บทที่ 386 : กระแทก
ประตูโบราณที่ส่องแสงนั้นไม่ได้เป็นเพียงความว่างเปล่า ทว่าได้ปรากฏอยู่จริงๆ แตกต่างออกไปจากประตูเงาอื่นๆ
ในขณะที่มรดกฉวนปิงเชื่อมต่อ มรดกความลับสวรรค์ก็ได้ลอยอยู่เหนือลานประลองลอยฟ้า เปิดประตูแสงขึ้นตรงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือจากบันไดน้ำ เพิกเฉยต่อกฎของลานประลองชางกู่โดยสิ้นเชิง
เพียงเรื่องนี้ ‘มรดกความลับสวรรค์’ ก็นับว่าเหนือกว่ามหามรดกอื่นๆ ไปมากกว่าหนึ่งขั้นแล้ว
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ได้ทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคน ณ ที่นั้นตื่นตะลึง
การมาถึงของมรดกความลับสวรรค์นับว่ากะทันหันยิ่งนัก ทั้งมาถึงเพียงเสี้ยววินาทีก็ได้เปิดประตูเคลื่อนย้ายขึ้นแล้ว
อัจฉริยะหลายคนไม่อาจตอบสนองได้ทันได้ชั่วขณะ
“เป็นกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังยิ่งนัก ต้องเป้นมรดกความลับสวรรค์เป็นแน่”
จ้าวเฟิงรู้สึกเพียงว่าเงาของ ‘มรดกฉวนปิง’ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของตนนั้นได้ถูกกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก ท่าทางไม่มั่นคง
ในสี่มหามรดก คงมีเพียงแค่ ‘มรดกความลับสวรรค์’ ที่เก่าแก่ลึกลับที่สุดที่สามารถทำเช่นนี้ได้
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ลอบบ่นในใจ มรดกความลับสวรรค์นี่ก่อนหน้าไม่ปรากฏ หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏ จู่ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏขึ้นในยามนี้กัน
บริเวณที่ประตูของมรดกความลับสวรรค์ปรากฏขึ้นกับจ้าวเฟิงนั้นห่างกันในระดับหนึ่ง ทำให้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยากที่จะเลือกได้
รวมทั้ง
บริเวณที่มรดกความลับสวรรค์ปรากฏขึ้นยังใกล้กับร่างของอัจฉริยะเซียนมังกรบางคนด้วย
“ฮ่าฮ่า ดียิ่ง”
“มรดกความลับสวรรค์ปรากฏขึ้นในยามนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นผู้ที่ถูกเลือก”
สองอัจฉริยะเซียนมังกรที่อยู่ใกล้บานประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี พุ่งตรงไปยังบานประตูโบราณที่ส่องสว่างอยู่กลางอากาศอย่างลึกลับ
ฟุ่บ ฟุ่บ
อัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ มองไปยังคนทั้งสองอย่างจนใจ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายได้เปรียบเพราะอยู่ใกล้กว่าก็รู้สึกไม่พอใจ
ครืนนนน
บานประตูโบราณสั่นสะท้าน ส่งปราณจิตวิญญาณออกมาซัดร่างของอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งสองกระเด็นออกไป
เกิดอันใดขึ้นกัน
อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งสองคนสีหน้าแข็งค้าง รู้สึกอับอายอย่างมาก
“ฮ่า… มรดกความลับสวรรค์ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ใดก็สามารถเข้าไปได้”
อัจฉริยะเซียนมังกรที่อยู่ห่างออกไปพลันรับรู้ขึ้น รู้สึกยินดีอย่างมาก
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากได้เคลื่อนกายเข้าไปใกล้บานประตูโบราณที่มรดกความลับสวรรค์เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ครืนนน
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรได้ถูกซัดกระเด็นไปโดยประตูแสงนั้น สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ
ในเวลาหลายลมหายใจ ‘มรดกความลับสวรรค์’ ได้กลายเป็นจุดรวมความสนใจของผู้คน อัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากพุ่งกายไปอย่างบ้าคลั่ง
รวมทั้งหยูเทียนฮ่าว ซินอู๋เหิน และชื่อเฉิงเทียน
บุคคลในระดับของผู้ถูกเลือกทั้งสามพลันพุ่งไปที่ประตูโบราณ เข้าปะทะกัน
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก ปิงเว่ยเซียนจื่อและตันไถ่หลันเยว่เองก็ลังเลไปครึ่งลมหายใจ
มรดกความลับสวรรค์นั้นนับว่ามีระดับเหนือกว่ามรดกฉวนปิงหนึ่งขั้นโดยไม่ต้องสงสัย สมบัติภายในมรดกเองก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะบางสำนักหรือธาตุวิชา
บางที ในมรดกที่ลึกลับและเก่าที่สุดนี้ ในมรดกความลับสวรรค์ อาจมีมรดกที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งวิญญาณก็เป็นได้
ทว่าหากจ้าวเฟิงยอมปล่อยมรดกฉวนปิงไปและเข้าแย่งชิงมรดกความลับสวรรค์ เด็กหนุ่มก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาล ดีไม่ดีอาจจะพลาดมรดกทั้งสองไป
เพราะระหว่างมรดกฉวนปิงและมรดกความลับสวรรค์นั้นอยู่ห่างกันในระดับหนึ่ง
ในยามนี้
ทางเข้าของมรดกความลับสวรรค์ได้เกิดการคานอำนาจกันระหว่างหยูเทียนฮ่าว ซินอู๋เหิน และชื่อเฉิงเทียน คนทั้งสามอาจเข้าไปได้ตลอดเวลา เชื่อมต่อกับมรดกความลับสวรรค์
ทุกมรดกล้วนมีตำแหน่งจำกัด รวมทั้งสี่มหามรดกด้วย
“หากข้าเลือกมรดกความลับสวรรค์ก็คงต้องพลาดมรดกฉวนปิงไป”
ความคิดของจ้าวเฟิงโลดแล่นอย่างรวดเร็ว
แม้จะดูยาวนาน แต่การวิเคราะห์ของเด็กหนุ่มนั้นใช้เวลาไปเพียงหนึ่งในสิบของเสี้ยวพริบตาเท่านั้น
ทันใดนั้น
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงพลันเผยประกายโหดเหี้ยมเด็ดขาดออกมา
ในยามนี้ ตันไถ่หลันเยว่และปิงเว่ยเซียนจื่อได้หงุดหงิดจนถึงขีดสุด ร่วมมือกันโจมตีจ้าวเฟิง
ในมือของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ปรากฎดาบน้ำแข็งโปร่งใสที่ส่องประกาย ประกายดาบที่ตัดผ่านสร้างไอหมอกเย็นเยียบไปถึงกระดูกออกมา ภายใต้พลังที่ข้ามผ่านกาลเวลาช่วยส่งเสริม คมดาบนั้นราวกับสามารถตัดผ่านสรวงสวรรค์ พลังดาบเย็นเยียบที่ไม่อาจมองเห็นได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ตัดผ่าจิตใจของคู่ต่อสู้
ตันไถ่หลันเยว่วาดแส้หลากสี ควบคุม ‘มังกรดินเขาเดียว’ ที่แยกเขี้ยว กระโจนเข้าจู่โจมจ้าวเฟิง
ฟุ่บ เปรี้ยง
ร่างของจ้าวเฟิงจางหายไปภายใต้การโจมตีของสองผู้ถูกเลือก
ตาเปล่าสามารถรับรู้ได้ว่ามีเงาร่างประกายสายฟ้าร่างหนึ่งได้พุ่งตรงไปทาง ‘มรดกความลับสวรรค์’
“จริงๆ ด้วย”
ตันไถ่หลันเยว่ไม่ประหลาดใจ นางไม่คิดว่าการร่วมมือกันของพวกนางสองคนจะสามารถคุกคามจ้าวเฟิงได้
เป้าหมายของจ้าวเฟิงสูงกว่า เป็นมรดกความลับสวรรค์ที่เก่าแก่และลึกลับที่สุด
ตันไถ่หลันเยว่ควบคุม ‘มังกรดินเขาเดียว’ ใช้ร่างใหญ่โตของสัตว์วิเศษในการผลักร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อให้พ้นทาง มุ่งหน้าเข้าไปในมรดกฉวนปิง
หลังจากที่มีคนเข้าไปแล้วหนึ่งคน ประตูเงาของมรดกฉวนปิงก็หม่นแสงลงหลายส่วน
สีหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อเปลี่ยนแปลงไป เพียงเตรียมตัวจะเข้าไป จิตใจพลันสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า”
กลุ่มเพลิงอัสนีสีเขียวได้ปรากฏขึ้นที่ร่างของปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างไร้ที่มา พลังของเพลิงอัสนีได้อาละวาดไปทั่วร่าง เผาไหม้จิตวิญญาณของหญิงสาว
หลังจากที่ได้ครอบครองเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลา พลังของเพลิงอัสนีเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ได้พัฒนาขึ้นสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง แม้คู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ก็ยากที่จะล่าถอยไปได้อย่างปลอดภัย
ทั้งปิงเว่ยเซียนจื่อยังไม่ได้ระวังตัว ถูกโจมตีทีเผลอ การโจมตีของ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ นี้ได้สร้างความเสียหายรุนแรงให้นาง
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าระหว่างที่จ้าวเฟิงล่าถอยจะยังใช้เพลิงอัสนีเทพเจ้าโจมตีผู้อื่น
“หยูเฟ่ยได้เข้าไปในมรดกฉวนปิงหรือไม่…?”
จ้าวเฟิงนึกถึงจ้าวหยูเฟ่ยที่อยู่ไม่ห่างออกไป
ที่เขาได้ใช้เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าโจมตีไปยังปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้นก็เพราะต้องการที่จะมอบตำแหน่งที่เหลือของมรดกฉวนปิงให้แก่จ้าวหยูเฟ่ย
เขาได้เปลี่ยนใจมาใช้แผนการนี้
ในเมื่อจะยอมปล่อยมรดกฉวนปิงไป ย่อมไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของปิงเว่ยเซียนจื่อได้
จ้าวหยูเฟ่ยมีพลังในระดับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่ได้ครอบครองนับว่าแข็งแกร่งกว่าปิงเว่ยเซียนจื่อ ที่สำคัญไปกว่านั้น หลังจากที่นางได้ครอบครองเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลา ขอบเขตจิตวิญญาณของนางก็ได้พัฒนาขึ้น บรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำแล้ว
ในสถานการณ์ที่ปิงเว่ยเซียนจื่อได้รับบาดเจ็บ จ้าวหยูเฟ่ยนับว่ามีหวังอย่างมาก สามารถครอบครองหนึ่งในตำแหน่งของมรดกฉวนปิงได้
ใช้แล้ว
การเปลี่ยนแผนของจ้าวเฟิงครั้งนี้นับว่าสมบูรณ์แบบอย่างมาก สามารถจู่โจมศัตรูไปได้พร้อมๆ กับช่วยเหลือสหาย
ทว่าปัญหาคือ
สถานการณ์ของจ้าวหยูเฟ่ยนั้นแปลกประหลาด
อัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ ได้มุ่งหน้าไปแย่งชิงมรดก ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยกลับไม่เคลื่อนไหว
นางนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ใบหน้าเผยความเจ็บปวดออกมา ปราณจิตวิญญาณในร่างสั่นสะท้านอย่างแปลกประหลาด ตอบสนองต่อไอสวรรค์ของฟ้าดิน
เลือดเนื้อทั่วทั้งร่างของจ้าวหยูเฟ่ยได้หลอมรวมเอาไอสวรรค์ที่บริสุทธิ์อย่างไม่อาจเทียบเข้าไป เมื่อรวมเข้ากับเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาเบื้องหลัง ขอบเขตจิตวิญญาณของนางก็ได้พัฒนาขึ้น ปราณจิตวิญญาณได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง กระทั่งสร้างผลบางอย่างให้กับพลังสายเลือด
จ้าวหยูเฟ่ยพลันกระอักโลหิต ผิวขาวราวหยกของนางได้ปรากฏลวดลายหลากสีขึ้นสั่นกระเพื่อม
“หยูเฟ่ย…”
สีหน้าของจ้าวเฟิงพลันเปลี่ยนแปลงไป ฝีเท้าหยุดชะงัก
เด็กหนุ่มพลันเปิดดวงตาเทพเจ้า ตรวจสอบสถานการณ์ของจ้าวหยูเฟ่ย
“ขอบเขตพลังฝึกตนพัฒนาขึ้นอย่างกะทันหัน… ปราณจิตวิญญาณปั่นป่วน… นางต้องการทางระบายออก… พลังสายเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงแม้เทียบกับหมอมากฝีมือยังนับว่าแม่นยำกว่านัก
ในยามนี้
ประตูโบราณของมรดกความลับสวรรค์ได้ปรากฏแสงสว่างวูบ
ซินอู๋เหินได้พุ่งกายผ่านประตูโบราณ กลายเป็นอัจฉริยะเซียนมังกรคนแรกที่ได้เข้าไปใน ‘มรดกความลับสวรรค์’ ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้
ประตูของมรดกความลับสวรรค์นี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ซินอู๋เหินต้องพยายามอยู่กว่าสามครั้งจึงสามารถเข้าไปได้สำเร็จ
หยูเทียนฮ่าวเองก็พยายามอยู่สามครั้ง ชื่อเฉิงเทียนลองอยู่สองครั้ง ทว่าไม่สำเร็จ
“ฮ่าฮ่า สำนักวั่นหยวนของข้า หลังจากผ่านมาหมื่นปีก็สามารถเข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ได้”
“ด้วยวาสนาและความสามารถในการทำความเข้าใจของซินอู๋เหิน การเข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ ภายหลังย่อมมีพลังที่จะสามารถควบคุมดินแดนนี้ได้เป็นแน่”
“อนาคตของทวีปอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยสำนักวั่นหยวน”
ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวั่นหยวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
กลุ่มอำนาจอื่นๆ ของทวีปเต็มไปด้วยความริษยา ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย เพ่งมองไปยังมรดกความลับสวรรค์อย่างไม่ละสายตา
เป็นเรื่องดีที่
หลังจากที่มีคนเข้าไปคนหนึ่งแล้ว ประตูโบราณของมรดกความลับสวรรค์ก็ยังคงมั่นคงเช่นก่อนหน้า ไม่ได้ปิดลง
“โอกาส”
ยอดสำนักทั้งสิบของทวีป ตระกูลชนชั้นสูงส่วนมาก กระทั่งผู้สูงศักดิ์แห่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นคาดหวัง
ในยามนี้
มรดกความลับสวรรค์ได้กลายเป็นจุดสนใจไป
สำหรับมรดกฉวนปิงนั้นได้จางหายไปยามใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้
งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ มหามรดกทั้งสี่ได้ปรากฏตัวขึ้น
มรดกความลับสวรรค์ได้กลายเป็นสิ่งตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย อาจกล่าวได้ว่านับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจและน่ายินดี เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน
จ้าวเฟิงใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการเข้าไปใกล้มรดกความลับสวรรค์
เมี้ยว เมี้ยว
ในเวลาเดียวกัน แมวสีเทาเงินตัวหนึ่งก็ได้กลายเป็นเงาวูบ ปรากฏขึ้นข้างกายของจ้าวหยูเฟ่ย
ความคิดของจ้าวเฟิงโลดแล่นอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจว่าตนเองจะเข้าแย่งชิงมรดกความลับสวรรค์ ในขณะที่แมวขโมยตัวน้อยคอยดูแลจ้าวหยูเฟ่ย
ร่างของหยูเทียนฮ่าวพุ่งวูบ ข้ามผ่านบานประตูโบราณไป
หลังจากซินอู๋เหิน หยูเทียนฮ่าวก็ได้เข้าไปในมรดกความลับสวรรค์เป็นคนที่สอง
ในเวลานี้ จ้าวเฟิงเองก็ได้มาถึง
ชื่อเฉิงเทียนพลันกระวนกระวายขึ้น ใช้แรงมหาศาลฑโจมตีไปยังบานประตูโบราณที่สั่นสะท้านในที่สุด
“ให้ข้าไป”
พลังของจ้าวเฟิงได้สั่นสะท้านอัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมาก ร่างกลับกลายเป็นเงากระแสไฟฟ้า พุ่งตรงไปยังบานประตูโบราณ
เปรี้ยง
จ้าวเฟิงเองก็ชนกับบานประตูโบราณนั้นเช่นกัน
เด็กหนุ่มไม่ประหลาดใจ เปิดดวงตาเทพเจ้า วิเคราะห์บานประตูโบราณนี้
ก่อนหน้า ซินอู๋เหินและหยูเทียนฮ่าวลองหลายครั้งจึงสามารถเข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ได้
ในยามนี้
จ้าวหยูเฟ่ยที่นั่งขัดสมาธิอยู่ห่างออกไปใบหน้าเผยความเจ็บปวดออกมา บนผิวปรากกลวดลายหลากสีงดงามส่องสว่างขึ้น
แมวขโมยตัวน้อยมองเหม่อ วาดอุ้งเท้าเล็กๆ ของมันไปลูบแผ่นหลังของจ้าวหยูเฟ่ยสองครั้ง
จ้าวหยูเฟ่ยตวาดออกมาคำหนึ่ง ถูกกดจุดที่ด้านหลัง ประกายแสงได้ส่องสว่างกลายเป็นปีกแสงกึ่งโปร่งใสที่ส่องประกายหลากสีขึ้น
ยามที่ปีกแสงกึ่งโปร่งใสนั้นแผ่กว้างออก ปราณจิตวิญญาณที่ปั่นป่วนในร่างของจ้าวหยูเฟ่ยก็ราวกับมีทางออก กลิ่นอายพลังทั่วทั้งร่างได้พัฒนาขึ้นไปสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง
“ขอบใจ”
จ้าวหยูเฟ่ยท่าทีหวาดผวา มองไปยังแมวขโมยตัวน้อยใกล้ๆ อย่างซาบซึ้ง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยพลันรับรู้บางอย่างขึ้น อุ้งเท้าปรากฏเหรียญทองแดงโบราณขึ้นหลายเหรียญลอยคว้างสูงต่ำส่งเสียง ‘ติง ติง’
เกร้ง
ครืนนนน
ทั่วทั้งลานประลองชางกู่ กระทั่งอากาศก็ยังสั่นสะท้าน
จ้าวหยูเฟ่ยพลันรับรู้ความรู้สึกแปลกประหลาด แหงนศีรษะมองไปยังเบื้องบนพร้อมกับแมวขโมยตัวน้อย
ในยามนั้น
เงาของมรดกความลับสวรรค์ที่ลอยคว้างอยู่เหนือลานประลองก็ได้ส่งเสียง ‘ครึ่ก’ ออกมาเบาๆ
เงาแปลกประหลาดได้ลอยคว้างปกคลุมท้องนภา บดบังดวงอาทิตย์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับลึกล้ำไร้สิ้นสุด สร้างภาพที่บิ่งใหญ่ขึ้น
เมื่อมองจากที่ใกล้ๆ มันราวกับว่าเป็นโลกแห่งกระจกที่เต็มไปด้วยสีสันที่สั่นกระเพื่อม
“ครืนนน”
‘มรดกความลับสวรรค์’ ที่เก่าแก่และลึกลับที่สุดได้ถูกเงามรดกนิรนามกระแทกอย่างหนักหน่วง