Skip to content

King of Gods 384

King Of Gods

บทที่ 384 : เจตนาสังหารของจ้าวเฟิง

เวลาที่มรดกเจ็ดดาบปรากฏขึ้นนั้นค่อนข้างสั้น ‘รับ’ คนไปเพียงสองคนก็จางหายไปจากลานประลองชางกู่

ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างเสียดายของอัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมาก โดยเฉพาะเหล่านักดาบ มันก็ได้มีความโกรธแค้นไม่พอใจเกิดขึ้นพร้อมกัน ความไม่เป็นมิตรมุ่งตรงไปยังร่างของเซี่ยเซียนชาง

เซี่ยเซียนชางยอมแลกอาการบาดเจ็บของตนเอง ทำให้ชางหยูเยว่สามารถครอบครองโอกาสใหญ่อย่างมรดกเจ็ดดาบไปได้ นับได้ว่าเป็นความน่าเสียดายโดยแท้

สีหน้าของเด็กหนุ่มค่อนข้างซีดขาว ทว่ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง มองไปยังผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชมฝั่งสำนักหมื่นดาบ

“ตำแหน่งของสี่มหามรดกนั้นหายากยิ่งนัก มรดกเจ็ดดาบมีสองตำแหน่งนับเป็นเรื่องปกติ”

“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา พิจารณาสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด สร้างทางให้ชางหยูเยว่ ทำให้สำนักหมื่นดาบของข้าสามารถได้ครอบครองหนึ่งในตำแหน่งของมรดกเจ็ดดาบได้ นี่นับว่าเป็นวาสนายิ่งนัก”

“ตำแหน่งที่มากคุณค่านี้ ในอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของสำนักหมื่นดาบของข้าเป็นแน่แท้”

ผู้อาวุโสของสำนักหมื่นดาบเอ่ยชื่นชมอย่างประหลาดใจและยินดี

ในอดีต จอมดาบเย่อู๋เสี่ยได้ครอบครองมรดกเจ็ดดาบ ได้กลายเป็นยอดฝีมือจอมดาบคนแรก กระทั่งผู้นำลัทธิมารจันทราชาดยังรู้สึกหวาดกลัวเขา

แต่ในช่วงเวลาพันปีที่ผ่านมา มรดกเจ็ดดาบได้ปรากฏขึ้นเพียงสองครั้ง ชัดเจนว่านี่นับเป็นโอกาสใหญ่ยิ่งนัก

“ไม่ว่าจะเป็นมรดกใดในสี่มหามรดกก็สามารถให้กำเนิดผู้เป็นตำนานขึ้นได้ สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโชคชะตาของทวีป”

ใบหน้างดงามของราชินีฉวนปิงปรากฎอารมณ์หลากหลาย มองไปยังภาพ ‘มรดกฉวนปิง’ ที่ลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ

หลังจากที่มรดกเจ็ดดาบหายไป มรดกฉวนปิงย่อมกลายเป็นมรดกที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้โดยไม่ต้องสงสัย

“ปิงเว่ย เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้มาให้ได้”

ราชินีฉวนปิงที่เป็นคนระดับผู้สูงศักดิ์รู้สึกคาดหวังและกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

จะอย่างไร ผู้ที่จะเลือกมรดกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ปิงเว่ยเซียนจื่อแค่คนเดียว

ตัวอย่างเช่นจ้าวเฟิงและซินอู๋เหินอาจจะแย่งชิงมรดกฉวนปิงด้วย ภายใต้การเสริมของพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลามา ความแข็งแกร่งของพวกเขาเมื่อเทียบกับปิงเว่ยเซียนจื่อแล้วมีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า

สิ่งที่ราชินีฉวนปิงกำลังกังวลอยู่ในยามนี้คือตอนที่มรดกฉวนปิงเปิดขึ้น จ้าวเฟิงจะเข้ามาขัดขวาง

จะอย่างไร จ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อได้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันจากงานชุมนุมเซียนมังกร เกิดความไม่พอใจซึ่งกันและกันมานานนัก

ในยามนี้

จ้าวเฟิงยืนอยู่บนลานประลองลอยฟ้า เบื้องหลังคือเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาสูงกว่าเก้าร้อยหลา กลิ่นอายอำนาจยิ่งใหญ่รุนแรง นอกจากหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้

“หากไม่มีมรดกที่เหมาะสมกับศาสตร์แห่งวิญญาณของข้า และไม่มีมรดกที่เกี่ยวข้องกับธาตุสายฟ้า ข้าจะเลือก ‘มรดกฉวนปิง’ ”

สายตาของเด็กหนุ่มส่องประกายระริก มองไปยังเงาของ ‘มรดกฉวนปิง’ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ

มรดกเจ็ดดาบนั้นแม้จะแข็งแกร่ง ทว่าห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ไม่ได้เข้าร่วมการแย่งชิง

แน่นอนว่าหาก ‘แฝดไท่หยุน’ ไม่ตายตกไปเสียก่อน พวกเขาย่อมเข้าร่วมในการแย่งชิงนั้น และหากเป็นเช่นนั้นชางหยูเยว่อาจไม่มีโอกาสเข้าไปในมรดกเจ็ดดาบ

ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในยามนี้ไม่มีผู้ใดเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งดาบ อย่างมากก็มีความเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้จะเข้าไปในมรดกเจ็ดดาบก็ยากที่จะได้รับสิ่งใดกลับมา

มีเพียงแค่มรดกที่เหมาะสมที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นมรดกที่แข็งแกร่งที่สุด

ในระดับของห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แน่นอนว่าย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปแย่งชิงด้วย

ทว่ามรดกฉวนปิงนั้นต่างออกไป

ตราบเท่าที่ฝึกฝนวิชาธาตุน้ำแข็งหรือน้ำ กระทั่งมีพลังหยินเป็นธาตุเย็นก็มีโอกาสอย่างมาก แม้แต่ผู้ที่ฝึกฝนในธาตุไฟเองก็ยังสามารถทดลองได้

ในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ นอกจากชื่อเฉิงเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็สามารถเลือกมรดกฉวนปิงนี้ได้

พลังสายเลือดของจ้าวเฟิง หรือกระทั่งดวงตาเทพเจ้าก็มีธาตุน้ำแข็ง มรดกฉวนปิงก็เหมาะสมกับเขาในยามนี้

“มรดกเจ็ดดาบและมรดกฉวนปิงมีความพิเศษเป็นข้อกำหนดของตนเองในระดับหนึ่ง แต่มรดกบางส่วนไม่มี ตัวอย่างเช่นมรดกความลับสวรรค์ที่มีความหลากหลายซับซ้อนวุ่นวาย เหมาะกับอัจฉริยะหลายคน และตัวอย่างเช่นมรดกจันทราชาดที่ไม่มีข้อกำหนดแน่ชัด”

ในใจของจ้าวเฟิงวิเคราะห์อย่างไม่หยุดยั้ง

หากสี่มหามรดกปรากฏขึ้นทั้งหมด เขาย่อมเลือก ‘มรดกความลับสวรรค์’ ก่อน จากนั้นจึงเป็น ‘มรดกฉวนปิง’ ‘มรดกจันทราชาด’ และสุดท้ายจึงเป็น ‘มรดกเจ็ดดาบ’ ที่ไม่เคยนำมาพิจารราเลยแม้แต่น้อย

แต่น่าเสียดายที่มรดกความลับสวรรค์ไม่ได้ปรากฏขึ้น ทั้งมรดกจันทราชาดเองก็ถูกแย่งชิงไปแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเลือกของจ้าวเฟิงจึงเหลือเพียงน้อยนิด

ความจริงแล้ว มรดกที่เขาคาดหวังมากที่สุดคือมรดกที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งวิญญาณที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุด และแข็งแกร่งที่สุด

แต่ผู้ฝึกตนในศาสตร์แห่งวิญญาณนั้นนับเป็นสิ่งหายากยิ่งนัก เมื่อเทียบกับผู้ที่ฝึกฝนกายาแล้วยังนับว่าหายากกว่ามาก

ในทวีปบุปผาครามนี้ สำนักที่ฝึกฝนศาสตร์แห่งวิญญาณอาจนับได้ว่าสูญหายไปแล้ว

เวลาผ่านไปเล็กน้อย

หลังจากที่มรดกเจ็ดดาบหายไป มรดกอีกสองมรดกก็ได้เชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นมรดกใดก็ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการเข่นฆ่าและกลิ่นคาวเลือด สุดท้ายแล้วจึงมีอัจฉริยะเพียงสิบกว่าคนที่สามารถเข้าไปในมรดกยู่ไว่ทั้งสองได้

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งห้ายังคงไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว

ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าเองก็ได้เข้าไปในมรดกแล้วจำนวนหนึ่ง

ในผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ตันไถ่หลันเยว่และจ้าวเฟิงมักจะมองไปยังมรดกฉวนปิงอยู่บ่อยๆ ในขณะที่หยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินมักจะมองหน้ากันเอง

อาการบาดเจ็บของปิงเว่ยเซียนจื่อเพิ่งจะฟื้นฟูขึ้นบ้าง เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าใจก็บีบรัดแน่น รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมาก

เมื่อดูสถานการณ์แล้ว

จ้าวเฟิงและตันไถ่หลันเยว่ สองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้วางแผนที่จะแย่งชิง ‘มรดกฉวนปิง’ ส่วนหยูเทียนฮ่าวและซินอู๋เหินมีโอกาสอยู่ในระดับหนึ่ง

แรงกดดันเกิดขึ้นต่อปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างมหาศาล ลอบสบถอยู่ในใจกับสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้า

ตันไถ่หลันเยว่และจ้าวเฟิงคือศัตรูของนาง กระทั่งเรียกได้ว่าคู่อาฆาต

“จ้าวเฟิง เจ้าก็วางแผนที่จะแย่งชิง ‘มรดกฉวนปิง’ เช่นกันใช่หรือไม่? เช่นนั้นเรามาร่วมมือกันเป็นอย่างไร หากเป็นเช่นนั้นปิงเว่ยเซียนจื่อย่อมไม่มีโอกาส”

ตันไหลันเยว่อยู่ในชุดสีสด เผยเรียวขายาวขาวนวลที่ขยับไหวอย่างงดงามให้เห็นครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาส่องประกายราวผลึก หยิบยื่นข้อเสนอให้แก่จ้าวเฟิง

ในงานชุมนุมเซียนมังกรรอบที่สอง ปิงเว่ยเซียนจื่อและตันไถ่หลันเยว่เองก็ได้เป็นศัตรูกัน

ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร

นัยน์ตาใสกระจ่างส่องประกายราวผลึกของตันไถ่หลันเยว่ส่องประกายระริก เฝ้ารอคำตอบของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว

ด้วยพลังอำนาจในยามนี้ของจ้าวเฟิงนับว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เป็นรองเพียงหยูเทียนฮ่าว ยามที่เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลายังคงสิงอยู่นับว่ามีโอกาสที่จะท้าทายตำแหน่งอันดับหนึ่ง อย่างน้อยก็นับได้ว่าเทียบเท่ากับหยูเทียนฮ่าว

หากสามารถร่วมมือกับจ้าวเฟิงได้ ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ย่อมไม่นับเป็นคู่ต่อสู้ได้ ถือว่าเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานโดยแท้จริง

ในเวลาเดียวกัน ตันไถ่หลันเยว่ก็สามารถที่จะเข้าไปในมรดกฉวนปิงและโจมตีปิงเว่ยเซียนจื่อไปพร้อมๆ กันได้

“ไม่ล่ะ”

น้ำเสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นในจิตใจของตันไถ่หลันเยว่ตรงๆ

ปฏิเสธ?

ตันไถ่หลันเยว่รู้สึกคาดไม่ถึงอย่างมาก บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

ควรรู้ว่า

ในงานชุมนุมเซียนมังกรรอบแรก ปิงเว่ยเซียนจื่อได้ลงมือโจมตีจ้าวเฟิงอย่างโหดเหี้ยม

ในรอบที่สอง ปิงเว่ยเซียนจื่อร่วมมือกับผู้ถูกเลือกคนอื่น หมายกำจัดจ้าวเฟิง

ในรอบที่สามนี้ ปิงเว่ยเซียนจื่อก็ยังคงพยายามฆ่าจ้าวเฟิงอยู่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว

ลงมือหมายชีวิตเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวซ้ำๆ แม้จ้าวเฟิงจะไม่ตอบโต้ แต่โอกาสที่จะเอาชนะปิงเว่ยเซียนจื่อ เด็กหนุ่มไม่ควรที่จะพลาด

จ้าวเฟิง คนผู้นี้ ทั้งๆ ที่เป็นข้อเสนอที่มีแต่ได้ เหตุใดจึงไม่ต้องการกัน อย่าได้บอกข้าว่า… เขาตกหลุมรักปิงเว่ยเซียนจื่อหรือ?

ปากเล็กของตันไถ่หลันเยว่อ้าออกเล็กๆ คิดออกแต่เพียงเหตุผลนี้

“เอาชนะนาง แค่ข้าคนเดียวก็พอ”

น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยเพิ่มขึ้น

ตันไถ่หลันเยว่ชะงักไป แม้ต้องการเอ่ยตอบโต้แต่กลับทำได้เพียงนิ่งอึ้ง

เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มผู้เยือกเย็นที่อยู่ไม่ห่างออกไป เรือนผมสีฟ้าของอีกฝ่ายพริ้วไหวไปกับสายลม ท่าทีสง่างามพร้อมเสียงนุ่มทุ้มทรงเสน่ห์ได้ทำให้หัวใจของตันไถ่หลันเยว่ก็สั่นไหวไปเล็กๆ

“ฮี่ฮี่ จ้าวเฟิงผู้นี้แม้จะเย็นชา ทว่ากลับมีกลิ่นอายของบุรุษเพศอยู่เต็มเปี่ยม ในบรรดาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เขาก็ยังมีอายุใกล้เคียงกับข้า”

ตันไถ่หลันเยว่ฝันหวาน ใบหน้างดงามแดงซ่านขึ้นอย่างหาได้ยาก

นางต่างออกไปจากหยูเทียนฮ่าว ตันไถ่หลันเยว่ที่ถูกนับเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นั้นอยู่ในช่วงวัย 17-18 ปี เป็นวัยที่กำลังผลิบาน ทั้งยังเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรนี้เป็นครั้งแรก

บนที่นั่งผู้ชม ผู้อาวุโสของตระกูลตันไถ่หลายคนในยามนี้ รวมทั้งหญิงชราและสาวงามผู้หนึ่งได้นั่งอยู่

“ดูเหมือนว่าเด็กน้อยหลันเยว่จะรู้สึกหวั่นไหวแล้ว?”

มุมปากของสตรีงดงามยกโค้งขึ้นเป็นสีหน้ายินดี พลังฝึกตนของนางนั้นสูงถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ฝ่ายหญิงชราที่มีพลังฝึกตนสูงถึงระดับของผู้สูงศักดิ์ได้ผงกศีรษะพร้อมเอ่ยขึ้น “จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่ายอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ อายุ และพลังฝึกตนก็ล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับหลันเยว่”

บางทีจ้าวเฟิงที่อยู่บนลานประลองลอยฟ้าอาจจะไม่คาดคิดว่าตัวเขาจะถูกให้ความสำคัญจากตระกูลชนชั้นสูงจำนวนมาก

ไม่เพียงแค่ตระกูลตันไถ่

กระทั่งคนของตระกูลสายเลือดดวงตาทั้งสามยังส่องประกายเจิดจ้า จ้องมองไปยังจ้าวเฟิง

“ผู้ที่มีพลังสายเลือดดวงตาและเหมาะสมที่จะแต่งงาน ผู้อาวุโสสาม ข้าจำได้ว่าท่านมีหลานสาวอยู่”

“ไม่ได้หรอก หลานสาวข้ามีอายุมากกว่าแปดสิบปีแล้ว อีกคนก็อายุเพียงสามขวบปี”

“สามขวบปีนับว่าเยาว์เกินไป หลานสาวของครอบครัวข้าเพิ่งจะอายุครบสิบขวบปี แต่พลังฝึกตนสูงถึงนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พรสวรรค์เองก็ยอดเยี่ยม สามารถลองดูได้”

งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ความสามารถของจ้าวเฟิงนับว่าโดดเด่นเตะตาจนเกินไป เป็นจุดสนใจของคนจำนวนมาก

โดยเฉพาะสายเลือดดวงตาของเขาที่เหนือกว่าสามตระกูลดวงตาไปอย่างน่าอัศจรรย์

สายเลือดที่ทรงพลังเช่นนั้น ตระกูลชนชั้นสูงบางตระกูลย่อมต้องการครอบครอง

ครืนนน

บนลานประลองลอยฟ้า ภาพเงาของวังน้ำแข็งขนาดใหญ่ได้ส่งกลิ่นอายทรงพลังออกมา ทำให้เงามรดกอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

“มรดกฉวนปิงเคลื่อนไหวแล้ว”

อัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากหัวใจเต้นแรงขึ้น เสียงทุกอย่างพลันเงียบงันลงอย่างมาก

เมื่อเห็นว่าภาพของมรดกฉวนปิงได้เริ่มชัดเจนขึ้นด้วยตาของตนเอง

ในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ปิงเว่ยเซียนจื่อและตันไถ่หลันเยว่ รวมทั้งจ้าวเฟิงได้ปรากฏความเคลื่อนไหวขึ้นเล็กๆ

รวมทั้งยอดฝีมือชั้นแนวหน้าอีก 4-5 คนด้วย

“สวรรค์ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้สามคนเข้าร่วมแย่งชิง ‘มรดกฉวนปิง’ พร้อมกัน”

อัจฉริยะเซียนมังกรบางคนเห็นสถานการณ์พลันล่าถอยสร้างระยะห่างอย่างรวดเร็ว

ไม่ช้า

มรดกฉวนปิงได้สร้างประตูผลึกที่ส่องประกายเย็นเยียบขึ้นพร้อมกับบันไดน้ำ

“มรดกฉวนปิงเหมาะสมกับข้าที่สุด”

ปิงเว่ยเซียนจื่อสูดลมหายใจลึก กระตุ้นปราณจิตวิญญาณและพลังสายเลือดขึ้นในเสี้ยววินาที พุ่งตรงไปยังบันไดน้ำ

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเฟิงและตันไถ่หลันเยว่ได้พุ่งตรงไปยังบันไดน้ำพร้อมกัน

“จ้าวเฟิงต้องขัดขวางปิงเว่ยเซียนจื่อเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสามารถฉวยโอกาสเข้าไปในมรดกฉวนปิงได้”

ตันไถ่หลันเยว่รู้สึกยินดีอยู่ในใจ

สามารถเข้าไปในมรดกฉวนปิงพร้อมกับบุรุษที่นางพึงใจได้ นางย่อมรู้สึกยินดี

ทว่า

นางไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงได้วางแผนบางอย่างไว้ในใจแล้ว

“ข้าจะจงใจปล่อยให้ปิงเว่ยเซียนจื่อเข้าไปในมรดกฉวนปิง หลังจากที่เข้าไปในมรดกแล้วข้าจะสามารถฆ่านังผู้หญิงนี่ได้”

นัยน์ตาของจ้าวเฟิงส่องประกายจิตสังหารเย็นเยียบวาบ

ปิงเว่ยเซียนจื่อพยายามฆ่าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนี้ย่อมไม่มีทางล้มเลิกความคิด

แทนที่จะทำเพียงเอาชนะนาง สู้ฆ่านางทิ้ง ทำลายปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังไปเลยเสียดีกว่า

นี่ก็เป็นอีกเหตุผลให้จ้าวเฟิงไม่ร่วมมือกับตันไถ่หลันเยว่

“ในทางกลับกัน ข้าต้องป้องกันไม่ให้ตันไถ่หลันเยว่เข้าไปในมรดกฉวนปิง จะอย่างไรตำแหน่งของมันก็มีจำกัด หากฆ่าปิงเว่ยเซียนจื่อในมรดกย่อมไร้ซึ่งหลักฐาน นอกจากนั้น โอกาสการเสียชีวิตในมรดกยู่ไว่ของอัจฉริยะก็มีมากกว่าห้าส่วน ยิ่งไปกว่านั้น การตายของอัจฉริยะ สำนักเองก็ไม่อาจลงกำลังคนมากในการสืบค้น”

ก่อนที่จ้าวเฟิงจะเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร เด็กหนุ่มก็ได้ยินรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเอ่ยถึงความเสี่ยงของการเข้ามรดกยู่ไว่ก่อนแล้ว

บุปผาเหมันต์อัสนี

จ้าวเฟิงมีความเร็วมากที่สุด เหยียบลงไปบนบันไดน้ำ เริ่มลงมือโจมตี

เปรี้ยง

พลังของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่มาพร้อมกับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาทำให้ฝ่ามือที่จ้าวเฟิงใช้ออกกดดันอัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากใกล้ๆ อย่างไม่อาจเทียบ

“อุก พรวด…”

อัจฉริยะจำนวนมากล่าถอยออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน หลายคนกรีดร้องออกมาพร้อมกับกระอักเลือด เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!