างกายทั้งหมด
แม้จะทำเช่นนั้น
คนในชุดดำที่อยู่ตรงข้ามเด็กหนุ่มก็ยังคงมีโลหิตไหลย้อยออกจากมุมปาก
พลังของคนผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง กลับยังสามารถมีชัยเหนือกว่าได้เล็กน้อย
“รับมือไม่ได้ ทุกคนใช้ทุกวิถีทางสกัดเขาเอาไว้ให้ได้”
ชายชุดดำที่ใช้ลูกดอกโบกมือข้างหนึ่ง ส่งลูกดอกจำนวนมากออกไปเป็นเช่น ‘สายฝน’ ที่ปิดกั้นทุกเส้นทางหลบหนีของจ้าวเฟิง
ส่วนการโจมตีของคนชุดดำที่ใช้ขนนกและมีดสั้นมีความเฉียบแหลมมากขึ้น วิธีการยากที่จะคาดเดา ไม่อาจป้องกันโดยประมาทได้
ทั้งสามร่วมมือกัน พลังเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเมื่อพวกเขาทั้งสามร่วมมือกัน ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือได้เกินสิบลมหายใจ และหากเป็นสี่คนร่วมมือกัน กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปก็ต้องพ่ายแพ้ในเสี้ยววินาที
ทว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้มีพลังสายเลือดคอยช่วยเหลือ พลังโจมตีของอัสนีน่าพรั่นพรึง กระทั่งสามารถต้านทานพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามได้อย่างเหนือคาด
ชายชุดดำทั้งสาม ยิ่งต่อสู้ยิ่งตื่นตระหนก พวกเขากระทั่งเปลี่ยนวิธีการโจมตีให้แปลกประหลาด ทว่าก็ยังถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
เมื่อจ้าวเฟิงใช้พลังสายเลือด ความสามารถในการต่อสู้นั้นเพียงพอที่จะบดขยี้พวกเขาลงได้
หากไม่เป็นเพราะพวกเขาร่วมมือกันโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงการขัดขวางจ้าวเฟิงให้ได้สามสิบลมหายใจเลย หากสกัดกั้นได้เพียงสิบลมหายใจก็นับว่าดีแล้ว
พรึบ พรึบ
กระบวนท่าของจ้าวเฟิงราวกับสายฟ้าที่ขยับวูบวาบ ดวงตาเทพเจ้าคอยควบคุมสถานการณ์ ทำให้เขาสามารถทำลายการโจมตีของทั้งสามคนได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้ง ทั้งยังเริ่มตอบโต้ด้วยสายฟ้ากลับไป
สิบลมหายใจผ่านไปแล้ว
ร่างของชายชุดดำทั้งสามปรากฏร่องรอยไหม้และรอยเลือดอยู่ไม่น้อย
“แปลกยิ่งนัก วิธีการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเราไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของเขาไปได้”
“นี่คือสายเลือดดวงตาของนายน้อย พวกเราสามคนร่วมมือกันก็ยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“พลังที่ถูกปกปิดไว้อย่างลึกล้ำนี้ เกรงว่ากระทั่งท่านเจ้าเมืองก็คงไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน”
ใบหน้าของทั้งสามปรากฏความตื่นตะลึง
ทุกลมหายใจที่ผ่านพ้นไป ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงจะเพิ่มขึ้นไปอีกจุดหนึ่ง ทำให้สามารถรับมือการโจมตีประสานของทั้งสามได้
มรดกอัสนีของจ้าวเฟิงนั้น ชั้นแรกถูกทำความเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว การควบคุมและประยุกต์ใช้งานพลังอัสนีล้วนเหนือกว่าขอบเขตของ “ฝ่ามือวายุอัสนี” แล้ว
การโจมตี การป้องกัน กระบวนท่า เคล็ดวิชา… ทุกการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงล้วนสรรค์สร้างท่วงทำนองแห่งอัสนี
“พวกเจ้ายังไม่เปิดทางอีก”
จ้าวเฟิงเริ่มกดดันอีกฝ่ายหนักขึ้น สีหน้าเย็นเยียบ
การต่อสู้จนยามนี้ เขาได้ออมมือไว้บ้างเพราะไม่ได้ต้องการฆ่าใคร
แม้ว่าเขาต้องการจะหนีงานแต่งงาน ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดว่าเจ้าเมืองหงหูและหลิวฉินซินเป็นศัตรูของเขา อีกทั้งแผนการของท่านเจ้าเมืองที่มีต่อจ้าวเฟิงก็มิใช่ประสงค์ร้าย
นอกจากนั้น ชายชุดดำเหล่านี้ยังเพียงแค่ต้องการรั้งเขาไว้ มิได้ลงมือโหดเหี้ยมแต่อย่างใด
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็ออมมือให้กัน เพราะไม่อยากเอาชีวิตของอีกฝ่าย
“นายน้อย ความสามารถของท่านทำให้พวกเราเลื่อมใสนัก เกรงว่ากระทั่งพวกเราสี่คนร่วมมือกันก็มิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้”
ผู้เป็นหัวหน้าใบหน้าปรากฏความเคารพนอบน้อม
บัดนี้ พวกเขาต่างชื่นชมความสามารถในการต่อสู้ของจ้าวเฟิง
สี่เงาขนนกทมิฬเป็นเพียงหน่อยเล็กๆ หน่วยหนึ่งที่ชำนาญในการหลบซ่อนตัวและการลอบสังหาร
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบลมหายใจ พวกเขามีวิธีการมากมายในการปลิดชีวิตของเป้าหมาย หากเป็นผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปคงถูกฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ทว่าสายตาของจ้าวเฟิงนั้นราวกับสายตาของเทพเจ้า เข้าใจทุกการเคลื่อนไหวร่วมมือของพวกเขา ทั้งยังสามารถแก้ไขได้ กระทั่งบีบคั้นพวกเขาให้จนมุม
หากเด็กหนุ่มตั้งใจจะฆ่า ย่อมมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
“นายน้อย พวกเรารู้ว่าท่านเองก็ออมมือ ทว่าหน้าที่ของพวกเรานั้นต่อให้ต้องตายก็ต้องรั้งท่านไว้ให้ได้”
ชายชุดดำที่ใช้มีดสั้นใบหน้าปรากฏความขมขื่นลำบากใจ ทว่าดวงตาส่องประกายมั่นคงไม่สั่นไหว
“นายน้อย ทำไมท่านต้องทำให้พวกเราลำบากใจด้วย บุตรสาวของเจ้าเมืองหงหูนั้นเป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์งามล้ำ ทั้งยังมีพรสวรรค์ ฐานะสูงส่ง ท่านนับว่าเหมาะสมกับนาง…”
ชายชุดดำทั้งสามทั้งต่อสู้ไปพร้อมกับพูดโน้มน้าว
ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ ย่อมต้องใช้ไม้อ่อนแทน
นอกจากนั้น อีกฝั่งหนึ่ง
หนึ่งในสี่เงาขนนกทมิฬ ผู้ที่ใช้ขลุ่ยก็ได้เดินทางเข้าใกล้กำแพงเมืองเข้าไปทุกที
บนกำแพงเมือง
ชายหนุ่มในชุดเกราะสีม่วงมองไปยังสถานที่ห่างไกลพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “เกิดอันใดขึ้น ตรงนั้นเกิดการปะทะกันแล้ว จ้าวเฟิงกับสี่เงาขนนกทมิฬ?”
ชายหนุ่มในเกราะสีม่วงผู้นี้คือผู้ที่ได้ต้อนรับจ้าวเฟิงและพวกลุงหลิวทั้งสาม “หลิวหยวน” นับเป็นแม่ทัพหน้าใหม่แห่งเมืองหงหูที่กำลังโด่งดัง
ก่อนหน้า เป็นหลิวหยวนที่ได้นำข่าวการงานคัดเลือกคู่ครองมาบอกแก่จ้าวเฟิง
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงก็ได้กลายเป็นบุตรเขยของเจ้าเมือง ในหัวใจของหลิวหยวนปรากฏความริษยาขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่ากลับทำได้เพียงลอบถอนหายใจ
“เหตุใดสี่เงาขนนกทมิฬจึงได้ลงมือกับจ้าวเฟิงกัน มิใช่ว่าเขาเป็นบุตรเขยของท่านเจ้าเมืองที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานหรืออย่างไร?”
หลิวหยวนชะงักงันไปด้วยความไม่เข้าใจ
แม้ว่าจะคิดจนศีรษะแยกเป็นเสี่ยง เขาก็ไม่มีทางคิดได้ว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจะหลบหนีการแต่งงาน
จะอย่างไร อีกฝ่ายก็จะได้แต่งงานกับสตรีเช่นหลิวฉินซิน ผู้ที่เป็นสตรีในฝันของบุรุษในเมืองหงหูจำนวนนับไม่ถ้วน
“บุตรเขยของท่านเจ้าเมืองกำลังจะหนีงานแต่งงาน พวกเจ้ารีบส่งกำลังเสริมไปช่วยเดี่ยวนี้”
ชายชุดดำผู้ใช้ขลุ่ยแสดงตราคำสั่ง
“อันใดนะ จ้าวเฟิงหนีงานแต่งงาน?”
หลิวหลิวหยวนนิ่งอึ้ง ปากอ้ากว้างเพียงพอที่จะใส่ผลผิงกั่วเข้าไปได้
“มัวแต่ยืนมองอันใดอยู่กัน ข้าต้องรีบไปแจ้งท่านเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้”
ร่างของบุรุษในชุดดำแปรเปลี่ยนเป็นเงาลาง หายเข้าไปในเมืองหงหู
“รีบออกคำสั่งให้ยอดฝีมือจับตัวบุตรเขยของท่านเจ้าเมือง”
หลิวหยวนตอบสนองในที่สุด
ในยามนี้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ตอนแรกหลิวหยวนคือผู้ที่แนะนำให้จ้าวเฟิงเข้าร่วมในงานคัดเลือกคู่ครอง
ทว่าบัดนี้ เขาก็ต้องลงมือไปจับจ้าวเฟิงด้วยตนเองอีก
หลิวหยวนรวบรวมเหล่ายอดฝีมือ นำกองทหารออกไป เวลายี่สิบลมหายใจที่จ้าวเฟิงคำนวณไว้เพิ่งจะผ่านไปสิบลมหายใจพอดี
สิบลมหายใจ… เก้าลมหายใจ… แปดลมหายใจ…
“กำลังเสริมกำลังจะมาถึง”
ชายชุดดำทั้งสามกัดฟันแน่น พยายามขัดขวางจ้าวเฟิงไว้อย่างดึงดัน ใช้ปราณครึ่งจิตวิญญาณออกไปอย่างเต็มที่
“ดูเหมือนว่า ที่สุดแล้วคงต้องยอมเสียบางสิ่ง”
จ้าวเฟิงถอนหายใจเบาๆ
ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งวาบ ปรากฏขึ้นที่ใจกลางของคนทั้งสาม
ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงปรากฏชั้นสายอัสนีสีเขียวครามขึ้นล้อมรอบ ประกายกระแสไฟฟ้านั้นราวกับใยแมงมุม หมุนวนอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ทุกการโจมตี เมื่อเข้าใกล้ม่านสายฟ้าจะถูกกระแสไฟแรงสูงทำลายจนกลายเป็นฝุ่นผง
ด้วยพลังป้องกันเช่นนี้ จ้าวเฟิงได้เผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามอย่างเยือกเย็น
เสี้ยววินาที รูม่านตาของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ หดตัวลง มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มกางออก เรือนผมสีเขียวพลิ้วไหวราวกับน้ำตกที่กำลังไหลลงอย่างรุนแรง
เพียงพริบตา ทั่วทั้งร่างของเขาก็ปรากฏกระแสไฟฟ้าสีเขียวจำนวนมากหมุนล้อมรอบ กระทั่งธาตุสายฟ้าในธรรมชาติรอบด้านยังสั่นไหว
ยามนี้
ความเข้าใจใน ‘มรดกอัสนี’ ของจ้าวเฟิงได้ถูกสำแดงออกจนถึงขีดสุด
แรงกดดันราวพายุที่กำลังก่อตัวนั้นได้ทำให้คนในชุดดำทั้งสามหายใจติดขัด
“ไม่ดีแล้ว”
“เขากำลังใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”
ชายชุดดำทั้งสามรู้สึกหายใจลำบาก ในอากาศมีกระแสไฟฟ้าทำให้ทั่วทั้งร่างหนึบชา
“วงแหวนอัสนี”
จ้าวเฟิงกางมือทั้งสองข้างออก ผมสีเขียวของเขาพลิ้วไปตามสายลม แสงสีเขียวหมุนวนไปรอบกาย จากรูปลักษณ์ดูราวกับระลอกคลื่น เคลื่อนตัวออกไปทุกทิศทาง
สายฟ้าที่หมุนวนยู่รอบๆ นั้นค่อยๆ ขยายออกไปในอากาศจากใต้เท้าของจ้าวเฟิง กวาดผ่านรอบกายไปมากกว่ายี่สิบหลาในเสี้ยววินาที
เพียงพริบตา พื้นใต้เท้าของจ้าวเฟิงในระยะสิบหลาก็เต็มไปด้วยรอยไหม้เกรียม
“อ่า อ่า”
ชายชุดดำทั้งสามที่ล้อมรอบเด็กหนุ่มอยู่ได้ถูกวงแหวนอัสนีเคลื่อนผ่าน ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อหดเกร็ง
ลมหายใจที่หนึ่ง
ทั้งสามร่างสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อหดเกร็ง ทั่วทั้งร่างแข็งค้าง
ลมหายใจที่สอง
ชายชุดดำที่อยู่ใกล้สุด เท้าทั้งสองไหม้เกรียม ล้มลงบนพื้น
ไม่นาน ลมหายใจที่สาม ลมหายใจที่สี่… อีกสองคนที่เหลือทั้งตัวชาหนึบ ไม่อาจที่จะควบคุมร่างกายตนเองได้ก่อนล้มลง
“วงแหวนอัสนี” นั้นมีพลังร้ายกาจ โจมตีเป็นวงกว้าง สร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นทำให้ผู้ที่อยู่ในระยะร่างกายชาหนึบ ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
ตึง ตึง ตึง
ชายชุดดำทั้งสามตกใจอย่างไม่อาจหาคำใดเปรียบ ทั่วทั้งร่างหนึบชาและล้มลงบนพื้น
หากมิใช่ว่าพวกเขาใช้ปราณครึ่งจิตวิญญาณทั้งหมดในการป้องกันตนเอง เกรงว่าพวกเขาทั้งสามอาจจะเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นขี้เถ้าไปแล้ว
เฮ้อ
จ้าวเฟิงถอนหายใจ มือทั้งสองข้างตกลงที่ข้างลำตัว กระแสไฟฟ้ารอบๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
ตั้งแต่เริ่มใช้วิชา “วงแหวนอัสนี” ออกหลายลมหายใจเพื่อเอาชนะคนทั้งสาม ปราณแท้ในร่างของจ้าวเฟิงก็ได้ลดลงอย่างรวดเร็วไปถึงหนึ่งในสี่ นับเป็นค่าตอบแทนที่มากมาย
“นาย… นายน้อย…”
ชายชุดดำทั้งสามร่างสั่นสะท้าน กระทั่งจะพูดก็ไม่อาจกระทำได้
ในระยะเวลาอันสั้น ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามก็แทบจะเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น ความสามารถในการต่อสู้ลดลงไปกว่าเจ็ดส่วน ยากที่จะต่อกรกับจ้าวเฟิงได้อีก
จ้าวเฟิงสีหน้าไร้ความรู้สึก กลืนยาล้ำค่าเข้าไปเม็ดหนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มพลังปราณแท้
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มก็ได้เรียกนางแอ่นมรกตออกมา เตรียมที่จะจากไป
“จ้าวเฟิง… อย่าคิดว่าจะหนีไปได้”
หลิวหยวนนำทหารในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองนายนำมาก่อนเบื้องหลังปรากฏคนนับร้อยติดตามมา
เมื่อมองไปทางชายชุดดำทั้งสามที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น หัวใจของหลิวหยวนก็สั่นสะท้าน เขาได้เห็นกับตาตนเองว่าจ้าวเฟิงใช้ ‘วงแหวนอัสนี’ อันแข็งแกร่งในการจัดการคนทั้งสามนี้ตรงๆ
ในยามนี้ เขาได้ขี่ “ปักษาเพลิงสองเศียร” มา เป็นราวกับกลุ่มเพลิงอันกราดเกรี้ยวที่มีความเร็วอันน่าพรั่นพรึง พุ่งตรงไปเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
“หลิวหยวน พวกเจ้ามาช้านะ”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มเยือกเย็น ขึ้นไปบนแผ่นหลังของนางแอ่นมรกตอย่างเชื่องช้า แม้ว่าจะถูกล้อมโดยคนเหล่านี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ
จะอย่างไร “สี่เงาขนนกทมิฬ” ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นก็ยังยากที่จะฟื้นฟูได้ในยามนี้
กระบวนทัพที่หย่อนยานเช่นนี้ จ้าวเฟิงสามารถหนีออกไปได้ก่อนที่ทั้งหมดจะสามารถล้อมกรอบเขาเอาไว้ กระทั่งมั่นใจว่าสามารถฆ่าคนเกือบทั้งหมดได้
“จ้าวเฟิง หากเจ้ามีฝีมือ จงมาสู้กันตัวต่อตัว”
หลิวหยวนตวาดน้ำเสียงดุดัน จิตต่อสู้พุ่งพล่าน
ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงที่เขาได้เห็นด้วยตาตนเองนั้นได้กระตุ้นความต้องการเอาชนะในใจของเขาขึ้น
การหนีการแต่งงานของจ้าวเฟิงในครานี้ แน่นอนว่าทำให้ตระกูลหลิวเกิดความขุ่นเคือง หากตัวเองสามารถเอาชนะและจับตัวอีกฝ่ายไว้ได้ ไม่แน่ว่าตำแหน่งบุตรเขยเจ้าเมืองอาจกลายเป็นตัวเขา
“หึหึ สู้กันตัวต่อตัว?”
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนหลังนางแอ่นมรกต มองไปยังหลิวหยวนและกองทัพ มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“เจ้ากล้าหรือไม่? ทุกคน… ถอยออกไปยี่สิบหลา”
หลิวหยวนสั่งให้กองทัพทหารถอยออกไป
ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะสู้หรือไม่ เขาก็ได้สร้างพื้นที่ ‘การประลองตัวต่อตัว’ ไว้แล้ว
หากจ้าวเฟิงรับคำท้า ต่อให้พ่ายแพ้ก็สามารถยืดเวลาไปได้พักหนึ่ง รอให้กองกำลังสนับสนุนมาช่วยเหลือ
“เหตุใดจึงจะไม่กล้า”
จ้าวเฟิงสองมือไพล่หลัง มองไปยังคนกว่าร้อยที่ไล่ล่าตามมา
ในใจของเด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างร้ายกาจ แม้ว่าปราณแท้ที่ใช้ไปนั้นจะมาก ทว่าพลังจิตยังคงเต็มเปี่ยม หากจัดการคนพวกนี้ได้อย่างรวดเร็วก็ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้
“ฮ่า… การต่อสู้ที่ยุติธรรมของพวกเรา”
หลิวหยวนยินดี คำรามเสียงลั่น มุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง
“หนึ่งกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ”
จ้าวเฟิงสีหน้าไร้ความรู้สึก เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าพลันเปิดออก นัยน์ตาสีเขียวครามลึกล้ำราวกับแผ่ขยายออกไปไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด