บทที่ 385 : ความลับของซินอู๋เหิน
จ้าวเฟิงยืนบนบันไดน้ำ ส่งการโจมตีรุนแรงออกไป สร้างภาพที่สั่นสะท้านจิตใจของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากขึ้น
การโจมตีของเขานั้นไม่ได้มุ่งเจาะจงไปยังคนใดคนหนึ่ง ทว่าเป็นการกวาดเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดไป รวมทั้งเหล่ายอดฝีมือชั้นแนวหน้า และกระทั่งผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
อัจฉริยะเซียนมังกรที่มีพลังต่ำกว่าระดับยอดฝีมือชั้นแนวหน้าต่างล่าถอยได้รับบาดเจ็บ อัจฉริยะคนสองคนกระทั่งตายตกด้วยการโจมตีนั้น
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาสูงเก้าร้อยหลาได้เกาะติดอยู่กับร่างของจ้าวเฟิง ราวกับราชาปีศาจผู้ไร้เทียมทานแห่งท้องนภาอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาราพร่างพราย เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ ดูแคลนสรวงสวรรค์
“จ้าวเฟิงผู้นี้ ในรอบที่สามนี่ได้มีพลังเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ระดับที่น่าพรั่นพรึงแล้ว”
“เขาใช้พลังของเขาคนเดียวในการกวาดพวกเราทั้งหมดออกมา?”
อัจฉริยะหลายคนสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรที่เข้าร่วมการแย่งชิงล้วนตื่นกลัว พลันยอมแพ้จากการแย่งชิงไปในทันที หรือเว้นระยะห่างเพื่อมองการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงัน
แน่นอนว่า
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อีกสองคน ปิงเว่ยเซียนจื่อและตันไถ่หลันเยว่ยังคงรับมือกับการโจมตีของจ้าวเฟิงอย่างเยือกเย็น
รวมทั้งเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรในระดับยอดฝีมือชั้นแนวหน้าหลายคนสามารถต่อต้านการโจมตีได้ ฝืนเข้าใกล้ไปได้อย่างยากลำบากจากหลายทิศทาง
จะอย่างไรกระบวนท่าเมื่อครู่ของจ้าวเฟิงก็ใช้เพียงมือเดียวในการกดดันทุกคนเมื่อครู่ ความแข็งแกร่งอันทรงอำนาจนั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มดูเป็นต่ออยู่ไม่น้อย สร้างเงามืดขึ้นในจิตใจของผู้คนจำนวนมาก
“เปิด”
นัยน์ตาหงส์ของปิงเว่ยเซียนจื่อเย็นเยียบ เอ่ยสั่งสองยอดฝีมือชั้นแนวหน้า ‘เนตรวิญญาณหนานจื่อ’ และ ‘ฉินคุนอู๋’ ที่ยืนอยู่ข้างกายนางให้โจมตีจ้าวเฟิงพร้อมกัน
เพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งของมรดกฉวนปิง มีหรือที่ปิงเว่ยเซียนจื่อจะไม่เตรียมตัวไว้ก่อน?
ก่อนหน้า นางได้ไปร่วมมือกับศัตรูของจ้าวเฟิงอย่างเนตรวิญญาณหนานจื่อและฉินคุนอู๋
ในรอบที่สอง เนตรวิญญาณหนานจื่อและฉินคุนอู๋ได้พ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง ถูกแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรไป แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมสามารถแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรของผู้อื่นมาได้
โดยเฉพาะเนตรวิญญาณหนานจื่อที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังริษยาจ้าวเฟิงอย่างมาก
หลังจากที่ถูกปิงเว่ยเซียนจื่อเอาชนะพร้อมกับได้รับข้อเสนอบางอย่าง คนทั้งสองจึงยืนอยู่ข้างหญิงสาวอย่างรวดเร็วรับมือกับจ้าวเฟิงด้วยกัน
“จ้าวเฟิงผู้นี้จองหองโอหังยิ่งนัก ต้องกำจัด”
เนตรวิญญาณหนานจื่อและฉินคุนอู๋เริ่มโจมตีร่วมกับปิงเว่ยเซียนื่อ
หมอกวิญญาณพรางสวรรค์
ดวงตาทั้งสองของเนตรวิญญาณหนานจื่อส่องประกายเพลิงวิญญาณออกมาวูบ ทันใดนั้นม่านหมอกจำนวนมากก็ได้ครอบคลุมบริเวณที่จ้าวเฟิงอยู่
หมอกวิญญาณนั้นมีคุณสมบัติในการกัดกร่อนอย่างรุนแรง สามารถใช้ออกได้ตามที่เนตรวิญญาณหนานจื่อต้องการ สร้างเพลิงวิญญาณขึ้นที่ส่วนใดก็ได้และไม่ได้มีเป้าหมายที่จิตวิญญาณอีกต่อไป แต่เป็นกายเนื้อ
เพื่อที่จะจัดการจ้าวเฟิง เนตรวิญญาณหนานจื่อได้วิเคราะห์อีกฝ่าย วางแผนขึ้นอย่างทุ่มสุดตัว
การโจมตีที่มีเป้าหมายที่จิตวิญญาณ อาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งผลต่อจ้าวเฟิง แม้ว่าจะไม่สนใจระดับที่แตกต่างก็ไม่นับเป็นการโจมตีที่รุนแรง
ทว่า ‘หมอกวิญญาณพรางสวรรค์’ นี้นับเป็นท่าไม้ตายที่ใช้กับผู้ที่มีสายเลือดดวงตา มีพลังภาพมายา แต่เนตรวิญญาณหนานจื่อได้นึกถึงความสามารถของจ้าวเฟิงแล้วจึงใช้พลังส่วนที่ควรจะใช้สร้างภาพมายาในการเพิ่มพลังระเบิดเผาไหม้ให้กับม่านหมอกวิญญาณแทน
“กรงเล็บสวรรค์”
ฉินคุนอู๋สร้างเสียงฟ้าคำรามครืนครางขึ้น ดวงตาทั้งสองราวกับดวงดารา เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาเสริมพลัง สร้างมือสีม่วงทองส่องสว่างขนาดยักษ์ใหญ่กว่าหนึ่งร้อยหลาขึ้น ดูราวกับเป็นอุ้งมือแห่งสวรรค์ที่บดขยี้ทำลายเหล่ามารปีศาจ
ภายใต้เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่คอยส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นเนตรวิญญาณหนานจื่อหรือฉินคุนอู๋ต่างก็มีพลังเทียบได้กับพลังแต่เดิมของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
นอกจากนั้น คนทั้งสองยังเจตนาที่จะ ‘สังหาร’ จ้าวเฟิง
การโจมตีหลักย่อมเป็นของปิงเว่ยเซียนจื่อ มือทั้งสองของหญิงสาววาดออก สร้างบัวน้ำแข็งที่งดงามส่งความเย็นเยียบที่แช่แข็งได้กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ออกมา ปราณจิตวิญญาณกึ่งเผาไหม้
บัวน้ำแข็งเหล่านั้นได้รวมตัวกันและกลายเป็นฟินิกซ์เหมันต์ ปักษาอมตะส่งเสียงร้องก้องสั่นสะท้านพื้นดิน
จ้าวเฟิงรับรู้ได้เพียงความเย็นยะเยือกที่กัดกินทิ่มแทงไปถึงจิตวิญญาณ พลังอาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าหลายเท่าตัว
ก่อนหน้าเขาเคยถูกปิงเว่ยเซียนจื่อแช่แข็งครั้งหนึ่ง ทว่ายามนี้บัวน้ำแข็งนั้นได้แปลงเป็นฟินิกซ์เหมันต์ พลังมีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ทั้งการโจมตีของฉินคุนอู๋และเนตรวิญญาณหนานจื่อยังได้สร้างข้อจำกัดให้เขาขึ้นด้วย
ครืนนน
เรือนผมสีฟ้าของจ้าวเฟิงพลิ้วไหวในอากาศ กระแสลมเย็นเยียบพัดไหล เบื้องหลังปรากฏเงาร่างเย็นเยียบขนาดยักษ์สวมใส่มงกุฎขึ้น ในมือถือดาบใหญ่สีหม่น นั่งอยู่บนบัลลังก์น้ำแข็ง
เงานั้นหลังจากที่สวมใส่มงกุฎและถือดาบใหญ่สีหม่นก็ได้ทำให้พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงส่งเสริมพลังโจมตีได้รุนแรงยิ่งขึ้น
มังกรเหมันต์อัสนีพิโรธ
จ้าวเฟิงไม่ล่าถอย เงาสูงใหญ่กว่าเก้าร้อยหลาเบื้องหลังขยับเคลื่อนไหวตามเด็กหนุ่ม พลังสายฟ้าและน้ำแข็งหลอมรวมกัน สร้างมังกรเหมันต์อัสนีที่บ้าคลั่งทำลายทุกสิ่งขึ้น
เปรี้ยง เปรี้ยง
ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน สร้างเสียงระเบิดดังลั่น กระทั่งทำให้เงามรดกฉวนปิงเหนือศีรษะปรากฏความสั่นไหวขึ้นเล็กๆ
“เปรี้ยะ”
ฟินิกซ์เหมันต์ที่ปิงเว่ยเซียนจื่อกึ่งเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณสร้างขึ้นได้ถูกฉีกกระชากจนแหลกสลายด้วยการโจมตีอันทรงพลัง สตรีงดงามเย็นชาจำต้องล่าถอยไปสองก้าว ทั่วทั้งร่างพลันปรากฏความรู้สึกหนึบชาแล่นพล่าน
การโจมตีของฉินคุนอู๋และเนตรวิญญาณหนานจื่อได้ถูกทำลายสลายหายไปทันที ไม่อาจเข้าใกล้ร่างของเขาได้
“อันใดกัน? รีบหนี…”
คนทั้งสองอุทานออกมาอย่างตกใจ ลูกหลงสาดกระจายไปทั่ว ร่างของพวกเขาพลันล่าถอย จากนั้นแขนขาทั้งสี่ก็พลันรับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบที่กัดกินจนชาหนึบ แทบจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไป
‘เปรี้ยง’ ร่างของเนตรวิญญาณหนานจื่อกระเด็นลอยออกไป ร่างกายไหม้เกรียม ถูกแช่แข็งด้วยพลังเหมันต์ เป็นหรือตายไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ฉินคุนอู๋แทบจะแลกด้วยชีวิต กระอักโลหิตออกมาคำโตด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส พยายามรักษาประคองชีวิตเอาไว้
ม้ามืดในอดีตที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญ มิคาดกลับทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ทำราวกับเขาเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งโดยสิ้นเชิง
การต่อสู้ในระดับนี้ เพียงแค่ลูกหลงบางส่วนก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว
แน่นอนว่าผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะพลังระดับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงที่เหนือกว่าเขาเพียงอย่างเดียว ทว่ายังมีพลังเสริมจากเงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาสูงกว่าเก้าร้อยหลานั่นด้วย
“จ้าวเฟิง เหตุใดเจ้าจึงโจมตีข้าด้วย…”
ตันไถ่หลันเยว่คิดจะฉวยโอกาส พลันรู้สึกตื่นตัวขึ้นด้วยสถานการณ์วิกฤต นางควบคุมสัตว์วิเศษของนางหมายจะเข้าไปภายใน ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าการโจมตีของจ้าวเฟิงจะมุ่งตรงมายังนางเป็นพิเศษ
ทันใดนั้น
กระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงของจ้าวเฟิงก็ได้บีบบังคับให้สองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ต้องล่าถอย ทำให้ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าบาดเจ็บสาหัส ทำให้เหล่าอัจฉริยะจำนวนมากที่หมายจะฉวยชิ้นปลามันต้องตื่นตะลึงล่าถอยห่างออกไป
“จ้าวเฟิงผู้นี้แข็งแกร่งเพียงนี้ได้อย่างไร ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้สองคน อัจฉริยะเซียนมังกรระดับยอดฝีมือชั้นแนวหน้าจำนวนมากต่างต้องสั่นสะท้านไปจากแรงกดดันของเขา”
“สถานการณ์ไม่ดีนัก จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าไร้เทียมทานแล้ว”
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกร ณ ที่นั้น ไม่ว่าจะเข้าร่วมการแย่งชิงหรือไม่ต่างก็ตื่นตะลึง
หยูเทียนฮ่าวที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาสีดำเผยประกายตื่นเต้นแล่นผ่าน จิตต่อสู้ถูกกระตุ้น พลังสายเลือดที่มองไม่เห็นแผ่ซ่าน เจตจำนงพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เพิ่มพลังให้แก่เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเบื้องหลัง
ซินอู๋เหินยืนนิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว สายตาที่มองไปยังจ้าวเฟิงปรากฏความรู้สึกซับซ้อนขึ้นบางประการ
ที่เมืองประกายอรุณในอดีต เขาเคยได้ประลองกับจ้าวเฟิง หลังจากนั้นจึงเกิดความรู้สึกว่าต่อไปเด็กหนุ่มผู้นี้จะไม่ธรรมดา
หลังจากแยกจากกัน ด้วยความมุมานะและขยันเขาก็ได้ทะลวงขั้นเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณอย่างสบายๆ จากนั้นจึงออกเดินทางไกล ออกล่าสัตว์ป่าในป่ากว้าง ใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งข้อผูกมัด ก่อนที่จะมาถึงอาณาจักรก็มีพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ในยามนี้ ซินอู๋เหินคิดว่าตนเองได้ทิ้งห่างเด็กหนุ่มผู้นั้นมาไกลแล้ว ความประทับใจในอดีตได้พร่าเลือนลง
ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิด ไม่ถึงปีสองปีเด็กหนุ่มที่ลอกเลียนรูปแบบของเขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
มันไม่ยากสำหรับซินอู๋เหินที่จะเห็นว่ารูปแบบการต่อสู้ของจ้าวเฟิงได้เลียนแบบแก่นแท้ของความพยายามมหาศาลในการหลอมรวมสรรสร้างวิชาของตนเองขึ้น
“ข้าได้มีชิ้นส่วนความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ของคนรุ่นก่อนอยู่ ค่าใช้จ่ายของพลังนี้คือเวลาที่ต้องทุ่มเทในการทำมันให้สำเร็จ ทว่ากลับถูกเขาก้าวข้ามไปได้ซ้ำๆ”
ซินอู๋เหินปรากฏความหดหู่ขึ้นในใจ
ตั้งแต่เกิด ในสมองของซินอู๋เหินได้มีชิ้นส่วนความทรงจำแปลกประหลาดบางอย่างที่มักจะปรากฏขึ้นในความฝันบ่อยครั้ง
เมื่อเติบโตขึ้น ชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านั้นก็ปรากฏมากขึ้น ราวกับเป็นตัวเองอีกคนหนึ่ง
นี่คือความลับที่เขาปิดบังมาตลอดหลายปี
โดยที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ ไม่มีสายเลือด เขาก็ยังคงสามารถปีนป่ายขึ้นมาสูงเพียงนี้ สามารถเข้าร่วมงานของอัจฉริยะของทวีปได้ ทั้งในยามนี้ยังได้ครอบครองเงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลามา สามารถเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวได้
“ในบรรดาชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านั้นได้เอ่ยถึง ‘มรดกความลับสวรรค์’ ที่เป็นมรดกที่เก่าแก่และลึกลับที่สุดในโลก แม้ว่าจะได้รับเพียงส่วนเล็กๆ ก็สามารถได้รับประโยชน์มากมายมหาศาล นอกจากนั้นรูปแบบของมรดกความลับสวรรค์ยังมีเผ่าพันธุ์วิเศษที่เป็นหนึ่งในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอยู่ด้วย…”
วิสัยทัศน์ประสบการณ์ของซินอู๋เหินเหนือกว่าอัจฉริยะทั้งหมด
งานชุมนุมเซียนมังกรได้มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สามมหามรดกได้ปรากฏตัวขึ้นมรดกแล้วมรดกเล่า ทว่ามรดกความลับสวรรค์ยังคงไม่ปรากฏขึ้น
“มรดกความลับสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นวาสนา ชีวิต การเปลี่ยนแปลง และทรัพย์สมบัติต่างก็มากมายมหาศาล”
ซินอู๋เหินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำขึ้น นึกถึงคำพูดแปลกประหลาดบางอย่าง
เขาราวกับรับรู้บางอย่างจากความคลุมเครือในประโยคนั้นได้
ในยามนี้เอง
จ้าวเฟิงใช้เพียงหนึ่งมือในการต่อสู้กับปิงเว่ยเซียนจื่อ ตันไถ่หลันเยว่ และอัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ
“ดียิ่งนักจ้าวเฟิง ตัวเจ้าไม่เข้าไป ทว่ายังจะมาขัดขวางโอกาสของข้าอีก”
ปิงเว่ยเซียนจื่อเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ฟันขบกันดังกรอด วิชาธาตุน้ำแข็งถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด
อัจฉริยะคนอื่นๆ ไม่ยากที่จะเห็นว่าจ้าวเฟิงจงใจที่จะขัดขวางปิงเว่ยเซียนจื่อ
ตันไถ่หลันเยว่เอ่ยประท้วงอยู่อีกด้าน ส่งเสียงผ่านจิตไปอย่างไม่พอใจ ” จ้าวเฟิง เจ้าจะขัดขวางปิงเว่ยเซียนจื่อก็เรื่องหนึ่ง เหตุใดจึงต้องรวมข้าเข้าไปด้วย”
“หากข้าปล่อยให้เจ้าเข้าไป ปิงเว่ยเซียนจื่อก็จะเข้าไปด้วย”
จ้าวเฟิงเอ่ยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการเบี่ยงเบนความสนใจของสองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ กดดันให้ปิงเว่ยเซียนจื่อกระวนกระวาย ไม่ว่าอย่างไรสตรีผู้นี้ก็ต้องฆ่า จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนทิศทางน้ำ ปล่อยให้นางเข้าไปในมรดกฉวนปิง
สุดท้ายแล้ว คนที่จะเข้าไปในมรดกวนปิงได้ต้องเป็นจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อเท่านั้น
มีเพียงการทำเช่นนี้ เขาจึงจะสามารถกำจัดปิงเว่ยเซียนจื่อได้ในมรดกยู่ไว่
ครืนนน เปรี้ยง
กลุ่มเมฆเหนือลานประลองชางกู่พลันสั่นสะท้านอย่างแปลกประหลาด แม้ดวงตาไม่อาจมองห็น ทว่าประสาทสัมผัสกลับรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังเข้ามาซ้อนทับมิติ เข้าปะทะบดขยี้อย่างไม่หยุดยั้ง
“อันใดกัน?”
“นั่นมัน”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าใจกระตุกวูบ แหงนหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียงกัน
บนอากาศได้ปรากฏเงาบางอย่างลอยคว้าง ปรากฏรูปร่างเป็นหอคอยนาฬิกาสูง มีหุ่นเชิดขนาดยักษ์ที่สะท้านภูเขา เป็นหอดูดาวที่ดูยิ่งใหญ่ลึกลับ ลอยอยู่เหนือเกาะลอยฟ้าที่มีเรือรบโบราณปรากฏอยู่
เงาพร่าเลือนนั้นได้เข้าซ้อนทับ กลิ่นอายเก่าแก่โบราณได้แพร่กระจายไปทั่วลานประลองชางกู่
ภาพของเงาที่ล่องลอยนั้นบ้างก็แตกหักชำรุด ราวกับมาจากช่วงเวลาที่เก่าแก่
ในเวลาเดียวกัน ภาพมรดกจำนวนมาก ณ ที่นั้น เมื่อเงามรดกนั้นปรากฏขึ้นก็พลันสั่นสะท้านเล็กๆ
กระทั่งมรดกที่แข็งแกร่งเช่น ‘มรดกฉวนปิง’ ยังถูกกดดัน เงาที่ปรากฏขึ้นพลันจางหายไปกว่าหนึ่งในสาม
“มรดกความลับสวรรค์”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าตะโกนออกมาพร้อมกัน ตื่นตะลึงจนแทบหาเสียงไม่เจอ “นั่นใช่มรดกความลับสวรรค์หรือไม่?”
เงาของมรดกสวรรค์ที่ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆเพิกเฉยต่อกฎของลานประลองชางกู่ สร้างประตูแสงลึกลับที่ราวกับสามารถข้ามผ่านกาลเวลาได้ขึ้น