Skip to content

King of Gods 7

King Of Gods

บทที่ 7 : ดวงอีกแล้วหรือ?

จ้าวเฟิงหยิบธนูขึ้นอีกครั้งอย่างจนใจ ก่อนจะค่อยๆ รั้งสายธนูช้าๆ

“ดูท่าทางของเจ้าเด็กนั่นสิ มองอย่างไรก็เพียงมือใหม่!”

“ฮึ่ม! หากเขายิงโดนตรงกลางเป้าอีกครั้ง ข้าจะเขียนชื่อข้ากลับหลัง”

เหล่านักธนูที่สนามแห่งนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ยังคงดูถูกเด็กหนุ่มอยู่

ในบรรดากลุ่มคนนั้น จ้าวหยู่เป็นผู้ที่เก่งที่สุด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ทักษะธนูนั้นสามารถพัฒนาได้เพียงการยิงไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อนั้นเจ้าจึงจะสามารถมีทักษะธนูที่ยอดเยี่ยมได้” คำกล่าวของเขาทำให้เหล่านักธนูรอบด้านพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

จ้าวเฟิงหรี่ตาลง แต่ครานี้เด็กหนุ่มไม่ได้ใช้ดวงตาซ้าย หากเขาใช้ดวงตาซ้ายของเขา มันเป็นเรื่องแน่นอนว่าเขาต้องยิงโดนกลางเป้า เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะทำตัวดาษๆ ดังนั้นจึงแทบจะไม่ใช้มัน

ในเวลาเดียวกันนั้น ศรฝนอุกกาบาตที่อยู่ในสมองของเขาก็ได้หลอมรวมเขากับหัวใจ กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ทุกส่วนของร่างกาย กระทั่งลมหายใจก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มิได้รับความใส่ใจจากผู้อื่น ทว่าในฐานะของนักธนูอันมีพรสวรรค์อันหาได้ยาก ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ

ฟุ่บ

คันธนูได้ส่งลูกธนูออกไป พุ่งฝ่าอากาศราวกับอุกกาบาต และปักลงบนเป้า

จุดตาย!

“วงที่10อีกแล้ว!”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวไป

ครานี้เขากระทั่งไม่ใช่ความสามารถของตาซ้ายอย่างเต็มที่ ใช้เพียงวิชาศรฝนอุกกาบาต เขาคิดว่ามันคงยากที่ผลจะออกมาดี ไหนเลยจะคิดว่าจะยังคงยิงเข้าจุดตาย

เฮ้อ!

เด็กหนุ่มส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจ ท่าทางของเขาทำให้นักธนูคนอื่นร่างแข็งเกร็งขึ้น

“จุดตายอีกแล้ว เด็กนั่นคือใครกัน!?”

“เขายิงโดนกลางเป้าสองรอบแล้ว ผู้ใดจะโชคดีได้มากเช่นนี้กัน?”

ใบหน้าของเหล่านักธนูเต็มไปด้วยความสับสนและไม่อยากเชื่อ

“เอาล่ะ ข้ายิงแล้ว เช่นนั้นข้าไปล่ะ” จ้าวเฟิงปัดเสื้อผ้า วางคันธนูลงและเดินออกไป สายตาของเหล่านักธนูมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

“เจ้าหนู! หยุดอยู่ตรงนั้น!” เสียงนั้นดังขึ้นจากเบื้องหลัง จ้าวเฟิงหยุดเท้าของเขาก่อนจะหมุนตัวกลับ

ผู้ที่เรียกเขาคือจ้าวหยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลังของผู้ฝึกตนขั้น 3 ทำให้ศิษย์โดยรอบตัวเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดัน

จ้าวหยู่มีอายุราวๆ 17-18 ปี เมื่อรวมกับความที่เขามีพลัง(ขั้น3แห่งผู้ฝึกตน)มากกว่าและแข็งแกร่งกว่าจ้าวเฟิงก็ยิ่งทำให้เขาดูดุร้ายยิ่งขึ้น

“ข้าได้ยิงธนูแล้ว พวกท่านต้องการอันใดอีก?” แม้ว่าจ้าวหยู่จะแข็งแกร่ง และจ้าวเฟิงไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะชนะอีกฝ่ายได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัว

“ยังเสแสร้งอยู่อีกรึ!”จ้าวหยู่เค้นเสียง

“เจ้าไม่ใช่มือใหม่ และเจ้ามาที่นี่เพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นเท่านั้น!” หลังจากที่ได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น เหล่านักธนูรอบๆ จึงตระหนักได้และพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“มิน่าแปลกใจที่เจ้าเด็กนั่นโชคดียิ่ง เขาเป็นพยัคฆ์ที่แสร้งเป็นสุกร!”

“ฮึ่ม เจ้าเด็กนั่นกล้าหลอกลวงพวกเรา!”

เหล่าศิษย์รอบต่างเชื่อคำของจ้าวหยู่และเริ่มตวาดใส่จ้าวเฟิงด้วยใบหน้ากราดเกรี้ยว

“ใจเย็นก่อนทุกท่าน นี่เป็นครั้งแรกของข้าจริงๆ” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ เขามิใช่พยัคฆ์ที่แสร้งเป็นสุกรอันใด กระทั่งผลลัพธ์นี้เขาก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน

จ้าวหยู่จ้องมองเด็กหนุ่ม ดวงตาเปล่งประกายวาบ

“แม้ว่าข้าจะถูกหลอกด้วยศร 2 ดอกแรก ทว่าในดอกที่ 3… ท่าทางการวางมือของเจ้าเข้าขั้นสูง การที่ยิงถูกจุดตายสองครั้งติดกันนั้น มือใหม่อันใดจะโชคดีเช่นนั้น?”

คำพูดของชายหนุ่มล้วนมีเหตุผล มันมิสำคัญว่าจ้าวเฟิงจะมีปากเป็นร้อย เพราะกระทั่งเด็กหนุ่มเองก็ไม่อาจอธิบายได้

“พวกท่านต้องการอันใด?” ใบหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หากเขามิอาจอธิบายได้ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่ต้องลำบากอธิบาย

“ฮี่ฮี่ฮี่ เจ้าหนู เจ้ามีความกล้าที่จะหลอกลวงพวกข้า ดังนั้นพวกข้าย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”

เหล่าศิษย์โดยรอบดัดกำปั้น วงกลมที่ล้อมรอบเด็กหนุ่มไว้เริ่มหนาตาขึ้นเรื่อยๆ

“พี่หยูเฟ่ย ตรงนั้นคนเยอะยิ่ง เราไปดูกันเถอะ”

ศิษย์หญิงของพรรคผู้หนึ่งถูกดึงดูดด้วยความวุ่นวายนั้น ดรุณีเหล่านี้มีอายุตั้งแต่ 12-16 ปี หนึ่งในนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วง ใบหน้าขาวราวหิมะดูเปราะบาง ทว่าความงดงามของนางนั้นยากจะหาผู้ใดเทียม

“งดงามยิ่ง… นางคือผู้ใดกัน?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ จ้าวเฟิงตกลงในห้วงภวังค์ ดวงตาเหม่อมองไปยังเด็กสาว

“นั่นคืออัจฉริยะคนใหม่ของพรรค ‘จ้าวหยูเฟ่ย’ !”

ศิษย์ของพรรคส่วนมากล้วนแล้วแต่รู้จักเด็กสาว

“นางอายุเพียง14-15ปี ทว่ากลับเข้าสู่ขั้น 3 แห่งผู้ฝึกตนแล้ว นอกจากนี้นางยังใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้น 4 และกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงอีกด้วย”

จ้าวหยูเฟ่ยผู้นี้ไม่เพียงงดงาม ทว่ายังมีกลิ่นอายสดใส ราวกับดอกไม้ กระทั่งดวงตาของจ้าวหยู่ก็เปล่งประกายเมื่อเขามองเห็นเด็กสาว

“นั่นนาง…” จ้าวเฟิงก็เห็นเด็กสาวเช่นกัน จ้าวหยูเฟ่ยนั้นได้เข้ามาเป็นศิษย์ตระกูลสาขาเมื่อครึ่งปีก่อน นางมีระดับการฝึกตนเท่ากับจ้าวเฟิง ทว่านางกลับเด็กกว่า!

มันยากนักที่จะเชื่อว่าผู้ที่มาจากตระกูลสาขา ด้วยทรัพยากรที่นางมี จะสามารถสำเร็จได้ถึงขั้นนั้น

บางทีนี่คือสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะ!

บางสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นกับคนธรรดมา ทว่าสำหรับอัจฉริยะแล้วมันง่ายดายยิ่ง เมื่อจ้าวเฟิงเห็นนางคราก่อนนั้น เขาคิดว่านางงดงาม ยิ่งเมื่ออยู่ในช่วงวัยเดียวกัน มันช่างเป็นเรื่องยากที่จะไม่ถูกดึงดูด ทว่าในตอนนั้น จ้าวเฟิงรู้ถึงความแข็งแกร่งและสถานะของเขา เขาและจ้าวหยูเฟ่ยนั้นนับว่าอยู่กันคนล่ะโลก

เมื่อเห็นว่าจ้าวหยูเฟ่ยเดินมา จ้าวหยู่ก็ทักทายนางอย่างอบอุ่น ส่วนจ้าวเฟิงนั้นทำเพียงยืนนิ่งอย่างใจเย็นและจ้องตรงไปยังเด็กสาวเท่านั้น

หากเป็นเมื่อก่อน และเด็กหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าอัจฉริยะแสนสวยผู้นี้ เขาคงคิดเพียงว่าเขานั้นไม่คู่ควรและทำไม่ได้กระทั่งมองตรงไปในดวงตาของนาง

ทว่าในวันนี้เขามองตรงไปยังนาง

เมื่อเขามองไปยังเด็กสาว ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ขยับโดยไม่รู้ตัว ด้วยดวงตานั้นร่างงดงามของจ้าวหยูเฟ่ยดูชัดเจนกว่าครั้งใด

เพ้ย!

ด้วยนัยน์ตาซ้ายของเขา จ้าวเฟิงนิ่งงันไปเมื่ออาภรณ์ของเด็กสาวนั้นค่อยๆ จางหายไป เขาแทบจะมองเห้นผิวขาวราวหิมะของนางใต้เสื้อผ้าได้อยู่แล้ว…

แน่นอนว่าดวงตาซ้ายของเขานั้นไม่มีความสามารถในการมองทะลุ และแม้มันจะมีก็นับได้ว่าอ่อนแอนัก

มันเป็นเพราะเขามีสุดยอดสายตาที่ทำให้เขาสามารถมองทุกสิ่งได้ชัดเจนขึ้น

ความแตกต่างของสายตาคนทั่วไปจะมองเห็นได้เพียงแค่ไกลๆ ทว่าจ้าวเฟิงกลับสามารถดึงภาพเข้ามาใกล้ได้กระทั่งอยู่ในระยะ ‘ไร้ระยะห่าง’ นั่นจึงเป็นที่มาของความสามารถ ‘มองทะลุ’

บัดนี้ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงถูกใช้อย่างเต็มความสามารถ และภายในมิติสีดำนั้น กลุ่มแสงสีเขียวซีดก็หมุนเร็วขึ้น

ทันใดนั้น เสื้อผ้าของจ้าวหยูเฟ่ยก็หายไปจนหมด กระทั่งร่างกายของนางก็ถูกมองผ่านไป

ดวงตาซ้ายของเขามองเห็นการเคลื่อนไหวของโลหิตอีกฝ่าย และเห็นกระทั่งเงาแสงสีม่วงซีดภายในหลอดเลือดของนาง

“พรสวรรค์ของจ้าวหยูเฟ่ยแข็งแกร่งนัก! นางย่อมได้รับ ‘พลังภายใน’ ในเร็ววันเป็นแน่… ”

จ้าวเฟิงตกใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก

ในด้านของอายุนั้น นางแก่กว่าเขาเพียงหนึ่งขวบปี ทว่านางกลับประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ ที่ทวีปบุปผาคราม ‘ผู้เรียนรู้การฝึกตน’ ส่วนมากจะหยุดอยู่ที่ขั้น 3 เมื่อพวกเขาไม่อาจเข้าใจ ‘พลังภายในของผู้ฝึกตน’ และก้าวเข้าสู่ขั้น 4 ได้

ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยนั้นอายุเพียง14-15 และเกือบจะเข้าใจถึง ‘พลังภายในของผู้ฝึกตน’ แล้ว วันที่นางจะกลายเป็นผู้ฝึกจนที่แท้จริงนั้นย่อมไม่ห่างไกล

“ดวงตาซ้ายของข้าไม่มีความสามารถมองทะลุ แต่ข้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของเลือดและพลังภายในที่ข้าเห็นนั่น”

นัยน์ตาของเด็กหนุ่มส่องประกาย และนี่เป็นสิ่งที่เขาสรุปได้หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

บัดนี้นั้น จุดรวมความสนใจเช่นจ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกบางอย่างและมองไปยังจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มมิได้ปิดบังและปิดความสามารถของดวงตาซ้ายเขาลง

จ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกแปลกๆ อยู่ภายในใจ ความรู้สึกที่ราวกับความลับทุกอย่างที่นางปกปิดไว้ได้ถูกเปิดเผยออกมา

“เกิดอันใดขึ้นที่นี่กัน?” จ้าวหยูเฟ่ยละสายตาก่อนเอ่ยถาม

“น้องหยูเฟ่ย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น…”

จ้าวหยู่และเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ต่างพูดใส่สีตีไข่กับเหตุการณ์เมื่อครู่

“เช่นนั้นเอง”

จ้าวหยูเฟ่ยมองไปยังจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่อาจเอ่ยอธิบายอันใดได้

“เจ้าหนู! เป็นเพราะการกระทำของเข้าก่อนหน้า เจ้าได้ทำให้ผู้คนไม่พอใจ ข้าจะให้โอกาสเจ้าในการขอโทษทุกคน” จ้าวหยู่เอ่ยอย่างยโส

ขอโทษ?

“ข้ามิได้ทำอันใดผิด เหตุใดข้าจึงต้องขอโทษ?” จ้าวเฟิงเดาะลิ้น

“หากเจ้าขอโทษพวกข้า เช่นนั้นพวกข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” ชายหนุ่มเอ่ยราวกับสุภาพบุรุษ แน่นอนว่าเขาย่อมสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ต่อหน้าดรุณีผู้งดงามผู้นี้

“ขอโทษ? ไม่มีทาง” จ้าวเฟิงเอ่ย

“ทุกสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่คิดไปเองทั้งสิ้น”

เมื่อเด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ทุกคน รวมทั้งจ้าวหยูเฟ่ยต่างขมวดคิ้วมุ่น

“จ้าวเฟิงผู้นี้โอหังนัก” บัดนี้เด็กสาวเริ่มเกิดความรู้สึกแย่ๆ ต่อเด็กหนุ่ม

“เจ้ากล่าวได้ดีมิใช่หรือ?” แทนที่จะโกรธ จ้าวหยู่กลับหัวเราะขึ้น

“หากเจ้าไม่ขอโทษ เช่นนั้นอย่าได้คิดว่าจะไปได้” ศิษย์โดยรอบเริ่มขยับเข้าใกล้เด็กหนุ่มมากขึ้น

“ใช้คนมากรุมผู้น้อย?” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเยาะหยันยามมองไปยังจ้าวหยู่

สีหน้าของจ้าวหยู่และพรรคพวกแปรเปลี่ยนไป

เบื้องหน้าของอัจริยะที่งดงามนี้ พวกเขาย่อมต้องแสร้งกระทำตนเป็นสุภาพบุรุษ และการใช้คนมากเอาชนะคนเพียงคนเดียวนั้นไม่อาจนับได้ว่าดูดีได้เลย

“ดี!”

ดวงตาของจ้าวหยู่กลอกไปมา ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะปรากฏขึ้นในใจ

“พวกข้าจะไม่ใช้คนมากทำร้ายคนน้อย… เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษก็ได้ แต่เจ้าต้องเอาชนะข้าในการยิ่งธนูแทน”

“ใช้แล้ว ในเมื่อพวกเจ้าเป็นนักธนูเช่นกัน ก็จงใช้ความแข็งแกร่งของเจ้าพูด”

“น้องหยูเฟ่ยสามารถเป็นผู้ตัดสินได้”

ทุกคนล้วนเห็นด้วยและเริ่มโห่ร้อง

จ้าวหยู่หัวเราะอยู่ภายในใจ นี่นับได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ด้วยการแข่งขันยิงธนูนั้น เขาสามารถทำให้จ้าวเฟิงขอโทษโดยที่ไม่เสียภาพลักษณ์ นอกจากนั้นเขายังสามารถแสดงความสามารถของเขาต่อหน้าจ้าวหยูเฟ่ยและอาจชนะใจนางได้อีกด้วย!

“การแข่งขันยิงธนู?” จ้าวเฟิงรู้สึกจนใจจะกล่าวอันใดเพิ่ม

“ได้ เช่นนั้นก็พูดคุยด้วยความแข็งแกร่งของเราเถอะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!