บทที่ 383 : มรดกเจ็ดดาบ
ภาพมรดกที่ปรากฏขึ้นเหนือลานประลองชางกู่ในยามนี้ได้มีมากมายแล้ว
และภาพของมรดกยู่ไว่ในยามนี้ยังปรากฏชัดเจนขึ้น สามารถเห็นม่านหมอกบนยอดเขาสูง ตำหนักราชวังใหญ่โต กระทั่งสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดบางอย่าง
ภาพมรดกนี้ได้ขยายออกสร้างประตูที่ส่องแสงสว่างขึ้นซ้อนทับกับลานประลองชางกู่
หรือจะเจาะจงไปกว่านั้น ประตูบานนั้นได้เปิดขึ้นเหนือลานประลองลอยฟ้า
บนลานประลองลอยฟ้าได้ปรากฏก้อนน้ำที่ส่องแสงจางๆ ออกมาขยายออกกลายเป็นบันไดน้ำจากพื้นดินสู่อากาศ มุ่งตรงไปยัง ‘ท่า’ ของประตูนั้น
จากจุดเริ่มต้นของบันไดน้ำสู่จุดสิ้นสุดจะไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูของมรดกยู่ไว่นั้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทำให้คนที่อยู่ด้านในและด้านนอกรู้สึกตื่นตะลึง
“เกิดอันใดขึ้น มรดกเริ่มเชื่อมต่อแล้วหรือ?”
อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคน รวมทั้งจ้าวเฟิงได้รู้สึกตื่นตะลึงคาดไม่ถึง
การคาดการณ์แต่ดิมนั้นยังต้องมีการประลองระหว่างกันเองเพื่อแย่งชิงอันดับก่อนจึงจะมีการเชื่อมต่อของมรดก
ทว่างานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ได้หลุดออกจากการควบคุม ถูกชี้นำโดยลานประลองชางกู่ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
“มิคาดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้ ‘มรดกความลับสวรรค์’ ยังไม่มาเลย”
ซินอู๋เหินเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กๆ เพ่งมองไปยังชั้นเมฆ
มรดกยู่ไว่เริ่มเชื่อมต่อ แต่ว่า ‘มรดกความลับสวรรค์’ ยังไม่ปรากฏขึ้นเช่นที่คาดหวัง ทำให้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกผิดหวังอย่างชัดเจน
แต่เมื่อเปลี่ยนมุมมองแล้ว งานชุมนุมเซียนมังกรที่ผ่านๆ มา สี่มหามรดกมักจะปรากฏขึ้นเพียงหนึ่ง นับเป็นโอกาสใหญ่หนึ่งในพันปี
ทว่างานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ได้ปรากฏภาพมรดกของมรดกจันทราชาดและมรดกฉวนปิงขึ้นแล้ว นับเป็นสถานการณ์ที่ยากจะพบเจอ แม้ว่ามรดกแรกจะถูกผู้ใดก็ไม่รู้แย่งชิงไปก็ตาม
ในยามนี้
บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากได้เงียบงันลง จับจ้องไปยังประตูของภาพมรดกยู่ไว่นั้น
บันไดน้ำที่ยื่นออกจากลานประลองเชื่อมต่อกับประตูของมรดก
เมื่อมองด้วยตาเปล่า บันไดน้ำนั้นราวกับตั้งอยู่ที่ใจกลางความว่างเปล่า
“นี่คือมรดกเรือนเหนือ ในบรรดาภาพมรดกที่ปรากฏขึ้นที่ผ่านมานับว่าใช้ได้ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับมรดกที่สิบยอดสำนักครอบครองอยู่ยังแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง”
“มรดกความลับสวรรค์ไม่ปรากฏขึ้นนับว่าน่าเศร้าก็จริง ทว่านี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาสุดท้าย ยังยากที่จะสรุปได้”
ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงเอ่ยพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาส่องประกาย
ในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นนี้ เหล่าอัจฉริยะมังกรได้ทำลายสถิติทุกอย่าง ได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมานับไม่ถ้วน
แม้ว่ามรดกความลับสวรรค์จะไม่ปรากฏขึ้น ทว่าเกียรติยศที่สร้างขึ้นอาจนับได้ว่ามหาศาลแล้ว
“เร็ว”
“แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในสี่มหามรดก แต่มรดกใหญ่มักจะมีจำนวนคนที่เข้าไปได้น้อยนิด ย่อมไม่ตกมาถึงพวกเรา”
บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเซียนมังกรบางคนอุทานออกมา เปลี่ยนแปลงท่าทีพุ่งตรงไปยัง ‘มรดกเรือนเหนือ’ อย่างรวดเร็ว
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ยามแรกมีเพียงแค่อัจฉริยะเซียนมังกร 2-3 คนที่เคลื่อนไหว จากนั้นจึงเป็นคนจำนวนมาก
อัจฉริยะที่ไปถึงบันไดน้ำได้พุ่งตรงไปยังประตูมรดกยู่ไว่นั้นอย่างรวดเร็ว
อัจฉริยะเซียนมังกรสองคนได้อ้อมผ่านบันไดน้ำ พุ่งตรงไปยังประตู
ตุบ
อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งสองกระเด็นออกจากประตูแทนที่จะผ่านฟองอากาศที่เหมือนภาพลวงตานั้นไปง่ายๆ ทำได้เพียงนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
จากนั้นอัจฉริยะที่เดินผ่านบันไดน้ำก็ได้เข้าไปในประตู บานประตูส่องแสงสว่างจ้าก่อนที่ร่างของเขาจะจางหายไป
“ต้องผ่านบันไดน้ำก่อน”
เหล่าอัจฉริยะที่ตามมาพลันตระหนักขึ้นได้ พุ่งตรงไปยังบันไดน้ำแย่งชิงอันดับแรก
บันไดน้ำนั้นกว้างเพียงพอให้แค่คนเพียงคนเดียวเดิน ต้องเดินบนนั้นไปจนสุด หลังจากที่ผ่านการ ‘เปลี่ยนแปลง’ และ ‘แก้ไข’ บางอย่างจึงจะสามารถเข้าไปในประตูของมรดกได้
ทันใดนั้น อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนก็ได้เข้าแย่งชิงสะพานที่กว้างเพียงไม้แผ่นหนึ่งนั้น
กระบวนท่าเหมันต์
ดาบสายโลหิตเดือนเก้า
วิชาวิญญาณข้ามเวหา
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรใช้วิชาที่ลึกล้ำ หรือพายุวิชาและวิชาท่าเท้า เป้าหมายคือผ่าน ‘สะพานหนึ่งแผ่นไม้’ ไปยังประตูของมรดก
แน่นอนว่าด้วยบันไดน้ำนั้นมีความกว้างเพียงพอแค่คนคนเดียว ทว่ากลับมีหลายคน กระทั่งอัจฉริยะจำนวนมากที่แข่งขันแย่งชิงกัน มันย่อมสร้างภาพที่รุนแรงโหดร้ายขึ้น
แสงคมดาบ ปราณดาบ และเงาฝ่ามือ สายฟ้าคำราม สายลมพัดหวน กระทั่งเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามายังเผยพลังที่น่าอัศจรรย์ออกมา ครอบคลุมบันไดน้ำใกล้ๆ
“อ๊ากกก”
อัจฉระเซียนมังกรผู้หนึ่งร่างถูกฉีกเป็นชิ้นๆ สิ้นชีพไป อัจฉริยะอีกสองคนบาดเจ็บสาหัสส่งเสียงคำรามในลำคออย่างไม่พอใจ จำต้องล่าถอย
ไร้หัวใจและโหดเหี้ยม
ดวงตาของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านี้แดงก่ำ การแข่งขันยามนี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านับว่าโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก
“รอบสุดท้ายคือการให้เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงมรดก ยังคงไม่มีกฎเกณฑ์ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับฝีมือ”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
แน่นอนว่าการต่อสู้กันระหว่างอัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกหลายคนยังคงมองการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงัน
โดยเฉพาะห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้หรือยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกร เป้าหมายของพวกเขาสูงกว่า หวังที่จะเข้าไปในมรดกที่ยอดเยี่ยมกว่า กระทั่งมรดกในระดับของสี่มหามรดก
หลังจากครึ่งชั่วน้ำชาเดือด
หลังจากที่คนเข้าไปภายในห้าคน ประตูของ ‘มรดกเรือนเหนือ’ ก็พลันหม่นแสงลง เงาของมันพร่าเลือน จางหายไปกับชั้นเมฆ
“ห้าที่? ไม่ถูกต้อง การต่อสู้ของอัจฉริยะเหล่านี้ การคงอยู่ของประตูของมรดกเรือนเหนือต้องใช้พลังที่เท่าเทียมกัน”
ดวงตาของจ้าวเฟิงแม่นยำอย่างมาก
ทุกครั้งที่มีคนเข้าไป บานประตูจะหม่นแสงลงหนึ่งระดับ ความเสถียรของมันจะลดน้อยลง
นอกจากนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ประตูนั้นก็จะยิ่งกินพลังมากขึ้นเท่านั้น
ตำแหน่งที่จำกัดและการเข่นฆ่า จ้าวเฟิงยากที่จะคาดคิดว่าสุดท้ายแล้วอัจฉริยะมากมายเท่าใดที่จะต้องสิ้นชีพ และอัจฉริยะคนใดที่จะได้ครอบครองชัยชนะ
มรดกเรือนเหนือเพียงจางหายไป ภาพมรดกอีกหนึ่งก็ได้สร้างบานประตูขึ้นบนลานประลองลอยฟ้า
หลังจากมีประสบการณ์ก่อนหน้า เหล่าอัจฉริยะที่แข่งขันกันครั้งนี้จึงมากถึง 10-20 คน
เสียงคำรามเข่นฆ่าดังก้องไปทั่ว
เหล่าผู้ที่เข้าร่วมในการแข่งขันยามนี้ บางส่วนได้มีอันดับติดหนึ่งในห้าสิบของอัจฉริยะเซียนมังกร
ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้และเหล่ายอดฝีมือชั้นแนวหน้ายังคงดูสถานการณ์อยู่
ในยามนี้ หลังจากที่คนเข้าไปในมรดกที่สอง 2-3 คน บานประตูก็หม่นแสงไปมากกว่าขึ้น
ในยามนี้ ชั้นเมฆใกล้ๆ ได้ปรากฏเงาร่างบางสิ่งขึ้นทีล่ะส่วน สร้างบรรยากาศรุนแรงดุดัน ราวกับทิ่มแทงกาลเวลา
เหล่าอัจฉริยะจำนวนมากบนลานประลองลอยฟ้ารับรู้ได้ถึงความหนาวเยือกน่าหวาดหวั่น ราวกับถูกดาบนับหมื่นทิ่มแทงหัวใจ
ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าขึ้นมองเงาเหนือศีรษะ มันได้ปรากฏตำหนักดาบสวรรค์ขึ้นจางๆ ทุกที่เต็มไปด้วยประกายแสงคมกริบ บนโลกของเงาที่ล่องลอยนั้นได้เต็มไปด้วยสีสันของคมดาบหลากสีดูงดงามเกินธรรมดา
“นั่นมัน… มรดกเจ็ดดาบ”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าบนแท่นสูงอุทานออกมา เผยสีหน้าตื่นตะลึงและยินดี
มรดกเจ็ดดาบนับเป็นอันดับสองในสี่มหามรดก เป็นรองเพียงมรดกความลับสวรรค์
วินาทีที่มรดกเจ็ดดาบมาถึง กลิ่นอายของศาสตร์แห่งดาบที่คล่องแคล่วแหลมคมก็ได้ตัดผ่านการเชื่อมต่อของอีกมรดกในทันที
ฟุ่บ
ประตูของมรดกนั้นได้หม่นแสงลง จางหายไปจากลานประลองชางกู่
“มรดกเจ็ดดาบเย่อหยิ่งจองหองนัก ตัดเส้นทางสู่อีกมรดกไปเช่นนี้”
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรบนที่แห่งนั้นตื่นตะลึงอยู่ในใจ โลหิตพลันเดือดพล่าน
ฟุ่บ
มรดกเจ็ดดาบเพียงเชื่อมต่อ อัจฉริยะเซียนมังกรกว่า 20-30 คน ส่วนมากเป้นผู้ฝึกฝนศาสตร์แห่งดาบหรือใช้อาวุธประเภทดาบก็พุ่งตรงไปอย่างบ้าคลั่ง
“ฆ่า”
“ให้ข้าไป”
“ไสหัวออกไปจากทางของข้า”
อัจฉริยะเซียนมังกรกว่า 20-30 คนเข้าปะทะกันในที่เดียวกัน สร้างสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น
พลังที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเบื้องหลังเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านี้อย่างน้อยก็มีพลังระดับขั้นผู้วิเศษแท้ ส่วนมากเป็นขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำขึ้นไป
ในที่นี้รวมทั้งเซี่ยเซียนชางและชางหยูเยว่ที่เป็นยอดอัจฉริยะในศาสตร์แห่งดาบด้วย
เปรี้ยง ฟุ่บ
ประกายคมดาบเข้าปะทะกัน ภูเขารอบด้านในระยะหลายลี้ถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผง หากผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปเข้าใกล้ย่อมถูกคมดาบนับหมื่นนั้นหั่นจนบางเท่ากระดาษแผ่นหนึ่ง
“ผู้ที่ฝึกฝนศาสตร์แห่งดาบ การโจมตีนับว่าน่าหวาดกลัวโดยแท้ หากคน 20-30 คนนี้ร่วมมือกันโจมตี กระทั่งผู้ถูกเลือกก็ย่อมต้องพ่ายแพ้”
ในใจจ้าวเฟิงปรากฏความตื่นตะลึงขึ้น
เด็กหนุ่มมองไปยังภาพมรดกเจ็ดดาบที่อยู่ระหว่างชั้นเมฆ อดที่จะคิดขึ้นไม่ได้
ในบรรดาสี่มหามรดก ระดับของมรดกเจ็ดดาบยังนับว่าเหนือกว่ามรดกจันทราชาดและมรดกฉวนปิง
“หากสามารถครอบครองแก่นแท้ของมรดกเจ็ดดาบได้ การโจมตีของดาบย่อมแข็งแกร่งขึ้นด้วย หนึ่งดาบฟาดฟันหมื่นวิชา…”
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ
ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจของเขา หากต้องการที่จะเรียนรู้วิชาดาบในยามนี้ย่อมมีโอกาสสำเร็จ
ทว่าความคิดนั้นก็ได้จางหายไปจากสมองของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“แก่นของข้าคือศาสตร์แห่งวิญญาณ มันสามารถเข้ากับดวงตาเทพเจ้า ส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ แม้ว่าศาสตร์แห่งดาบจะแข็งแกร่ง ทว่ามันสุดโต่งจนเกินไป หากผิดพลาดเพียงนิด การป้องกันตนเองก็นับว่าเลวร้าย”
จ้าวเฟิงได้ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
ในโลกใบนี้มีความสามารถและวิชาทุกรูปแบบ แม้การโจมตีของเจ้าจะแข็งแกร่ง ทว่าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดอ่อนในด้านอื่นๆ ได้
ตัวอย่างเช่นปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียนที่นับเป็นปรปักษ์กับยอดฝีมือในศาสตร์แห่งดาบ การป้องกันแข็งแกร่งยิ่งนัก ปิงเว่ยเซียนจื่อนั้นไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ผู้อื่นเข้าใกล้ก็สามารถแช่แข็งคู่ต่อสู้ได้ มีวิธีการโจมตีหลากหลาย สามารถต่อต้านได้ ชื่อเฉิงเทียนหากใช้อาณาเขตถ่วงศิลา คู่ต่อสู้ย่อมถูกแรงโน้มถ่วงมหาศาลกดทับ กระทั่งไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ ยอดฝีมือในระดับเดียวกัน ในพลังสิบส่วนจะสามารถใช้ออกได้น้อยกว่าสี่หรือห้าส่วนเท่านั้น
ในยามนี้ การต่อสู้แย่งชิงมรดกเจ็ดดาบได้รุ่นแรงอย่างไม่อาจเทียบ
เหล่านักดาบอัจฉริยะทั้งหลายที่เข้าร่วมการแข่งขัน แม้ไม่นับชางหยูเยว่และเซี่ยเซียนชาง คนอื่นๆ ก็ไม่นับว่าอ่อนแอ กระทั่งยังมีนักดาบอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่า
กระทั่งหนึ่งในสามทายาทตระกูลดวงตา ถัวป๋าฉียังเข้าร่วมการแย่งชิงครั้งนี้
“หากสามารถครอบครองมรดกเจ็ดดาบ แก่นแท้ความหมายของศาสตร์แห่งดาบ หลอมรวมเข้ากับเนตรคมสวรรค์ของข้า เมื่อถึงยามนั้น แม้จะเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ก็อาจไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
ดวงตาของถัวป๋าฉีสว่างวาบ คมแสงแหลมคมที่ไม่อาจมองเห็นพุ่งตรงไปเฉือนลำคอของคู่ต่อสู้
ถัวป๋าฉีนับว่าแสดงความเหยียดหยามต่อเหล่ายอดฝีมือในศาสตร์แห่งดาบ เหยียบย่างเข้าไปในมรดกเจ็ดดาบเป็นคนแรก
“ศิษย์น้องหยูเยว่ พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งดาบของเจ้าเหนือกว่า ข้าจะขัดขวางพวกมัน เจ้าเข้าไปก่อนเร็ว”
เซี่ยเซียนชางแทบจะเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ วาดดาบส่งปราณดาบแหลมคมออกไป ราวกับภาพลวงตา ทะลวงผ่านอัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนไป
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับการกลุ้มรุมของอัจฉริยะในศาสตร์แห่งดาบจำนวนมากจนกระอักโลหิตพรวดออกมาทันที
ชางหยูเยว่มองไปยังเซี่ยเซียนชางอย่างซาบซึ้งคราหนึ่ง เข้าไปในประตูของมรดกเจ็ดดาบ
ทว่าในยามนี้ เซี่ยเซียนชางที่คอยป้องกันอยู่ร่างกายและจิตใจได้รับบาดเจ็บ การรุมของเหล่ายอดอัจฉริยะนักดาบเหล่านี้ได้สร้างจิตแห่งดาบจำนวนมากทิ่มแทงเขา
พลังที่ใช้หล่อเลี้ยงมรดกเจ็ดดาบพลันไม่เพียงพอ ปิดไปอย่างรวดเร็ว
“มรดกเจ็ดดาบมีเพียงสองตำแหน่ง”
อัจฉริยะที่เข่นฆ่าแย่งชิงกันอยู่เบื้องล่างรู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจ มองไปยังมรดกเจ็ดดาบ หนึ่งในสี่มหามรดกหายไปอย่างหมดหนทาง