Skip to content

King of Gods 323

King Of Gods

บทที่ 323 : ปราชญ์ลิ่วอู (1)

สามารถเอ่ยได้ว่าหลังจากเวลายาวนานนี้ พื้นที่พันธาราก็ได้รวมเป็นหนึ่ง

หัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือด จ้าวเฟิง นับได้ว่าเป็นราชาไร้มงกุฎในพื้นที่แห่งนี้

“ตระกูลหยุนรองพ่ายแพ้ ทั่วทั้งพื้นที่พันธาราย่อมถูกควบคุมโดยลัทธิโลหะเลือดสาขาโดยสมบูรณ์ บัดนี้ข้าเองก็สามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ เตรียมตัวเข้าร่วม ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ”

ในใจของจ้าวเฟิงสงบนิ่ง

หลังจากที่ทั้งสองฝั่งทำสัญญาโลหิต จ้าวเฟิงก็นำคนระดับสูงต่ำของลัทธิโลหะเลือดสาขากลับไปยังลัทธิโลหะเลือดสาขาอย่างยิ่งใหญ่ทรงพลัง

ฝ่ายตรงข้ามแม่น้ำ ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนใบหน้าหดหู่เศร้าใจ แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลอบดีใจ

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่ รูปลักษณ์ราวกับแก่ขึ้นไปอีกหลายปี จ้องมองไปยังทิศที่ร่างของจ้าวเฟิงเลือนหายไป “เด็กนี่น่ากลัวนัก ยังเยาว์วัยทว่าบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าลัทธิโลหะเลือดสาขามอบหมายหน้าที่หนักหนาให้แก่เขา งานชุมนุมเซียนมังกรในอีกหกเดือนข้างหน้าย่อมเสนอชื่อเขาให้เข้าร่วมเป็นแน่”

สายตาของชายชราพลันเบนไปมองยังร่างไหม้ๆ ของเทียนหยุนจือ

รูปลักษณ์ของเทียนหยุนจือนั้นไร้ซึ่งสีฝาดของโลหิต พลังชีวิตอ่อนแรง สิ้นสติอยู่

“เขาเป็นเช่นไรบ้าง?”

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเอ่ยถามหมอหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ

“ภายใต้การรักษาอย่างทันท่วงทีของพวกเรานับได้ว่าไม่มีอันตรายร้ายแรง ทว่าบริเวณที่เขาได้รับบาดเจ็บมากที่สุดคือจิตใจ”

หมอผมขาวเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด

“บาดแผลที่จิตใจ? ตระกูลของข้ามียาจิตวิญญาณหายากล้ำค่ามากมาย สามารถรักษาบาดแผลที่จิตใจได้”

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเอ่ย

“พวกเราให้เขากินยาจิตวิญญาณไปพร้อมกับการรักษา เพียงแต่บาดแผลในจิตใจของเขากับ ‘จิตแห่งกระบี่’ นั้นเกี่ยวข้องกัน การช่วยเหลือจากภายนอกทำได้จำกัด ทั้งหมดต้องอาศัยตัวของเขาเองแล้ว”

หมอผมขาวแย้มยิ้มขมขื่นเศร้าสร้อย

บาดแผลทางจิตใจปกติหากมีเงื่อนไขและทรัพยากรที่มากพอย่อมสามารถค่อยๆ รักษาให้ฟื้นคืนได้

ทว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับ ‘จิตแห่งกระบี่’ จิตใจระดับนี้ กระทั่งหมอเลื่องชื่อก็ไม่อาจแทรกแซงได้

“สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงผู้นี้มีพื้นเพเช่นไรกัน กระทั่งสามารถทำให้ต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ของหยุนจือพ่ายแพ้และมีปัญหาได้”

ใบหน้าของผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนมืดทะมึน เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

เทียนหยุนจือคือทายาทของสองยอดฝีมือแห่งตระกูลเทียนและตระกูลหยุน ได้ครอบครองมรดกสายเลือดที่หายากทั้งสอง พรสวรรค์ของเขานั้นหากกวาดมองทั่วทั้งอาณาจักรสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ได้ บางทีอาจมีเพียง ‘รัชทายาทจิน’ แห่งราชวงศ์ที่สามารถเทียบเคียงเขาได้

“ผลจะเป็นเช่นไร?”

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเอ่ยถาม

“ผลที่เลวร้ายที่สุดคือจิตใจแหลกสลาย ไม่แตกต่างจากตายไปแล้ว กรณีนี้มีโอกาสมาก ผลที่ค่อนข้างดีหน่อยคือสามารถยืนหยัดขึ้นได้ เป็นเหมือนถือกำเนิดขึ้นใหม่ ทว่าโอกาสมีน้อยนัก”

หมอผมขาวเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

“ไม่มีวิธีช่วยเลยหรือ?”

“โดยปกติแล้วไม่มี กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมาก็ยังคงไร้หนทาง มีเพียงแค่ราชาในขอบเขตปราณเทวะมาเท่านั้นจึงจะมีโอกาส มันมีคำกล่าวไว้ว่าราชาที่มีพลังฝึกตนในขอบเขตปราณเทวะจะสามารถสัมผัสถึงส่วนลึกของวิญญาณได้ กระทั่งสามารถเดินทางท่องไป ในจักรวาลได้”

หมอผมขาวส่ายศีรษะ

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนในปากปรากฏความข่มปร่าขึ้นประการหนึ่ง

แปดขั้วอำนาจแห่งอาณาจักรนภาไม่มียอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด สำหรับราชาในขอบเขตปราณเทวะยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากต้องการหา บางทีในทวีปแห่งนี้คงไม่มีแม้สักคน

“ใช่แล้ว ผู้นำเฒ่า ที่หอคอยลิ่วอูมีปราชญ์ลึกลับ เชี่ยวชำนาญในทางภูมิศาสตร์ ศาสตร์แห่งยา และค่ายกล… ความรู้ลึกล้ำราวมหาสมุทร ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่รู้ มีคำเอ่ยไว้ว่ากระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของสำนักเทียนหยวนแห่งสิบยอดสำนักยังต้องไปพบเขา”

ผู้เป็นหมอเอ่ยขึ้นกะทันหัน

“ปราชญ์หอคอยลิ่วอู? อย่าได้บอกข้านะว่าเจ้าหมายถึง… อาจารย์ของฉินหวางเฟย?”

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนดวงตาส่องประกาย

แม้แต่ “ฉินหวางเฟย” ที่มีชื่อเสียงยังเป็นศิษย์ของนักปราชญ์ผู้นี้ แสดงว่าคนผู้นี้ต้องมีความเก่งกล้าสามารถที่ไม่ธรรมดา

ทว่าในตอนนั้นเองที่แสงที่ส่องประกายอยู่ในดวงตาของเขาได้มืดหม่นลง

ปราชญ์ผู้นั้นเขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง โดยมากแล้วจะท่องเที่ยวไปทั่วทุกทิศ มิเช่นนั้นก็เก็บตัวอยู่ในหอคอยลิ่วอู ไม่ต้อนรับแขก

“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ควรจะลองหวังว่าการรวมพลังกันของสองหัวหน้าตระกูลเทียนและตระกูลหยุนจะสามารถเชิญนักปราชญ์ผู้นั้นมาได้ หากทำให้ฉินหวางเฟยช่วยออกหน้า ความหวังย่อมมีมากขึ้น”

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนดวงตาเปียกชื้น มือทั้งสองข้างกำแน่น เล็กจิกเข้าไปในเนื้อ

ผู้อาวุโสตระกูลหยุนทั้งหลายเงียบงัน มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่รู้ว่าผู้นำเฒ่าคือตาของเทียนหยุนจือ เทียนหยุนจือก็ไม่รู้ เพราะมารดาของเขานั้นตายไปตั้งแต่เขายังเด็ก นี่เป็นครั้งแรกที่มาเยี่ยมญาติที่ตระกูลหยุนด้วยความตั้งใจของตน

เวลาได้ผ่านไปครึ่งเดือน

ลัทธิโลหะเลือดสาขา

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ปราณจิตวิญญาณในร่างราวกับปรอทที่ไหลเคลื่อนไปอย่างลื่นไหล

ปราณจิตวิญญาณภายในร่างมีรูปลักษณ์เป็นของเหลวเข้มข้นที่หลอมรวมกัน

โดยเฉพาะในจุดตันเถียน มันมีแหล่งกำเนิดที่เป็นแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมี

ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเมื่อระดับต่างกัน ขนาดของแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณก็ต่างกัน

หากแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปเทียบได้กับน้ำหนึ่งถ้วย เช่นนั้นของขั้นผู้วิเศษแท้ก็เทียบได้กับอ่างน้ำ

ผู้ที่เอื้อมแตะชายขอบของขั้นนายเหนือแท้ แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณก็เทียบได้เหมือนกับถังน้ำ

ความแตกต่างระหว่างทั้งสามนั้นมากมาย

โดยเฉพาะขั้นนายเหนือแท้ พลังมหาศาล สามารถสร้างขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้พลังภายนอก

พลังในปัจจุบันของจ้าวเฟิง หากเผชิญหน้ากับขั้นผู้วิเศษแท้ที่อ่อนแอยังสามารถรับมือได้ ตัวอย่างเช่นผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนผู้นั้น

ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ที่แข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนหลายเท่า อาจเป็นเช่นจอมโจรฉุ่ยเยว่ที่จ้าวเฟิงไม่มีแม้พลังจะต่อต้าน

สำหรับผู้ที่เอื้อมแตะชายขอบของขั้นนายเหนือแท้ ตัวอย่างเช่นเจ้าเมืองหงหู หรือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเช่นรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด ลำบากเพียงหนึ่งนิ้วก็สามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ได้โดยไม่เปลืองเรี่ยวแรง

ยังดีที่ีเพราะจ้าวเฟิงอยู่ภายใต้ร่มเงาของลัทธิโลหะเลือด จึงไม่ต้องกังวลว่าเจ้าเมืองหงหูจะตามมาล้างแค้นเขา

“แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณภายในร่างกายของข้าเริ่มก่อตัวแล้ว หากสามารถทำให้มันเสถียรได้สำเร็จ ขั้นต่อไปก็คือการทำให้มันบริสุทธิ์และขยายมันออก”

จ้าวเฟิงสำรวจแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในจุดตันเถียน

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขามีสีเขียวเข้มลึกล้ำ ปรากฏตราอัสนีจางๆ หากไม่ปกปิดเอาไว้ กลิ่นอายบ้าคลั่งกราดเกรี้ยวบนร่างของเขาจะทำให้สิ่งมีชีวิตใกล้เคียงรู้สึกกระสับกระส่าย

เมื่อเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ไม่นับเป็นมนุษย์อีกต่อไป

ระดับชีวิตของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในร่างของเขาสามารถเชื่อมต่อกับไอสวรรค์บนโลกที่แสนกว้างใหญ่ได้ สามารถดูดซึมและทำให้มันบริสุทธิ์ขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งไอสวรรค์อัสนีที่จ้าวเฟิงสามารถเชื่อมต่อได้ดีที่สุดก็สามารถดูดกลืนได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า จากนั้นจึงเป็นลม น้ำ ไฟ และอื่นๆ ที่เพียงแค่รวบรวมก็ยากแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงการดูดซึมเลย

จากนั้น

จ้าวเฟิงต้องทำเพียงทำให้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขาบริสุทธิ์เพื่อที่จะแผ่ขยายมันออก จากนั้นเขาก็จะก้าวเข้าสู่ขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำอย่างสมบูรณ์

ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปนั้น การก้าวเข้าสู่ระดับต่ำจากระดับแรกเริ่มใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี หากมากก็ 2-3 ปี ไม่มีคอขวด

จากระดับต่ำสู่ระดับสูงมีความยากในระดับหนึ่ง จำเป็นต้องใช้พลังที่สั่งสมมา โอกาส รวมทั้งพรสวรรค์

ระดับสูงสู่ระดับสุดยอดเป็นเช่นเดียวกัน มีขั้นเล็กๆ แยกออกไปอีก

ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดคืออวิ๋นช่าและโจรเถาชานเฟ่ย พลังมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน

ในระดับนี้สามารถพยายามลองทะลวงเข้าสู่สวรรค์ที่สองแห่งขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ขั้นผู้วิเศษแท้ได้

ขั้นผู้วิเศษแท้นั้นนับเป็นประตูที่บานใหญ่ไม่น้อย ต้องใช้เสวี๋ยนอ้าว (玄奥:ลึกลับ) ในการเปิดประตูสวรรค์ หลอมรวมหน่อแห่งสำนึกรู้

“ในมือของข้ามีวารีเร้นลับที่ได้รับมาจากสมบัติสายธารจันทรา สามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสัมผัสถึงหนทางแห่งโลก ทำความเข้าใจถึงหน่อแห่งสำนึกรู้ได้ โอกาสบรรลุถึงขั้นผู้วิเศษแท้มากขึ้นสามในสิบส่วน”

ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความตื่นเต้น

วารีเร้นลับเป็นสมบัติหายากของจ้าวเฟิงที่ได้รับมาจากถ้ำสมบัติสายธารจันทรา โลงศพจื่อถงชั้นที่สาม

มูลค่าของวารีเร่นลับนั้นอาจเทียบได้กับพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา

หากของเหลวนี้ถูกนำไปประมูลในโรงประมูลเชิงหลง มิรู้ว่าราคาประมูลของมันจะสูงมากเพียงใด

หลังจากปิดด่านฝึกตนอยู่ครึ่งเดือน จ้าวเฟิงได้ออกมาหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องราวในสาขา

บัดนี้สาขาพันธาราได้ครอบครองพื้นที่ ตระกูลกลุ่มอำนาจเล็กๆ รวมทั้งยอดฝีมือที่กระจัดกระจายจึงไม่ได้สร้างเรื่องบ่อยนัก

อวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่น สองรองหัวหน้าสาขายุ่งมากจนก้นแทบไม่ติดที่นั่ง

จ้าวเฟิง หัวหน้าสาขาผู้นี้โดยมากแล้วจะปิดด่านฝึกตน ไม่สนใจการงานใดๆ

กระทั่งการขอเข้าพบของผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบางคน จ้าวเฟิงยังไม่รับ

“หัวหน้าสาขา ในที่สุดท่านก็ออกมา”

อวิ๋นช่า เฉินเมิ่งเจิ่น และเหล่าระดับสูงคนอื่นๆ รีบมารายงานเรื่องสำคัญในทันที

บัดนี้ ลัทธิโลหะเลือดสาขาได้ควบคุมพื้นที่พันธารา เรื่องหลายเรื่องจำต้องได้รับการแก้ไข

“ฉานเซว่ตูอิงจากกลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งบอกว่ารู้จักหัวหน้าสาขา ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายร่วมรบกับหัวหน้าสาขา ต้องการที่จะมาพบท่านและอยากได้ตำแหน่งสูงในลัทธิโลหะเลือด”

“ราชาแห่งชีอูชานหยิน พลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ ก่อนหน้าได้มีเรื่องขุ่นแค้นกับเจ้าเมืองหงหู เขาได้ยินถึงความสามารถของท่านหัวหน้าสาขาจึงเชื้อเชิญท่านไปยังภูเขาเพื่อกินดื่ม เขาบอกว่ามีบุตรสาวหน้าตาหมดจดงดงามอยู่คนหนึ่ง บางทีอาจคิด…”

“ด้านนอกมีนักพยากรณ์ผู้หนึ่ง ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักพยากรณ์ของราชาแห่งอาณาจักรนภา เขาบอกว่าท่านเป็นคนใหญ่คนโต เป็นมังกรที่แท้จริง ต้องการจะช่วยเหลือท่านหัวหน้าสาขาครอบครองโลก”

ทันใดนั้น เรื่องราวเล็กใหญ่ก็ได้ถูกเอ่ยบอกแก่จ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงลูกหน้าผากตนเองอย่างช่วยไม่ได้ คิ้วมุ่นเข้าหากัน “หากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอย่างพวกคำเชิญทั้งหลายนั่นพวกเจ้าจงปฏิเสธให้ข้า”

เด็กหนุ่มโบกมือ ทุกเรื่องใหญ่เล็กเขาได้โยนให้แก่อวิ๋นช่า รองหัวหน้าสาขา และเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ จนหมดสิ้น

ในตอนนั้น จ้าวเฟิงได้เอ่ยกับเตี๋ยเย่ “ข้ามีจดหมายหนึ่งฉบับ จงนำจดหมายนี่ส่งให้กับอาจารย์เถี่ยกาน บอกให้เขามาสร้างอาวุธให้ข้า”

“อาจารย์เถี่ยกาน? เขาคืออาจารย์ช่างที่เลื่องชื่อแห่งอาณาจักร ทั้งยังนับเป็นผู้อาวุโสในกองบัญชาการ ข้าจะไปส่งจดหมายให้ แต่ข้าไม่มั่นใจว่าเขาจะมาหรือไม่”

เตี๋ยเย่เอ่ยอย่างระมัดระวัง

“ความสัมพันธ์ของข้ากับอาจารย์เถี่ยกานนับว่าดี”

จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้มบาง

เหตุผลที่เขาต้องการเชิญอาจารย์เถี่ยกานมานั้นเป็นเพราะเขาต้องการที่จะหลอมอาวุธระยะไกลกับผลึกอู่หางหยวนและผลึกอู่หางรุ่ยเพื่อเพิ่มความสามารถของคันศรหลัวซุย

รวมทั้ง

พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาสามารถใส่อาวุธลับเล็กๆ ได้เจ็ดชนิดตามที่ตนต้องการ

หลังจากที่เรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น จ้าวเฟิงจึงเริ่มปิดด่านฝึกตนต่อ การหลอมรวมแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ นับเป็นกระบวนการเชื่องช้าที่ต้องใช้เวลายาวนาน

เมืองหงหู ตำหนักเจ้าเมือง

“ท่านเจ้าเมือง มีข่าวสำคัญ จ้าวเฟิงได้เป็นหัวหน้าลัทธิโลหะเลือดสาขา ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของแม่น้ำพันธารา กระทั่งเอาชนะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเทียนหลัก ‘เทียนหยุนจือ’ ได้

เงาพร่าเลือนเอ่ยรายงานก่อนจะจางหายไป

เจ้าเมืองหงหูสองมือไพล่หลัง ท่าทีลึกล้ำ สายตาราวกับท้องนภายามราตรีได้ปรากฏเปลวเพลิงสีแดงเงินสั่นระริกอยู่

ชั่วขณะต่อมา เขาจึงเอ่ยกับคนด้านหลัง “ฉินเอ๋อร์ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

พรึบ

เรือนร่างงดงามที่ขาวราวหิมะ รูปลักษณ์ราวกับเทพธิดา เป็นเช่นภาพวาดที่กลับกลายมามีชีวิตเดินเยื้องย่างก้าวเข้ามา

“ลูกตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมใน ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ เจ้าค่ะ”

ของหลิวฉินซินกัดฟันเล็กน้อย ดวงตางดงามราวบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิปรากฏระลอกคลื่นขึ้นขณะมองไปยังอีกฝ่าย

“ฮี่ฮี่ ด้วยพลังที่แท้จริงของสายเลือดของเจ้า แม้กวาดมองคนรุ่นใหม่ทั่วทั้งอาณาจักรก็ยากที่จะหาคู่ต่อสู้ได้ ถึงเวลาควรจะออกไปจากอาณาจักร ออกจากทวีปเหนือ เข้าสู่เวทีของทุกทวีปได้แล้ว”

เจ้าเมืองหงหูแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!