บทที่ 382 : การเชื่อมต่อของมรดก
เปรี้ยง ครืนนน
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาเกาะติดอยู่บนร่างของจ้าวเฟิงเด็กหนุ่มทิ้งร่างลงที่พื้น ความเร็วการเคลื่อนไหวเมื่อครู่อาจกล่าวได้ว่ารวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้บางคนยังไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
ปิงเว่ยเซียนจื่อตกใจจนแทบสิ้นสติไป
เจตจำนงที่เสริมขึ้นมาจากรูปปั้นศิลาครองสวรรค์นั้นทรงพลังไม่อาจเทียบ แม้ว่าจะสิ้นชีพไป เจตจำนงก็ยังคงอยู่ในฟ้าดิน สร้างพลังลึกลับขึ้นหลอมรวมเข้ากับร่างของจ้าวเฟิง
ในภูเขารูปปั้นศิลา ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นศิลาใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของตัวตนอันแข็งแกร่ง เป็นบุคคลสำคัญของตำนาน
ส่วนแรกคือรูปปั้นที่มีความสูงหลายสิบหลา จากนั้นจึงเป็นร้อยหลาและสองถึงสามร้อยหลา
ทว่ารูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นมีความสูงอยู่ที่เจ็ดถึงแปดร้อยหลาเป็นส่วนมาก กระทั่งมีรูปปั้นที่สูงกว่าเก้าร้อยหลา ใกล้เคียงหนึ่งพันหลา พลังของมันก่อนที่จะตายตกย่อมมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดเป็นแน่ แม้จะร่วงหล่นจากฟากฟ้าทว่าก็ยังสามารถข้ามผ่านห้วงเวลามาได้
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเข้มนั้นราวกับเงาของราชาปีศาจขนาดยักษ์ ทำให้เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาจำนวนมากในที่แห่งนั้นต้องสั่นสะท้าน
ตัวอย่างเช่นเงาเทพธิดาหิมะที่เกาะติดอยู่กับร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อที่ร่างสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง พลังเจตจำนงที่ไม่อาจมองเห็นอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
“บัดซบ ไอ้ตัวเลวร้ายนี้กลับ…”
ใบหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อเต็มไปด้วยความอับอาย แหงนศีรษะมองไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าที่เหยียบย่ำร่างของนางอยู่
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจอีกฝ่าย ปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง ภายในได้ปรากฏสำนึกรู้ความเข้าใจขึ้นจำนวนมาก
เจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเหล่านั้นที่เกาะติดกับร่างกายได้มีข้อมูลและพลังบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ แม้ว่าจะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ลึกล้ำกว่ามรดกอัสนีหลายร้อยพันเท่าตัวแล้ว
ที่ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลและพลังที่หลงเหลือเหล่านี้ได้เข้าสู่จิตใจของเหล่าอัจฉริยะโดยตรง แม้จะมีระดับสูงมาก ทว่าก็ยังสามารถทำความเข้าใจได้อย่างผิวเผิน
“เป็นเจตจำนงที่ทรงพลังยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นวิชาหรือเสวียนอ้าว…”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงข้อมูลที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นได้ ในใจรู้สึกตื่นตะลึงอย่างหนัก
ไม่ว่าจะเทียบกับสิ่งใดก็ไม่อาจนับเป็นอันใดได้ พลังและข้อมูลที่หลงเหลืออยู่ของรูปปั้นศิลาครองสวรรค์นี้ไม่เข้ากับธาตุของจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย
ทว่าเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้นก็ยังคงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจิตใจของจ้าวเฟิงได้ พัฒนาขอบเขตจิตวิญญาณของเขา
ในเวลาสั้นๆ
ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด
ในมิติในดวงตาซ้าย
บ่อน้ำเหมันต์สีฟ้าหม่นได้ปรากฏร่องรอยสั่นกระเพื่อม ปรากฏคลื่นแสงส่องสว่างเป็นระรอก เส้นผ่านศูนย์กลางขยายออกเป็น 2.9 หลา
ขนาดของบ่อน้ำเหมันต์นั้นเกี่ยวข้องกับขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง
ในระดับขั้นมนุษย์แท้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งหลา ขั้นผู้วิเศษแท้สามหลา หากเกินกว่าสามหลาอาจอยู่ในระดับของขั้นนายเหนือแท้
จ้าวเฟิงรับรู้ได้จางๆ ทว่าดวงตาเทพเจ้าของตนเองกับกลิ่นอายของเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามานั้นดูคล้ายคลึงกัน บางทีอาจมาจากช่วงเวลาเดียวกัน
“เจ้าตัวเลวร้ายจ้าวเฟิง เจ้าใช้วิธีการต่ำช้า…”
ปิงเว่ยเซียนจื่อใบหน้าแดงซ่าน ฟันขาวขบกันแน่น เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณของตนเอง บัวน้ำแข็งเบื้องหลังส่องแสงสว่างจ้า พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ
จ้าวเฟิงผวาไป บัวน้ำแข็งที่ส่องสว่างนั่นทำให้เขารู้สึกราวกับความรู้สึกทั้งหมดของขาทั้งสองของเขาหายไป
ผัวะ
เท้าหนึ่งของจ้าวเฟิงถีบไปที่ใบหน้างดงามราวหยกของปิงเว่ยเซียนจื่อ เรือนร่างอันงดงามของหญิงสาวกระเด็นลอยออกไปไกลหลายสิบหลาในทันที กระอักเลือดออกมากลางอากาศ
ทันทีที่ปิงเว่ยเซียนจื่อร่วงลงที่พื้น ใบหน้าขาวบริสุทธิ์ราวหยกก็ได้ปรากฏรูปรอยเท้าสีแดงก่ำร้อนฉ่า
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรที่อยู่บนลานประลองลอยฟ้าตื่นตะลึงตัวสั่น
เมื่อเห็นภาพของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ปิงเว่ยเซียนจื่อถูกจ้าวเฟิงเหยียบจนจมดินอย่างไม่อาจต่อต้าน จากนั้นก็ถูกถีบหน้าสวยๆ ของนางโดยที่อีกฝ่ายไม่มีความเสียดายรูปโฉมอันงดงามของนางเลยแม้แต่น้อย
“ทั้งที่ได้รับการสั่งสอนมาจากวังฉวนปิง สตรีผู้นี้กลับพยายามฆ่าข้าซ้ำๆ ทั้งยังพยายามจู่โจมข้า”
เท้าของจ้าวเฟิงคือเส้นความอดทนที่ขาดผึง ถีบร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อกระเด็นออกไป ดวงปรากฏจิตสังหารขึ้นจางๆ
บัวน้ำแข็งที่ส่องสว่างที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณของปิงเว่ยเซียนจื่อเมื่อครู่ได้สร้างแรงคุกคามแก่เขาขึ้นบางส่วน
“ปิงเว่ย อย่าวู่วามเกินไปนัก”
ราชินีฉวนปิงที่อยู่นอกลานประลองรีบเอ่ยเตือนขึ้นอย่างเร่งร้อน
ราชินีฉวนปิงรับรู้ได้ถึงจิตสังหารบนใบหน้าของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นหากไม่ใช่เพราะเป็นคนใจเย็น ปิงเว่ยเซียนจื่อคงไม่ได้เพียงได้รับบาดเจ็บอย่างที่เป็นอยู่ยามนี้
ในยามนี้
สายตาของเหล่าผู้คนที่อยู่ห่างออกไปจับจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิงและเงาครองสวรรค์ที่สูงกว่าเก้าร้อยหลาเบื้องหลังเขา ในสายตาของอัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากมันนับว่าเกินกว่าธรรมดา
ทว่าเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาของอัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ มักจะมีสูงเพียงสิบหลาถึงหนึ่งร้อยหลาเท่านั้น
ร่วมทั้งหยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ยที่เงาเบื้องหลังสูงเพียงสองถึงสามร้อยหลา
หรืออีกนัยหนึ่ง
ผลประโยชน์ที่จ้าวเฟิงได้รับคือการที่มีพลังเพิ่มขึ้นและเหนือกว่าอัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ มาก
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าจ้าวเฟิงในยามนี้สามารถท้าทายอันดับหนึ่งของงานชุมนุมเซียนมังกรได้?”
ผู้ชมบางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
เมื่อกวาดตามองไปทั่วทั้งลานประลองลอยฟ้า กลิ่นอายบนร่างของจ้าวเฟิงมีมากที่สุด วาสนามังกรได้หลอมรวมเข้ากับเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลา ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สร้างแรงกดดันขึ้นครอบคลุมจางๆ
ผู้สูงศักดิ์บางคนบนแท่นสูงบางคนคาดเดาว่าบางทีจ้าวเฟิงอาจจะสั่นคลอนอันดับหนึ่งของหยูเทียนฮ่าวได้
“ยังไม่แน่ งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก จุดประสงค์ของรอบสุดท้ายไม่ใช่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงอันดับกัน”
รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงจมลงในห้วงภวังค์
“จ้าวเฟิง? เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังโดยแท้”
หยูเทียนฮ่าวแย้มยิ้มกว้าง ไม่ชะงักงันแต่กลับเต็มไปด้วยความยินดี
โลหิตในกายของเขาราวกับเดือดพล่าน กระตุ้นจิตต่อสู้ยิ่งใหญ่ไร้ที่ติหลอมรวมเข้ากับเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาสูงกว่าสามร้อยหลาเบื้องหลัง
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาของหยูเทียนฮ่าวแม้ว่าจะด้อยกว่าจ้าวเฟิง ทว่าจิตตั้งมั่นของเขารวมทั้งเจตจำนงนั้นแข็งแกร่ง เหมาะสมและสามารถควบคุมพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลามาได้อย่างมาก
ผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า
เมื่อหยูเทียนฮ่าวเริ่มเคลื่อนไหว อัจฉริยะทุกคนต่างก็ยอมศิโรราบ กระทั่งการยืนยังยากลำบาก
เจตจำนงที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ท่องทะยานขึ้นไปสู่ชั้นเมฆ แรงกดดันครอบคลุมไปทั่วทั้งลานประลองชางกู่ เหนือกว่าจิตแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมเซียนมังกรนับสิบเท่า
เพียงแค่ใช้จิตต่อสู้ที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศก็สามารถทำอันตรายต่อยอดฝีมือชั้นแนวหน้าได้ เหนือกว่าระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
ในยามนั้น ตันไถ่หลันเยว่ ชื่อเฉิงเทียน และปิงเว่ยเซียนจื่อ เหล่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งหลายต่างตื่นตะลึงจนไร้เสียงไป
ไม่มีผู้ใดจะคาดคิดว่าพลังที่แท้จริงของหยูเทียนฮ่าวจะมากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าด้วยเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาได้ทำให้เขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก
ฝ่ามือหนึ่งถูกสับลงตามแนวสายตาของหยูเทียนฮ่าว ราวกับจะกวาดล้างโลก บดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทาง
ไม่มีทางย้อนกลับ ไม่มีหนทางป้องกัน การโจมตีที่แข็งแกร่งไร้คู่ต่อสู้ได้กวาดทุกสิ่งหายไปโดยไร้ซึ่งทางหนีหรือต่อต้าน
เมื่อเผชิญหน้ากับจิตต่อสู้ที่ทรงพลัง จิตใจของจ้าวเฟิงก็สั่นไหวเล็กๆ รู้สึกถึงแรงกดดัน พลังฝ่ามือของอีกฝ่ายยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็ราวกับทุกสิ่งสิ้นสุดแล้ว
“ราชาของผู้ถูกเลือกแห่งยุค เข้ามา”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ว่าเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาครองสวรรค์เบื้องหลังได้มีพลังที่ดูแคลนซึ่งทุกสิ่ง หลอมละลายพลังที่แพร่กระจายมาทางอากาศ ครอบคลุมร่างกายของตัวเขา
ครืนน
ในเวลาเดียวกัน เบื้องหลังของจ้าวเฟิงก็ได้ปรากฏเงาร่างเย็นเยียบและบัลลังก์เหมันต์ขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ เงาร่างเย็นเยียบเบื้องหลังของเด็กหนุ่มได้มีขนาดใหญ่ขึ้น รูปลักษณ์ชัดเจนขึ้น ทั้งศีรษะยังสวมใส่มงกุฎ ในมือถือดาบใหญ่สีหม่น
ชัดเจนว่าหลังจากได้ครอบครองเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามา พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงก็ได้แข็งแกร่งมากขึ้น
มังกรเหมันต์อัสนีพิโรธ
จ้าวเฟิงตวาดเสียงดังลั่น เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหว ฟ้าดินรอบกายปรากฏน้ำแข็งและสายฟ้าอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง เพียงพอที่จะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปได้ในเสี้ยววินาที
สายฟ้าและน้ำแข็งที่อาละวาดอย่างบ้าคลั่งนั้นได้ให้กำเนิดมังกรคลั่งขนาดยักษ์ขึ้น ดูคล้ายคลึงกับมังกรที่เงาเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลานั่งอยู่ ทำให้พลังสายฟ้าและน้ำแข็งระเบิดพลังออกรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า มังกรเหมันต์อัสนีพิโรธ
สองพลังที่น่าพรั่นพรึงที่แทบจะเหยียบเข้าสู่ชายขอบของขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดได้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ประกายสายฟ้าส่องสว่างกระจัดกระจายไปทั่วระยะสี่ห้าลี้
“อ๊ากกกก”
บนลานประลองลอยฟ้าได้ปรากฏเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น อัจฉริยะเซียนมังกรที่โชคร้ายได้ถูกคลื่นกระแทกของสองวิชาที่รุนแรงกวาดผ่าน ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งบนลานประลองลอยฟ้า ฝ่ามือได้สั่นสะท้านไปถึงสรวงสวรรค์ ทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ หวาดผวา หลบเลี่ยงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลานประลองชางกู่ บนที่นั่งผู้ชมได้ปรากฏเสียงตื่นตะลึงขึ้น
หลังจากปะทะกับการโจมตีรุนแรงของหยูเทียนฮ่าว ร่างของจ้าวเฟิงก็ล่าถอยออกไปหลายสิบหลา พยายามกลืนเลือดที่ไหลย้อนขึ้นมาถึงลำคอลงไป
สุดท้ายแล้ว พลังฝึกตนของเขารวมทั้งแง่มุมอื่นๆ ยังมีความแตกต่างกับหยูเทียนฮ่าวอยู่ในระดับหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามามีพลังเหนือกว่า บางทีฝ่ามือนี้เขาคงไม่เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย
ทึ่ง
ร่างของหยูเทียนฮ่าวเหยียดตรงยืนอยู่กลางอากาศ รับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบชาหนึบบนร่าง ไม่อาจที่จะโจมตีได้ต่อเนื่อง
ทันใดนั้น
คนทั้งสองพลันรู้สึกถึงแรงคุกคาม เผชิญหน้ากันห่างออกไป ไม่ลงมือโจมตีเป็นครั้งที่สอง
“จ้าวเฟิงผู้นี้เติบโตขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ สามารถเผชิญหน้ากับหยูเทียนฮ่าวได้แล้ว”
ในใจของโม่เทียนอี้รับรู้ได้ถึงวิกฤต
อัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง สร้างระยะห่างกับจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าว เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ครืนนน เปรี้ยง
ทันใดนั้น เสียงระเบิดแปลกประหลาดที่ตามมาด้วยพลังของเจตจำนงมหาศาลก็ได้ทำลายการเผชิญหน้ากันระหว่างจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวลง
ครื่นน เปรี้ยง
เมื่อมองไปก็เห็นเพียงว่ารูปปั้นศิลาครองสวรรค์ตัวที่เจ็ดได้มอบเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาสูงกว่าเจ็ดร้อยเมตรไปยังร่างของซินอู๋เหิน
“ฮี่ฮี่ มิคาดว่าเจ้านั่นจะยอมมา เช่นนั้นข้าเองก็คงพอได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง”
ในใจของซินอู๋เหินได้ปรากฏเสียงหัวเราะขึ้น
ผู้ที่เกาะติดอยู่เบื้องหลังของเขาคือนกกระเรียนสีม่วงที่ปรากฏม่านหมอกลอยวน เหนือศีรษะปรากฏเมฆาสีม่วงสว่าง ใต้ฝ่าเท้าคือวัวเพลิงขนาดยักษ์
สำเร็จ
ซินอู๋เหินเผยสีหน้ายินดีออกมา พรสวรรค์สายเลือดของเขาธรรมดาสามัญ ยากที่จะเชื่อมต่อกับเจตจำนงของรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ได้
ทว่าเป็นเพราะมีจ้าวเฟิงเป็นตัวอย่าง พยายามเชื่อมต่อไม่หยุด ทำให้สามารถทำได้สำเร็จแม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิด
หลังจากที่ซินอู๋เหินได้ครอบครองพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลาของรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ สถานการณ์บนลานประลองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
กลิ่นอายบนร่างของซินอู๋เหินได้เพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อเทียบกับจ้าวเฟิงและหยูเทียนฮ่าวที่เผชิญหน้ากันห่างออกไปไม่นับว่าด้อยกว่าเท่าใด เมื่อเทียบกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั่วไปกระทั่งแข็งแกร่งกว่า
“การเผชิญหน้ากันของสามฝ่ายหรือ?”
ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงเกิดความสนใจขึ้น
รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงจมลงในห้วงความคิด เอ่ยพึมพำขึ้น “รอบที่สามนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงอันดับ ดูเหมือนกับการฉวยโอกาสเสียมากกว่า ต่อไปจะเกิดอันใดขึ้นกัน?”
ยามที่เขากำลังครุ่นคิด ท้องนภาเหนือลานประลองลอยฟ้าก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
ครืนนนน
ภาพมรดกบางส่วนได้ดูเป็นรูปลักษณ์ชัดเจนขึ้น สร้างประตูที่ส่องแสงสว่างขึ้นบนลานประลองชางกู่
“อันใดกัน มรดกเชื่อมต่อเร็วยิ่งนัก”
“งานชุมนุมเซียนมังกรยังไม่สิ้นสุด ทว่ามรดกยู่ไว่กลับเชื่อมต่อแล้ว”
ลานประลองชางกู่ได้เกิดความวุ่นวายขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว รอบที่สอง ความแข็งแกร่งของวาสนามังกรได้นับเป็นการจัดอันดับแล้ว ดังนั้นรอบนี้จึงไม่ใช่การแย่งชิงอันดับ แต่เป็นการแข่งขันแย่งชิงเข้าไปในมรดก”
รองหัวหน้าสหพันธ์ที่กำลังครุ่นคิดพลันเข้าใจขึ้น