บทที่ 427 : ฆ่าสองคน
ยามที่จ้าวเฟิงและชื่อกุ้ยเข้าต่อต้านสายเลือดดวงตาของกันและกันก็มีกำลังสนับสนุนจากสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้สองคน
รวมแล้วเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สามคน นำโดยชื่อกุ้ย กำลังกลุ้มรุมจ้าวเฟิง
“เจ้าเด็กขั้นผู้วิเศษแท้น่ารำคาญ สามารถตายด้วยน้ำมือของสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนักแล้ว”
เจ้าของคำพูดนั้นคือสตรีในขั้นนายเหนือแท้ผู้หนึ่ง ใบหน้าอ่อนหวานขาวราวหิมะ สวมใส่อาภรณ์งดงามเรียบง่ายอย่างชนชั้นสูง ท่าทีขบขันเยาะเย้ย ไม่สนใจความเป็นไปของโลก
นางเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นนาเยหนือแท้จากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่มาสนับสนุนชื่อกุ้ย นางพบโอกาสที่ยอดเยี่ยมในซากปรักหักพังสือเฉิง ทำให้สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้
“ศิษย์น้องกง อย่าได้ดูแคลนคนผู้นี้ กระทั่งทำให้ชื่อกุ้ยต้องลงมือจัดการด้วยตนเอง ทั้งยังทำให้ศิษย์น้องเย่ให้ความสำคัญอย่างมากย่อมไม่มีทางเป็นคนธรรมดาสามัญได้ ศิษย์พี่หยูลั่วเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความผิดพลาด”
ชายหนุ่มหน้าดำในขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำเอ่ยเตือนอย่างเร่งรีบ
“ศิษย์พี่หยูลั่วเป็นหนึ่งในสามบุรุษหน้าตาดีที่สุดของสำนัก มีทั้งพรสวรรค์และรูปโฉมที่งดงาม ข้าชมชอบเขามานานหลายปีทว่าไม่กล้าเอ่ยปากสารภาพ บัดนี้บรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ นับว่ามีความหวังมากขึ้น… ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าความฝันหลายปีมานี้จะถูกทำลายลงโดยมัน”
ดวงตาของสตรีในชุดเรียบง่ายสูงศักดิ์ปรากฏน้ำตาคลอพร้อมกับที่จิตสังหารได้เข้ามาแทนที่ความเย็นชาก่อนหน้า
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้นางเอ่ยอาสามาช่วยสนับสนุนชื่อกุ้ย
นางจะไม่มีทางพลาดโอกาสทองในการฆ่าจ้าวเฟิงไปเด็ดขาด
“จะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
หางตาของจ้าวเฟิงมองเห็นสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่เข้ามาสนับสนุน
ในยามนี้
สะพานหมอกวิญญาณที่ปรากฏเปลวเพลิงวิญญาณอ่อนจางได้ลามมาครอบคลุมทั่วร่างของจ้าวเฟิงแล้ว
พลังของเปลวเพลิงนั้นสามารถเผาไหม้ดวงวิญญาณและร่างกายได้พร้อมกัน ส่งผลกัดกร่อนดวงวิญญาณในระดับหนึ่ง นับว่ายากจะรับมือ
วิธีการใช้วิชาดวงตาของชื่อกุ้ยได้ทำให้วิสัยทัศน์ของจ้าวเฟิงกว้างไกลยิ่งขึ้น
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ
จ้าวเฟิงย่อมสามารถต่อสู้กับชื่อกุ้ยได้อย่างยาวนาน สามารถเรียนรู้ได้มากมาย
ทว่าในยามนี้ สถานการณ์อยู่ในสภาวะวิกฤต
หอคอยพฤกษาปีศาจสามารถต้านทานได้เพียงหนึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นจ้าวเฟิงจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ ด้วยตนเอง
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า
นัยน์ตาซ้ายสีฟ้าหม่นมัวของจ้าวเฟิงส่องประกายสีเขียวใสวาบขึ้น กลายเป็นเพลิงอัสนี
ฟุ่บ เปรี้ยง
ในเสี้ยววินาที เพลิงอัสนีสีเขียวใสนั้นก็ได้ระเบิดขึ้นบนสะพานหมอกวิญญาณอย่างไร้สัญญาณเตือน
“วิชาดวงตาโจมตีธาตุไฟกับสายฟ้า…”
จิตใจของชื่อกุ้ยสั่นสะท้าน กลิ่นอายรุนแรงกราดเกรี้ยวของเปลวเพลิงสะท้อนตามสะพานหมอกวิญญาณตรงไปยังเนตรมารทมิฬของเขา
ฟุ่บ ครืนนนน
สะพานหมอกวิญญาณที่ประกอบขึ้นด้วยวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนสั่นสะท้านหม่นแสงลง แทบจะจางหายไป
วิญญาณอาฆาตส่วนมากถูกทำลายจนกลายเป็นขี้เถ้าไปด้วยพลังของเพลิงอัสนี ควันดำลอยฟุ้ง
ในวินาทีนั้น ดวงวิญญาณของชื่อกุ้ยก็ราวกับถูกระเบิดด้วยเพลิงอัสนี
ฟุ่บ เปรี้ยง
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้ารอบที่สองของจ้าวเฟิงมาถึง ครั้งนี้มุ่งตรงไปยังชื่อกุ้ย
เปรี้ยะ
สะพานหมอกวิญญาณพลันแตกสลายลง
“เสี้ยววิญญาณ”
บริเวณจุดว่างเปล่าของเนตรมารทมิฬของชื่อกุ้ยพลันปรากฏลำแสงสีดำขึ้นเข้าปะทะกับเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
ลำแสงสีดำนั้นลึกลับยิ่งนัก สามารถจู่โจมได้ทั้งกายเนื้อและดวงวิญญาณ
ฟุ่บ เคร้ง
เพลิงอัสนีที่ส่องสว่างถูกการโจมตีของชื่อกุ้ยทะลวงจนเป็นรู ความแหลมคมลดลงกว่าครึ่ง
ไม่เพียงเท่านั้น
หนึ่งในสามของลำแสงสีดำนั้นยังพุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงตรงๆ ความเร็วของมันนั้นแทบจะเทียบเท่ากับเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าในสภาวะปกติได้ วินาทีที่มันถูกส่งออกไปก็ไปถึงเป้าหมาย แทบจะไม่อาจหลบได้
“อืม ลำแสงสีดำนี่… รวบรวมพลังดวงตาเอาไว้ที่จุดเดียวแล้วส่งมันโจมตีตรงไปยังศัตรูตรงๆ”
การรับรู้ความเร็วของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด
ความเร็วของความคิดของจ้าวเฟิง เมื่อเทียบกับลำแสงสีดำนั้นแล้วยังรวดเร็วกว่าไม่รู้กี่เท่า มันคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่ดวงตาเทพเจ้ามอบให้
ดวงตาเทพเจ้าคัดลอก
ดวงตาซ้ายสีฟ้าเย็นของจ้าวเฟิงพลันส่องสว่างขึ้น
วินาทีนั้น บ่อน้ำเหมันต์สีฟ้าหม่นในมิติก็ราวกับเป็นหุบเหวที่ไร้ที่สิ้นสุด ไหวกระเพื่อมอย่างแปลกประหลาด
ฟุ่บ
ดวงตาซ้ายพลันปรากฏลำแสงเย็นเยียบขึ้น พุ่งออกไปปะทะกับลำแสงสีดำของชื่อกุ้ย
ลำแสงสีดำที่ชื่อกุ้ยส่งออกมาชะงักนิ่งก่อนจะแตกสลายไป
“นี่มันอันใดกัน นั่นมันวิชาของข้าชัดๆ แตกต่างเพียงแค่ธาตุ…”
ชื่อกุ้ยตื่นตะลึงจนหมดสิ้นคำพูด
เขามองไปยัง ‘เสี้ยววิญญาณ’ ที่เขาใช้โจมตีออกไปถูกจ้าวเฟิงใช้วิชาแบบเดียวกันทำลายอย่างหมดหนทาง
เพลิงอัสนีบนร่างของชื่อกุ้ยยังไม่ถูกสลายจนหมด ทั้งลำแสงเย็นเยียบนั้นที่เหลือพลังอีกสองส่วนยังโจมตีซ้ำเข้ามาอีก
ทันใดนั้น
ความเย็นเยียบแปลกประหลาดได้แพร่กระจายไปในอากาศ ทะลวงเข้าสู่ร่างกายและดวงวิญญาณตรงๆ
ชื่อกุ้ยร่างสะท้านเฮือก ทรมานกับความหนาวร้อนที่ปรากฏขึ้นสลับกัน
“ฮี่ฮี่ กระบวนท่านี้อาจนับได้ว่าเป็นเนตรวิญญาณ อาจเรียกว่าลำแสงวิญญาณเหมันต์หรือกระบวนท่าวิญญาณเหมันต์ก็ได้”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม
เนตรวิญญาณเหมันต์นั้นส่วนมากทำได้เพียงกัดกร่อนดวงวิญญาณ แช่แข็งสตินึกคิดของอีกฝ่าย เป็นการโจมตีต่อเนื่อง
ทว่าลำแสงวิญญาณเหมันต์นี้เป็นการใช้พลังดวงตาธาตุน้ำแข็งควบรวมกันโดยตรง ใช้โจมตีกายเนื้อเป็นส่วนมาก
ลำแสงวิญญาณเหมันต์นี้รวดเร็วปรากฏขึ้นในพริบตา เมื่อเทียบกับความเร็วของ ‘เสี้ยววิญญาณ’ ของชื่อกุ้ยแล้วยังรวดเร็วกว่า กระทั่งสามารถป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายได้ทันกาล
“คัดลอกเคล็ดวิชา? สายเลือดดวงตาของเจ้ามัน…”
ชื่อกุ้ยเบิกตามองนิ่งอึ้ง
ในยามนี้ เขากำลังถูกพลังของเพลิงอัสนีและวิญญาณเหมันต์อาละวาดทำลาย ได้รับบาดเจ็บบ้างแล้ว ทั้งความตื่นตะลึงและช่องว่างทำให้เกิดจุดอ่อนขึ้น
เนตรคุกลวงตา
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดขึ้นอีกครั้ง
สถานที่ที่ชื่อกุ้ยอยู่พลันแปรเปลี่ยนไป
เสี้ยววินาทีต่อมา
ชายหนุ่มได้ปรากฏตัวอยู่ในมิติที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ร่างกายถูกโซ่สายฟ้ารัดพันอยู่
“ถูกมิติลวงตานี่กักบังสตินึกคิดไปแล้วหรือ?”
ชื่อกุ้ยชะงักไปเล็กๆ ทว่าไม่หวาดกลัว ชัดเจนว่าเคยพบการโจมตีประเภทนี้มาก่อน
จ้าวเฟิงเหวี่ยงโซ่เหล็กที่เต็มไปด้วยหนามแหลมฟาดลงไปยังร่างของชื่อกุ้ยอย่างโหดเหี้ยม
เขากำลังทรมานจิตใจของชื่อกุ้ยอย่างไม่หยุดยั้ง
ยามที่จิตใจของคนผู้หนึ่งถูกทรมานจนถึงขีดจำกัด หากไม่เหนื่อยล้าจนสลบก็จะจิตใจแตกสลาย
ชื่อกุ้ยย่อมเข้าใจถึงสถานการณ์ของตนเอง
ประเด็นสำคัญคือเขาลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อภายนอกผ่านไปหลายลมหายใจ เขาย่อมร่วงลงที่พื้น กลายเป็นปุ๋ยให้กับหอคอยพฤกษาปีศาจไป
“ระเบิดวิญญาณอาฆาต”
ชื่อกุ้ยขบฟันแน่น บริเวณสีดำบนปลายจมูกของเขาสั่นสะท้าน ส่งพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมา
ในโลกความจริง
สีหน้าของชื่อกุ้ยเต็มไปด้วยความดิ้นรน ร่างส่งพลังวิญญาณออกมามหาศาล สร้างแรงกดดันที่ทำให้ดวงวิญญาณสั่นสะท้านออกมาอย่างอธิบายไม่ได้
ครืนน เปรี้ยง
มิติลวงตาสั่นสะท้าน อากาศสีดำจำนวนมากปะทะเข้ากับเส้นขอบฟ้า
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน ‘มิติลวงตา’ ที่ใช้ดวงตาเทพเจ้าสร้างขึ้นพลันดูดกลืนพลังจำนวนมากขึ้นหลายเท่า
ชื่อกุ้ยต้องการใช้วิธีการรุนแรงในการทะลวงออกจากที่นี่
หากเป็นการต่อสู้ในสถานการณ์ปกติ เมื่อเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเผชิญหน้ากับการต่อต้านรุนแรงเช่นนี้เขาก็ไม่ลนลานด้วยมั่นใจในดวงตาเทพเจ้า
ทว่าครั้งนี้สถานการณ์มันต่างออกไป
ศัตรูของเขาไม่ได้มีเพียงชื่อกุ้ยคนเดียว ทว่ายังมีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อีกเก้าคนด้วย
ไม่ทันสิ้นคำ การสนับสนุนจากสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อีกสองคนก็มาถึง
“อันใดกัน… ชื่อกุ้ยดูเหมือนจะถูกไล่ต้อน”
ชายหนุ่มหน้าดำและสตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
เพียงไม่นาน
การต่อสู้ด้วยสายเลือดดวงตาของสองยอดอัจฉริยะรุนแรงอย่างมาก อัจฉริยะที่อยู่บริเวณนั้นบางคนมองไปด้วยความหวาดกลัวและชื่นชม
ทว่าจ้าวเฟิงกลับพลิกโต๊ะ กลายเป็นฝ่ายไล่ต้อนชื่อกุ้ย
บนร่างของชื่อกุ้ยปรากฏรอยไหม้บางส่วน สีหน้าค่อนข้างเลวร้าย บนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเปียกโชก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดิ้นรน
“เราดูแคลนคนผู้นี้มากเกินไป ชื่อกุ้ยกดดันเขาไว้ไม่ได้…”
สีหน้าบนใบหน้างดงามของเย่หยานหยูเลวร้ายลง
เป็นเรื่องดีที่ยามนี้กำลังสนับสนุนของสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ได้ไปถึงแล้ว
“จ้าวเฟิงและชื่อกุ้ยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ ไม่อาจแบ่งความสนใจมาได้ ยามนี้นับเป็นโอกาสดีที่จะฆ่าเขา”
ใบหน้าขาวราวหิมะของสตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์ปรากฏแววจิตสังหารเย็นเยียบขึ้น
“ในการต่อต้านวิชาดวงตาเราไม่อาจช่วย ทว่าการกำจัดจ้าวเฟิงนับเป็นเรื่องง่าย”
ชายหนุ่มหน้าดำผงกศีรษะ
พวกเขาเป็นคนฉลาด เพียงกวาดตามองก็เห็นจุดสำคัญ
ฟุ่บ ฟุ่บ
สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเคลื่อนไหวเข้าใกล้จ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงยืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ มีหอคอยพฤกษาปีศาจคอยป้องกัน ทว่ามันยังมียอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อีกเจ็ดคน รวมทั้งอัจฉริยะในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจำนวนมากที่ต้องรับมือ คนทั้งสองต้องการลอบผ่านไปเงียบๆ ใช้การโจมตีจากระยะไกลย่อมยังมีโอกาสอยู่มาก
“สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ต้องร่วมมือกันปิดล้อม นับว่าให้เกียรติคนแซ่จ้าวผู้นี้ยิ่งนัก”
เสียงกลั้วหัวเราะของจ้าวเฟิงดังขึ้นพร้อมกับจิตสังหารรุนแรงที่แพร่กระจาย
เด็กหนุ่มละดวงตาเทพเจ้าออก
ในเวลาเดียวกัน ชื่อกุ้ยที่ดิ้นรนจนถึงขีดสุดก็สามารถกลับมายังความจริงได้ด้วยใบหน้าขาวซีด ร่างกายแทบตจะร่วงลงไปถึงพื้นแล้ว
ในยามนี้
ชื่อกุ้ยเห็นยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองเข้าใกล้จ้าวเฟิง
“อย่า!”
ชื่อกุ้ยลอบคิดว่าแย่แล้ว จากการปะทะสายเลือดดวงตาเมื่อครู่ เขาเข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของจ้าวเฟิงดี ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเลย แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปก็ยังยากที่จะต่อต้านวิชาดวงตาของอีกฝ่ายได้
สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่การกระตุ้นการเคลื่อนไหวของ ‘เนตรมารทมิฬ’ ใช้พลังต่อสู้ที่เหลือน้อยกว่าหกในสิบส่วนเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวเฟิงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่า
จ้าวเฟิงเพิกเฉยต่อการโจมตีของเนตรมารทมิฬอย่างสิ้นเชิง มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่กำลังเข้าใกล้
“ไป”
จ้าวเฟิงพลันวาดมือ
ฟุ่บ
ใต้ชั้นดินพลันปรากฏเงาร่างสีดำเงินขึ้น สูงราวๆ 1-2 จ้าง โจมตีไปยังชายหนุ่มหน้าดำและสตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์จากบริเวณใกล้ๆ
“นั่นมันเป็นไปได้อย่างไร”
สายตาของชื่อกุ้ยส่องประกายวาบ ตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด
เงาร่างทั้งสองนั้นคือ ‘หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ’ ที่มีกลิ่นอายแทบจะเทียบเท่ากับขั้นนายเหนือแท้ได้
ทันใดนั้น
สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้พลันตกอยู่ท่ามกลางการโจมตีขนาบของจ้าวเฟิงและหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ
ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากที่สุดคือสตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์ที่รั้งท้าย นางพลันถูกลอบโจมตีโดยหุ่นเชิดศพพิษทั้งสอง
“ช่วยข้าด้วย…”
ใบหน้างดงามของสตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์ขาวซีด นางเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้ไม่นาน เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมของหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองก็พลันตกอยู่ในอันตราย
ฟุ่บ
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองวาดกรงเล็บแหลมคมเต็มไปด้วยพิษร้ายตรงไปยังสตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิง
สตรีในชุดงดงามสูงศักดิ์ลนลาน ปราณจิตวิญญาณที่ใช้ป้องกันถูกฉีกกระชากจนขาดเป็นริ้วภายใต้กรงเล็บแหลมคมของศพทั้งสอง
บนผิวขาวราวหิมะปรากฏรอยเลือดขึ้น
ในวินาทีที่นางติดพิษ ทั่วทั้งร่างพลันเย็นเยียบ ขาก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความตายไปแล้วข้างหนึ่ง
แคว่ก
ร่างงดงามอ่อนหวานของนางถูกหุ่นเชิดศพทั้งสองฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ จากเด็กสาวงดงามผู้หนึ่งก็สิ้นชีวิตลงเช่นนั้น กลายเป็นเพียงกองเนื้อกองหนึ่ง
ภาพที่น่าสะเทือนใจนั้นทำให้ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อีกเจ็ดคนต้องสูดลมหายใจหนาวเยือกเข้าไป
“ศิษย์น้องกง”
ชายหนุ่มหน้าดำจิตใจหนาวเยือก ตื่นตะลึงกับภาพนั้น
ปฏิกิริยาแรกของเขาไม่ใช่การแก้แค้นให้กับผู้เป็นศิษย์น้อง ทว่าเป็นการหลบหนี
น่ากลัวเกินไป
พลังของจ้าวเฟิงถูกปิดบังไว้ลึกล้ำเพียงนี้ กระทั่งวางการลอบโจมตีด้วยหุ่นเชิดศพทั้งสองตัวไว้
“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์”
ทว่าเพียงเขาออกห่างไปได้ไม่กี่ฟุต ความเย็นเยียบแปลกประหลาดก็แพร่กระจายจากดวงวิญญาณออกไปยังร่างกาย
ชายหนุ่มหน้าดำ ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำราวกับถูกแช่แข็ง ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้า เมื่อเทียบกับขั้นมนุษย์แท้แล้วยังช้ากว่า
ฟุ่บ
หุ่นเชิดศพทั้งสองคำรามเสียงต่ำ กระโจนร่างตรงมาพร้อมกับโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ฉีกกระชากร่างของชายหนุ่มหน้าดำจนเป็นเศษเนื้อ
“สอง”
จ้าวเฟิงยังคงเยือกเย็น หลังจากที่ฆ่าสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้แล้ว เด็กหนุ่มจึงควบคุมหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองให้ไปฆ่าชื่อกุ้ยต่อ