Skip to content

King of Gods 80

King Of Gods

บทที่ 80 : การต่อรองที่ดี

“วิชาอรรธเซียน เคล็ดลมหายใจหวน!” เป่ยโม่ยฟาดตำราลงบนโต๊ะ

วิชาอรรธเซียนอีกวิชา ทั้งยังเป็นเคล็ดพลังภายในด้วย!

จ้าวเฟิงหัวเราะอยู่ในใจ เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ นี้ โดยไม่ต้องใช้พลังใดๆ เขาได้รับวิชาเคลื่อนไหวระดับอรรธเซียน และบัดนี้ เขาได้อันที่เป็นเคล็ดพลังภายใน วิชาทั้งสองนั้นมีประโยชน์สำหรับเด็กหนุ่มเป็นเพราะว่าย่างก้าวเสี้ยวพริบตาของเขานั้นเป็นวิชาระดับสูง กระทั่งแม้เขาจะมีความช่วยเหลือจากเคล็ดลมหายใจตัดอากาศ มันก็เทียบได้เพียงวิชาระดับสุดยอดเท่านั้น

สำหรับเคล็ดพลังภายในนั้น จ้าวเฟิงมีวิชานภาลอยล่องพร้อมด้วยความช่วยเหลือจากเคล็ดลมหายใจตัดอากาศ มันก็เทียบได้กับวิชาขั้นอรรธเซียน แต่อันที่เป่ยโม่ยนำออกมานั้นเป็นวิชาอรรธเซียนโดยตัวมันเองอยู่แล้ว

“นี่เป็นวิชาที่ข้าเอามาจากผู้ฝึกตนขั้นเก้าที่ข้าเพิ่งจัดการไป กระนั้นข้าก็ยังไม่ได้อ่านมัน หากเจ้ายังคงจดจำมันได้ในเวลาสั้นๆ เช่นแต่ก่อน เช่นนั้นเจ้าก็ชนะ” เป่ยโม่ยเอ่ย

จัดการผู้ฝึกตนขั้นเก้า?

จ้าวเฟิงตะลึงพร้อมจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์เบื้องหน้า

เขาแข็งแกร่งเพียงใดกัน?

สิ่งที่แปลกนั้นคือทั้งองครักษ์สามและหนานกงฟั่นล้วนไม่สงสัยอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทว่าเพียงเล็กน้อยและบางเบา จ้าวเฟิงเห็นความอิจฉาเคลือบอยู่บนแววตาของหนานกงฟั่น ชัดเจนว่าแม้พวกเขาจะมีอาจารย์คนเดียวกัน ทั้งองครักษ์สามและหนานกงฟั่นล้วนอิจฉาพรสวรรค์ของเป่ยโม่ย

บัดนี้ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถหาใครบางคนที่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มได้ในด้านหนึ่ง พวกเขาจึงมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

“อันใดกัน? เจ้ากลัวหรือ?”

รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเป่ยโม่ย เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดในตำหนักกว่านจวินที่สามารถเอาชนะเขาได้ในด้านของความทรงจำ เขามั่นใจว่าจ้าวเฟิงได้ร่วมมือกับองครักษ์สามเพื่อเอาชนะเขา

“แน่นอน” จ้าวเฟิงหัวเราะอยู่ในใจ

บางทีวิชาอรรธเทพอาจไม่นับว่าล้ำค่าสำหรับองครักษ์สามและเป่ยโม่ยเมื่อพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน ทว่ามันล้ำค่าสำหรับจ้าวเฟิง

หลังจากที่เอ่ยตกลง เด็กหนุ่มพลันอ่านรายละเอียดภายในตำราทันที

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ในขณะที่จ้าวเฟิงพลิกหน้ากระดาษ แสงสีเขียวซีดก็ปรากฏบนดวงตาซ้ายของเขา ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจเมื่อกลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นเหมือนเช่นกลิ่นอายของร่างเขา

สิบลมหายใจต่อมา

ปั่ก!

จ้าวเฟิงโยนตำรากลับขึ้นไปบนโต๊ะก่อนพ่นลมหายใจออก

“ทดสอบข้า”

“ให้ข้าทำ”

ความประหลาดใจและสงสัยพุ่งขึ้นในดวงตาของเป่ยโม่ย ดังนั้นแล้วเขาจึงหยิบตำราไปและเลือกถามจากบางส่วน

จ้าวเฟิงเอ่ยตอบในทันทีโดยไร้ซึ่งความลังเล และตอบคำถามทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ

“ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องเป่ย เจ้าแพ้แล้ว!” หนานกงฟั่นไม่อาจอธิบายความยินดีในหัวใจของเขาได้

“ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเป่ยจะสามารถพ่ายแพ้ได้เช่นกัน”

ความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององครักษ์สามเมื่อจ้าวเฟิงนั้นเป็นคนของกองพันองครักษ์ฟ้าซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ทว่าผู้ที่มีความสุขที่สุดนั้นคือตัวจ้าวเฟิงเอง เด็กหนุ่มได้รับวิชาอรรธเซียนมาสองวิชาโดยที่ไม่ต้องเสียพลังงานแม้แต่นิด สถานที่ใดอีกเล่าที่เขาจะพบสิ่งเช่นนี้?

มีเพียงเป่ยโม่ยที่ใบหน้าถมึงทึง

อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปี และไม่เคยได้รับคำติเตียนมาก่อน จ้าวเฟิงกระทั่งมองเห็นประกายแสงเย็นวาบในแววตาของอีกฝ่าย ชัดเจนว่าเด็กหนุ่มได้สร้างรอยแผลไว้ในใจของเขาแล้ว

“คุ้มค่าหรือไม่กับการหมางใจกับสุดยอดอัจฉริยะเพียงเพื่อวิชาอรรธเซียนสองวิชา?” จ้าวเฟิงจมลึกในห้วงภวังค์

มีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกสิ่งล้วนมีราคาของมัน

“จดจำได้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้าใจได้ ข้าไปล่ะ” เป่ยโม่ยลุกขึ้นยืนก่อนจะจากไปด้วยตนเอง

หนานกงฟั่นและองครักษ์สามสบตากัน พวกเขามีความสุขที่เห็นเป่ยโม่ยพ่ายแพ้ จ้าวเฟิงลุกขึ้นจากนั้นจึงกลับไปยังห้องไม้ของเขา

เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลง เคล็ดลมหายใจหวนและย่างก้าวหมอกผันแปรปรากฏขึ้นในสมอง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่เด็กหนุ่มจ้องมองไปยังวิชาทั้งสอง นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสวิชาอรรธเซียน

เขาเริ่มต้นจากเคล็ดลมหายใจหวนซึ่งเป็นเคล็ดพลังภายใน ยิ่งพลังภายในลึกล้ำเพียงใด มันก็ยิ่งซับซ้อน ยากที่จะเรียนรู้และฝึกฝน ทั้งยังอันตรายที่เพียงแค่ความผิดพลาดเล็กๆ ก็อาจจบลงด้วยความพังพินาศ ทว่าสำหรับจ้าวเฟิงนั้น มันง่ายดายกว่านักเพราะดวงตาซ้ายของเขา เมื่อเขาเปิดใช้ความสามารถของดวงตาซ้ายในคราวนี้กลับเกิดความร้อนแปลกประหลาดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา

จ้าวเฟิงเห็นได้ถึงการไหลเวียนโลหิตและพลังภายในในร่างของเขา พลังนี้คล้ายคลึงกับ ‘การมองเห็นจากภายใน’ ในตำนานซึ่งสามารถได้รับยามที่อยู่ที่ขั้นสุดยอดของขั้นเก้าเท่านั้น ทว่าการมองเห็นของเขานั้นกระทั่งชัดเจนกว่า

ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จ้าวเฟิงก็ได้เข้าสู่ขั้นพื้นฐานของเคล็ดลมหายใจหวน กระทั่งเป่ยโม่ยก็ยังต้องตะลึงหากเขาเห็นมัน

เคล็ดลมหายใจหวน: ควบรวมพลังภายในด้วยคุณภาพที่สูงที่สุดเพื่อสร้างพลังภายในที่แข็งแกร่งกว่า เคล็ดนี้ทำให้ผู้ฝึกมีปริมาณพลังภายในมากกว่าปกติ

“เคล็ดพลังภายในนี่นับว่าแข็งแกร่งโดยแท้!” จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าเสียงของเขาสั่นเล็กๆ

ข้อได้เปรียบของเคล็ดลมหายใจหวนนั้นคือการที่พลังภายในควบรวมกันนั้น พลังภายในอีกชนิดที่สูงคุณภาพกว่าแต่ปริมาณน้อยกว่าจะถูกสร้างขึ้น ดังนั้นแล้วผู้ฝึกจะสามารถกักเก็บได้มากขึ้นกว่าเดิม

ครึ่งวันต่อมา

จ้าวเฟิงได้ควบรวมพลังภายในลมหายใจหวนจำนวนหนึ่งได้ และพลังของมันนั้นเหนือกว่าเคล็ดลมหายใจตัดอากาศของเขาได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่น่าตื่นตะลึงมากที่สุดนั้นคือพลังภายในลมหายใจหวนนั้นสามารถสลายพลังภายในของผู้อื่นได้ พลังภายในจากเคล็ดลมหายใจตัดอากาศแต่ดั้งเดิมของจ้าวเฟิงถูกกลืนกินและเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไป พลังภายในลมหายใจหวนก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

หนึ่งวันหนึ่งคืนต่อมา

พลังภายในแต่เดิมทั้งหมดของจ้าวเฟิงถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังภายในลมหายใจหวน พลังภายในใหม่นี้สร้างชั้นสีเขียวขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนกระทั่งเด็กหนุ่มอดถอดถอนใจไม่ได้

“พลังภายในลมหายใจหวนของข้าดูดกลืนพลังภายในอื่นและแปลงมันให้เป็นของข้าเอง… ดังนั้นแล้วคุณสมบัติของมันจึงเหมือนเดิม…”

จ้าวเฟิงพบความสามารถนี้และรู้สึกตื่นเต้นอย่างหนัก ด้วยทางนี้ พลังภายในลมหายใจหวนของเขาสามารถใช้ร่วมกับวิชานภาลอยล่อง และแม้ผลลัพธ์อาจมีเพียงแปดถึงเก้าในสิบส่วนของแต่ก่อน มันกลับมีคุณภาพและปริมาณมากกว่ากันนัก

หลังจากฝึกฝนเคล็ดลมหายใจหวนไปบางส่วน จ้าวเฟิงก็พบว่าพลังภายในของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเหล่ยเฮาอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง และนี่เป็นเพียงแค่เข้าเพิ่งเริ่มฝึกมัน

จากนั้นเขาจึงเริ่มเรียนรู้ย่างก้าวหมอกผันแปรด้านนอก วิชาอรรธเซียนนี้นับว่าคล้ายคลึงกับย่างก้าวเสี้ยวพริบตาของเขานัก

ย่างก้าวหมอกผันแปร: เบาบางราวสายหมอก เมื่อฝึกฝนจนเข้าขั้นต่ำสามารถเคลื่อนไหวโดยไร้เสียงได้

เป็นเพราะย่างก้าวเสี้ยวพริบตาของเขาได้เข้าสู่ขั้นหลอมรวม เด็กหนุ่มจึงเข้าขั้นพื้นฐานของย่างก้าวหมอกผันแปรได้อย่างง่ายดาย แต่แม้จ้าวเฟิงจะต้องการเข้าสู่ขั้นต่ำ มันก็ยังเป็นเรื่องยาก

เด็กหนุ่มฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหลายวัน ทว่าเขาก็ยังไม่อาจเข้าสู่ขั้นต่ำได้ ในความยากเช่นนี้ เด็กหนุ่มพลันเห็นกระบวนท่าลมเคลื่อนในสายตา

กระบวนท่าลมเคลื่อนนั้นเป็นวิชาเซียนสายสนับสนุน และเมื่อเขาใช้ร่วมกับย่างก้าวหมอกผันแปร เขาก็ราวจะเข้าใจบางสิ่ง

ครึ่งนาทีต่อมา

จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาของเขาออก เขาได้ฝึกฝนย่างก้าวหมอกผันแปรอีกครั้งและพบว่าเขาได้เข้าสู่ขั้นต่ำแล้ว หลังจากเข้าสู่ขั้นต่ำ มันก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดก่อนจะเชื่องช้าลงเมื่อใกล้เข้าสู่ขั้นสูง ในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้เข้าใจกระบวนท่าลมเคลื่อนมากขึ้นเช่นกัน

“หืมมม เกือบจะถึงเวลาแล้ว” จ้าวเฟิงหยุดฝึกฝน

จนถึงบัดนี้ เขามีวิชาหลักๆ อยู่จำนวนหนึ่ง

วิชาเซียน วิชากำแพงเงิน

วิชาอรรธเซียน เคล็ดลมหายใจหวน ย่างก้าวหมอกผันแปร นภาลอยล่อง

วิชาระดับสุดยอด ดรรชนีดารา (พลังไม่ด้อยไปกว่าวิชาอรรธเซียน)

นอกจากวิชาเหล่านี้ เขายังมีวิชาศรเนตรซ้ายแห่งเทพเจ้าซึ่งไม่อาจจัดอันดับได้ จ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะรู้ว่าบัดนี้เขาแข็งแกร่งเพียงใดแล้ว

“หากเรากลับไปยังเมืองประกายอรุณในยามนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเทียบเทียมข้าได้” จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างจนใจ

แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการกลับไปที่เมืองประกายอรุณในตอนนี้ ในนครหลวงแห่งนี้ มีอัจฉริยะมากมายที่อยู่ในรุ่นเดียวกับเขาและเทียบเท่ากับเขาได้ หากไม่เช่นนั้นก็แข็งแกร่งกว่า

เป่ยโม่ยผู้นั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นแปดแล้ว และเขาได้ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นเก้าไปแล้ว การอยู่ที่นี่จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงการแข่งขันและแรงกดดันที่ช่วยกระตุ้นความสามารถแฝงของเขา

เด็กหนุ่มเรียนรู้วิชาจำนวนหนึ่งก่อนจะออกจากห้อง ก่อนพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในบรรดาสิบองครักษ์ฟ้า

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมืองกว่านจวินจะออกจากการฝึกตนในอีกไม่กี่วัน ดังนั้นแล้วทุกคนจึงพยายามกลายเป็นหนึ่งในสิบองครักษ์ฟ้า”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฮวงชี่ก็หดหู่เล็กๆ อัจฉริยะในกองพันองครักษ์ฟ้านั้นมีมากมายเกินไป และภายใต้การแข่งขันนี้ทำให้พวกเขาทุกคนล้วนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ฮวงชี่นั้นเป็นยอดอัจฉริยะแห่งเมืองพฤกษามุก ทว่าเขาไม่อาจเป็นหนึ่งในสิบองครักษ์ฟ้าได้หลังจากที่มาที่นี่

“ข้าสามารถได้ห้องไม้ที่เก้าเมื่อสองวันก่อน ทว่าข้าก็ถูกท้าประลองทันทีและแพ้” ฮวงชี่เอ่ยอย่างขมขื่น

อันดับของสิบองครักษ์ฟ้านั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงไม่กี่วันนี้ นอกจากคนสามคน สามคนนั้นคือเฟิงฮันเยว่ เหล่ยเฮา และจ้าวเฟิง

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะเป็นอันดับสิบ ทว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นอย่างน้อยก็ติดหนึ่งในสามอันดับแรก ดังนั้นแล้วจึงไม่มีผู้ใดกล้าท้าประลองเขา ซึ่งหมายความว่าหมายเลขเก้านั้นเป็นเป้าหมายหลัก

ในวันนี้

องครักษ์สามเรียกรวมตัวเหล่าเด็กหนุ่มสาวและประกาศว่า

“เจ้าเมืองกว่านจวินได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว และจะมายังที่นี่ด้วยตนเองในเวลาสามวัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!