บทที่ 6 : เลือกวิชา (2)
ได้รับวิชาจำนวนมากเช่นนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับจ้าวเฟิงอย่างมาก เขาไม่อาจเก็บความดีใจนี้ไว้ ในที่สุดจึงแหงนหน้าหัวเราะ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปพักหนึ่งเด็กหนุ่มจึงได้กลับมาสงบดังเดิม
ในเมืองเมฆานั้น วิชาระดับกลางมีค่าราวๆ 200 เหรียญเงิน และเบี้ยเลี้ยงประจำเดือนของเด็กหนุ่มก็เพียงแค่ 10 เหรียญเงินเท่านั้น
แน่นอนว่าเขาไม่อาจนำวิชาของพรรคออกไปขายด้านนอกได้ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษ พวกเขาจะทำลายการฝึกฝนทั้งหมดของเขาและเตะเขาออกจากพรรค
จ้าวเฟิง ‘นำ’ ตำรานับร้อยออกจากหอตำรา ตำราส่วนมากเป็นตำราระดับสูง และทั้งหมดล้วนเคยมีผู้ฝึกฝนมาแล้ว ดังนั้นเขาจะสามารถใช้ประสบการณ์ของพวกเขาเหล่านั้นในเป็นแนวทางได้
ทว่าการเลือกวิชาเพียงไม่กี่วิชาออกมาจากตำรามากมายนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
มันเป็นเรื่องดีที่ตำราเหล่านี้ได้ถูกจดจำลงในสมองของเขาและไม่มีวันลบเลือน เพราะเขาสามารถเปรียบเทียบพวกมันกับตำราอื่นๆ และเลือกวิชาที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดได้
วิชาเพียงหนึ่งวิชาก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้แล้ว ยิ่งเมื่อรวมกันหลายๆ วิชา มันย่อมเพิ่มระดับการฝึกฝนของเขาไปพร้อมกันด้วย
จ้าวเฟิงใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการเลือกวิชา 4 วิชาออกจากตำรานับร้อย วิชาที่เขาเลือกนั้นได้แก่ นภาลอยล่อง หมัดมังกรคลั่ง ลมหายใจผลักวายุ และศรฝนอุกกาบาต
นภาลอยล่องนั้นนับเป็นวิชาที่ระดับสูงที่สุดในวิชาทั้งสี่ และเด็กหนุ่มก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถหาส่วนที่หายไปของมันเจอได้
จากนั้นคือ หมัดมังกรคลั่งและลมหายใจผลักวายุ สองวิชานี้มีความหนุนเนืองกัน
หมัดมังกรคลั่งนั้นเป็นวิชาระดับกลางขั้นสุดยอด และพลังโจมตีจากมันนั้นสูงยิ่ง มันคือการทุ่มพลังทั้งหมดของผู้ฝึกลงในหมัด และพลังทำลายของมันนั้นอาจกล่าวได้ว่าไม่ต่ำกว่าวิชาระดับสูงบางวิชาเลยแม้แต่น้อย
จ้าวเฟิงคาดหวังกับวิชานี้ไว้อย่างมากเพราะมันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายผู้ฝึกได้
การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายนั้นเป็นเรื่องพื้นฐานและคุณสมบัติพื้นฐานในการสร้าง ‘พลังภายใน’
พลังภายในของผู้ฝึกตนนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง
ลมหายใจผลักวายุก็นับเป็นวิชาระดับกลางขั้นสุดยอดอีกหนึ่งวิชา มันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายและเลือด เมื่อฝึกจนเข้าขั้นสูงจะเพิ่มโอกาสในการเข้าใจ ‘พลังภายในของผู้ฝึกตน’
“หมัดมังกรคลั่งกับลมหายใจผลักวายุหนุนเสริมกันได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อใช้ร่วมกันพลังทำลายจะเทียบเท่ากับวิชาระดับสูงเป็นอย่างน้อย และยังเพิ่มโอกาสในการเข้าใจ ‘พลังภายในแห่งผู้ฝึกตน’ อีกด้วย” เด็กหนุ่มรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
สำหรับวิชาสุดท้าย ศรฝนอุกกาบาต เป็นวิชาที่ใกล้เคียงกับวิชาระดับสูง
เหตุใดเขาจึงเลือกวิชาธนูน่ะหรือ?
นั่นเป็นเพราะมันเหมาะสมกับดวงตาซ้ายของเขาอย่างไรเล่า
“หากข้าไม่เรียนรู้วิชาธนู ข้าย่อมต้องรู้สึกผิดกับตาซ้ายของข้าแน่…”
ริมฝีปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
สามารถจินตนาการได้เลยว่า ด้วยความสามารถของด้วยตาซ้ายของเขา เขาย่อมกลายเป็น ‘ยอดนักธนู’ อย่างง่ายดาย และหากเขาฝึกฝนมันจนสมบูรณ์ล่ะก็…
หลังจากที่เลือกวิชาได้เรียบร้อย จ้าวเฟิงจึงเริ่มฝึกฝน
เขาเริ่มต้นด้วยวิชาลมหายใจผลักวายุเมื่อร่างกายและโลหิตที่แข็งแกร่งเป็นเรื่องพื้นฐานในการฝึกฝน ยิ่งเลือดนั้นแข็งแกร่งเท่าใด พลังทำลายของหมัดมังกรคลั่งในระยะประชิดก็ย่อมต้องมากมายขึ้นเท่านั้น
เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาของเขาลงและเข้าสู่เนื้อหาของลมหายใจผลักวายุ
เพียงไม่นาน โลหิตในร่างของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ…
“ง่ายเช่นนี้?” จ้าวเฟิงนิ่งงันไป
จากในเนื้อหานั้น ผู้ฝึกจะสามารถเคลื่อนไหวโลหิตของพวกเขาได้เมื่อเวลาผ่านไปอย่างน้อย 4-5วัน หรือกระทั่ง 10-15วัน
หรือว่าข้าจะเป็นอัจฉริยะ?
จ้าวเฟิงคิดเช่นนั้นไปพักหนึ่ง ก่อนจะคัดค้านตนเอง เพราะหากเขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ แล้ว เขาก็คงไม่ต้องยากลำบากในการทะลวงขั้นสองแห่งผู้ฝึกตนถึงเพียงนั้น
เขาตระหนักว่าหลังจากที่เขาหลอมรวมกับนัยน์ตาซ้ายแล้ว พลังจิตของเขาได้เพิ่มขึ้น… ทั้งปฏิกิริยาตอบโต้ ความรวดเร็วในการเข้าใจ และความเร็วในการคาดคำนวณล้วนเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป
ตอนที่เขาเรียนรู้ลมหายใจวายุนั้น เสียง ‘ตึกตึก’ ได้ดังขึ้นจากดวงตาซ้ายของเขา
ในขณะเดียวกัน ภายในมิติสีทมิฬ แสงสีเขียวซีดกว้างรัศมี 67 เซนติเมตรนั้นก็ได้หมุนเร็วขึ้น
ครึ่งวันหลังจากนั้น
จ้าวเฟิงได้ฝึกฝนลมหายใจวายุจนกระทั่งเข้าสู่ขั้นแรกและร่างกายส่งกลิ่มเหม็นของหยาดเหงื่อออกมา
เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นราวๆ 30%
ข้าทำได้?
จ้าวเฟิงรู้สึกเหลือเชื่อ
ลมหายใจวายุนั้นแบ่งออกเป็น 3 ระดับ และเมื่อฝึกฝนจนกระทั่งเข้าขั้นสุดยอดของระดับ 3 เมื่อนั้นก็จะมีโอกาสในการสำนึกรู้ ‘พลังภายใน’
จากนั้นอีกครึ่งวัน จ้าวเฟิงก็ได้ฝึกฝนลมหายใจวายุจนกระทั่งเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับ 1 จากนั้นความเร็วในการพัฒนาจึงเริ่มเชื่องช้าลง
เขาเปลี่ยนใจและหันไปฝึกหมัดมังกรคลั่งที่มีความสัมพันธ์กับลมหายใจวายุแทน
เช่นที่คาด ด้วยพื้นฐานลมหายใจวายุนั้น เด็กหนุ่มสามารถฝึกฝนหมัดมังกรคลั่งได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ครึ่งวันจ้างเฟิงก็เรียนรู้กระบวนท่าทั้ง 81 ขั้นเริ่มต้นได้ทั้งหมด
หมัดมังกรคลั่งนั้นมีพลังทำลายสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับวิชาลมหายใจวายุ พลังระเบิดของมันนั้นมากมายจนน่าเหลือเชื่อ
เด็กหนุ่มลอบเดาะลิ้น
สิ่งที่น่าตะลึงที่สุดนั้นคือหลังจากที่เขาฝึกฝนหมัดมังกรคลั่ง ลมหายใจวายุก็ได้เลื่อนเข้าสู่ระดับ 2 และกระทั่งมากกว่านั้นไปอีกเล็กน้อย… วิชาทั้งสองได้หนุนเสริมกันอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
มิต้องสงสัยอันใดว่ามันเข้ากันได้!
จ้างเฟิงหัวเราะอยู่ในใจเงียบๆ
4-5 วันถัดไปนั้น เด็กหนุ่มก็ยังคงฝึกฝนหมัดมังกรคลั่งและลมหายใจวายุ วิชาทั้งสองได้ถูกฝึกฝนด้วยความรวดเร็วอันเหลือเชื่อ ในตอนนั้นเองที่ระดับผู้ฝึกตนของจ้าวเฟิงได้ใกล้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสอง
“เพียงแค่อีกไม่นานข้าก็จะเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้น 2… เช่นนั้นขั้น 3 เองก็คงอีกไม่ไกลเท่าใด” เด็กหนุ่มคาดหวัง
วันถัดไป จ้าวเฟิงออกจากบ้านและมุ่งตรงไปยังลานฝึกฝน นั่นเป็นเพราะ ‘นภาลอยล่อง’ และ ‘ศรฝนอุกกาบาต’ ต้องการพื้นที่เปิดในการฝึกฝน
ไม่นานจ้าวเฟิงก็ไปถึงยังมุมหนึ่งของลานฝึกฝน มันเป็นสถานที่สำหรับการฝึกฝนธนู
ฟุ่บ!
ลูกธนูได้ทิ้งภาพติดตาไว้กลางอากาศ และมุ่งตรงไปยังจุดศูนย์กลางของเป้าที่ห่างออกไป 50 เมตร
“ฝีมือการยิงธนูที่ยอดเยี่ยม! มิน่าแปลกใจอันใดที่พี่จ้าวหยู่จะเป็นหนึ่งใน 3 ยอดนักธนูของพรรค”
“ศรนั้นอาจทะลายได้กระทั่งพลังป้องกันของขั้น 3 เลยกระมัง หรืออาจฆ่าสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเลยเทียว” เสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นดังขึ้นจากด้านข้าง
“น่ายำเกรงนัก!” จ้าวเฟิงได้ทันเห็นภาพนั้นและอุทานออกมา
เขารู้ว่าเด็กหนุ่มผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘จ้าวหยู่’ นั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือในการเป็นยอดนักธนูของพรรค
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
จ้าวหยู่รั้งสายธนูและปล่อยลูกธนูออกไป 5-6 ดอกด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด มันปักเรียงกันเป็นวงกลมล้อมรอบจุดศูนย์กลางสีแดง
“ยอด! เยี่ยม!”
เหล่าศิษย์โดยรอบเริ่มร้องชื่นชม
จ้าวเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจต่อเพราะเขารู้สึกว่าหากเขาได้ลอง เขาเองก็เป็นยอดนักธนูได้เช่นกัน เขาเดินไปยังที่ว่างและสุ่มหยิบคันศรมา จากนั้นจึงหรี่ตาลงในขณะที่เริ่มเล็ง
ในตอนที่เขาได้เลือกคันศรนั้น ศิษย์โดยรอบต่างก็ให้ความสนใจเขา
“ดูสิ… ผู้ใดกัน? เขาดูเป็นมือใหม่”
ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขณะมองด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ฮี่ฮี่ เด็กนั่นชื่อจ้าวเฟิง มาจากตระกูลสาขาเมื่อครึ่งปีก่อน ไม่นานมานี้ข้าได้ข่าวว่าเขาสร้างความเคืองใจให้กับจ้าวยี่จางที่ครองอันดับ 3 ในบรรดาศิษย์สายนอก ข้ายังได้ยินมาอีกว่ากระทั่งสตรีของเขาก็ทิ้งเขาไปแล้วเช่นกัน…” นั่นเป็นความคิดเห็นของคนผู้หนึ่งที่จำเด็กหนุ่มได้
“ศิษย์ตระกูลสาขา? เช่นนั้นลองมาพนันกันดีหรือไม่ว่าเขาจะยิงถูกเป้า ณ วงแหวนใด” ศิษย์บางคนมองจ้าวเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม กระทั่งยอดนักธนู ‘จ้าวหยู่’ ก็ถูกรบกวนด้วยเรื่องนี้
“ทักษะธนูนั้นต้องการทั้งพรสวรรค์และความมั่นคง มันมิใช่สิ่งที่ผู้ใดอยากเรียนรู้แล้วจะเรียนรู้ได้”
จ้าวหยู่เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งขณะชายตามองจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มไม่ได้ใส่ใจกับผู้คนเหล่านี้ เขาใช้ดวงตาซ้ายเล็กน้อย จากนั้นเป้าที่อยู่ห่างไปกว่า 50 เมตรก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ …
ฟุ่บ
สายธนูสั่นระริกขณะที่ศรนั้นพุ่งผ่าอากาศกระทั่งเกือบถึงเป้า ก่อนที่มันจะร่วงลงที่พื้น
หากมันลอยอีกนิด…
จ้าวเฟิงเหงื่อไหลโชกเมื่อนี่นับเป็นคราแรกที่เขาใช้ธนู
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ศิษย์ที่อยู่โดยรอบแหงนหน้าหัวเราะ
อีกครั้ง
จ้าวเฟิงยังคงเยือกเย็น การพลาดในครั้งแรกนั้นนับเป็นเรื่องธรรมดา เขาใช้แรงมากขึ้นอีกนิดและใช้มันรวมเข้ากับวิชาศรฝนอุกกาบาตที่ฝังอยู่ในสมอง
ฟุ่บ
ศรดอกที่สองพุ่งตรงไปยังเป้าและห่างจากจุดกลางเพียง 1 วงแหวนเท่านั้น
วงแหวนที่ 9!
ทั้งสนามกลับกลายเป็นเงียบงันไป ผู้ที่เคยหัวเราะล้วนมีใบหน้าที่แข็งค้าง กระทั่งคิ้วของจ้าวหยู่ยังขมวดคิ้วหากัน
วงแหวนที่ 9 นั้นนับว่าใกล้เคียงกับจุดศูนย์กลางนัก ในเป้า 50 เมตรนั้น การที่ยิงได้แม่นยำถึงเพียงนี้นับว่าดีแล้วสำหรับนักธนุเก่าบางคน
“ดวง! มันต้องเป็นดวงแน่ๆ!”
“กล่าวถูกต้อง! ผู้ที่เพิ่งเริ่มไม่มีทางแม่นยำถึงเพียงนี้ ศรแรกของเขาไม่แม้กระทั่งโดนเป้าเสียด้วยซ้ำ” เหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวคนอื่นเริ่มหัวเราะอีกครั้ง ดวงตาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่ม
ทว่าเพียงแค่ก่อนหน้าที่พวกเขาจะกล่าวจบ ศรดอกที่ 3 ก็ได้ถูกส่งฝ่าอากาศไปแล้ว
ฟุ่บ
ลูกธนูพุ่งไปราวสายฟ้าและปักลงที่เป้า
ปึก!
จุดตาย!
ทั้งสนามเงียบลงอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งจ้าวหยู่ก็ตกตะลึง พวกเขาทุกคนล้วนมีความสับสนประทับบนใบหน้าขณะที่ยืนแข็งค้าง
“ดวงข้าไม่นับว่าเลว”
จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มเล็ก ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอีกครั้งเมื่อค้นพบว่าตนเองมีพรสวรรค์ด้านธนู
“ดวง? เจ้าหมอนั่นเป็นอันใด?” สีหน้าแปลกประหลาดประการหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่านักธนูส่วนมาก
ไม่ว่าจะเป็นนักธนูคนใดก็ล้วนต้องมีจุดเริ่มต้น ทว่านี่เป็นคราแรกที่เห็นจุดเริ่มต้นของผู้อื่นที่เต็มไปด้วยดวงเช่นนี้
“เจ้าหนู! ยิงอีกครั้ง!” ศิษย์จำนวนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่พึงใจ
“ใช่! ยิงอีกครั้งสิ!”
พวกเขาส่วนมากมีความระทึกบนใบหน้าและเริ่มร้องตะโกน
จ้าวเฟิงอยากจะกลับ แต่ดูเหมือนคนเหล่านี้จะไม่ยินดีให้เขาทำเช่นนั้น ศิษย์จำนวนหนึ่งอยู่ในขั้น 3 แห่งผู้ฝึกตน และส่วนมากล้วนมีอายุมากกว่าเขา
“หากต้องการเช่นนั้น”
จ้างเฟิงยักไหล่แล้วจึงหยิบธนูขึ้นอีกครั้ง