Skip to content

King of Gods 79

King Of Gods

บทที่ 79 : สุดยอดอัจฉริยะเป่ย

ตูม!

เสียงดังสนั่นส่งผลให้เหล่าเด็กหนุ่มสาวในกองพันองครักษ์ฟ้าตื่นตัวขึ้นในทันใด

“สองคนนั่นคือผู้ใด? พวกเขาส่งเหล่ยเฮาลอยไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว”

“พวกเขามิรู้หรือว่านั่นนับว่าผิดกฎในการทำลายบ้านไม้?”

เด็กหนุ่มสาวบางคนตื่นตะลึง จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยเองก็ตื่นตัวกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อพวกเขาทั้งสองออกไปด้านนอก ก็พบกับภาพบ้านไม้ของเหล่ยเฮาที่พังทลายและเจ้าตัวเองที่เพิ่งจะหลุดออกจากซากไม้ได้

“พวกเจ้าทั้งสองไม่กลัวบทลงโทษจากกองพันองครักษ์ฟ้าหรือ?” เหล่ยเฮาปาดโลหิตที่ไหลย้อยตามุมปาก

“พวกเราไม่ได้มาจากกองพันองครักษ์ฟ้า” เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาโค้งริมฝีปากขึ้นในขณะที่เด็กหนุ่มไร้อารมณ์ก็ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย

“วายุสุดท้ายทลายนภา!”

เหล่ยเฮาระเบิดพลังภายในของเขาออกอีกครั้งและพุ่งเข้าไปหาคนแปลกหน้าทั้งสอง กระบวนท่านี้เขาใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดและสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นหกได้อย่างง่ายดาย

“ให้ข้าเอง!”

เด็กหนุ่มแสนร่าเริงหัวเราะเสียงแผ่วและส่งเกลียวพลังภายในสีขาวสะอาดไปยังการโจมตีนั้นและสลายมันอย่างง่ายดาย

“อั่ก!” เหล่ยเฮารู้สึกได้ว่าร่างของเขาเคลื่อนไปด้านหน้าโดยที่เขาไม่ได้ทำสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังภายในและพยายามหลบหนีในทันที

“หึหึ ลงมา!”

เด็กหนุ่มบิดมือของเขาอีกครั้งก่อนที่เหล่ยเฮาจะรู้สึกได้ถึงแรงดูดใต้ร่างที่กระชากร่างของเขาลง

ตุบ!

เหล่ยเฮาร่วงลงก่อนจะถูกเตะออกไปโดยเด็กหนุ่มผู้ร่าเริง

“ไอหย๋า ดูเหมือนว่าจะไม่มีอัจฉริยะในกองพันองครักษ์ฟ้า” เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาสั่นศีรษะ

“ข้าบอกแล้ว” เด็กหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์เอ่ยเช่นนั้น ทว่าเขาหมายถึง ‘ข้าบอกแล้ว มันเป็นเจ้าที่บังคับข้ามาที่นี่…’

ร่างของเด็กหนุ่มสาวผู้อื่นแข็งค้าง

การต่อสู้เริ่มขึ้นและจบลงในเสี้ยววินาที

เฮือก!

ภาพนั้นทำให้เด็กหนุ่มสาวในกองพันองครักษ์ฟ้าต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บ เหล่ยเฮา อันดับสองในสิบองครักษ์ฟ้าพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย

“วิชาที่เขาเพิ่งใช้ออกนั้นเหนือกว่าวิชาระดับสุดยอด เป็นไปได้หรือไม่…”

จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ เขามั่นใจว่าวิชาของเด็กหนุ่มผู้ร่าเริงนั้นใช้ออกอย่างน้อยต้องเป็นวิชาขั้นอรรธเซียน!

“ผู้ใดเอ่ยว่ากองพันองครักษ์ฟ้าอ่อนด้อย?” น้ำเสียงเย็นเยียบใสกระจ่างดังขึ้นจากด้านในห้องไม้

ฟุ่บ!

ร่างงดงามเรือนผมสีเงินปรากฏตัวขึ้น

“เฟิงฮันเยว่!”

ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่ากองพันองครักษ์ฟ้า เฟิงฮันเยว่นั้นเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสิบองครักษ์ฟ้า และเขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเจ็ดก่อนหน้าเหล่ยเฮา นอกจากนั้นเขายังเอาชนะเหล่ยเฮาที่เข้าสู่ขั้นเจ็ดได้ในสิบกระบวนท่า

“หืม? ดูเหมือนว่าอย่างน้อยจะยังมีอัจฉริยะอยู่บ้าง” เด็กหนุ่มผู้พูดมากหัวเราะขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของเฟิงฮันเยว่

ร่างของเด็กหนุ่มผู้งดงามเริ่มเปล่งประกายสีเงินขณะที่เรือนผมของเขาปลิวสยายล้อไปกับสายลม

เช้ง! ฟุ่บ!

เด็กหนุ่มทั้งสองพลันเข้าปะทะกัน พวกเขาสร้างหลุมขึ้นบริเวณที่พวกเขายืนพร้อมกับเสียงเปรี้ยง

“กระบวนท่านภามายา!”

เฟิงฮันเยว่ใช้วิชาเซียนที่ไม่สมบูรณ์ออก ร่างของเขาแปรเปลี่ยนไปคล้ายดวงจันทร์ เป็นภาพเสมือนและรวดเร็ว

“วิชากังหันวายุ!”

เด็กหนุ่มอีกคนยืนนิ่งพร้อมตบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน เมื่อเขาทำเช่นนั้นพายุก็ปรากฏขึ้น

อันใดกัน!?

เฟิงฮันเยว่รู้สึกราวกับร่างเขาถูกกระชากดึงด้วยแรงมหาศาล

“เป็นวิชาประเภทใดกัน? วิชาเซียนที่ไม่สมบูรณ์ของข้าไม่ส่งผลใดๆ แม้แต่น้อย”

ตูม!

เด็กหนุ่มผู้เข้าหาง่ายทำท่าวาดมือสองครั้งก่อนที่พายุจะกลับกลายไปเป็นวงกลมที่พยายามจับร่างของคู่ต่อสู้เอาไว้

“ผ่ามายาจันทราสวรรค์!”

เฟิงฮันเยว่ตวาดก่อนที่แสงสีเงินเย็นเยียบจะส่องประกายบนแขนทั้งสองของเขาและเปลี่ยนไปเป็นคมดาบก่อนเข้าปะทะกับการโจมตีของคู่ต่อสู้

พลังทั้งสองยันกันไว้ชั่วครู่ก่อนที่พลังที่เหลือจะพัดทุกสิ่งกระจายไป

ในที่สุด วิชาของเด็กหนุ่มผู้เข้าหาง่ายก็ได้ทำลายวิชาอรรธเซียนของเฟิงฮันเยว่ไปเพราะความลึกล้ำของพลังภายในของเขา

ฟิ้ว!

ร่างงดงามของเด็กหนุ่มผมเงินถูกส่งลอยไปนับเจ็ดแปดเมตร ใบหน้าของเขาขาวซีดยิ่งนัก ‘กระทั่งวิชาอรรธเซียนยังไร้ผล เป็นไปได้หรือไม่ที่มันจะฝึกฝนวิชาเซียน…?’

“ไม่เลว เจ้าสามารถปะทะกับข้าได้ถึงยี่สิบกระบวนท่า”

เด็กหนุ่มผู้ชนะปรากฏความชื่นชมในดวงตา ในตอนนั้นเองที่กลิ่นอายของเขาได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้เหล่ยเฮาและเฟิงฮันเยว่หายใจลำบาก

“ขั้นแปดแห่งหนทางผู้ฝึกตน…” เหล่ยเฮาอุทานออกมา

พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มผู้เข้าหาง่ายนั้นได้เหนือกว่าทุกคนในกองพันองครักษ์ฟ้าแห่งนี้

“ขั้นแปดแห่งหนทางผู้ฝึกตน… และเป็นขั้นสุดยอดของขั้นแปด!” จ้าวเฟิงตะลึงในสิ่งที่เขามองเห็น

เด็กหนุ่มไร้อารมณ์อีกคนได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นแปดแล้ว

มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปีเกือบจะเข้าสู่ขั้นเก้าแห่งหนทางผู้ฝึกตนได้ ขั้นเก้านั้นนับเป็นที่สุดเพราะหนทางแห่งเซียนนั้นเป็นเพียงตำนานเท่านั้น

“พวกเจ้าคือผู้ใดกัน!?” เฟิงฮันเยว่มองไปยังทั้งสองอย่างหวาดระแวง

“ข้านามหนานกงฟั่น และนี่คือศิษย์น้องหก… เป่ยโม่ย” เด็กหนุ่มพูดมากแนะนำตัว

หนานกงฟั่น? เป่ยโม่ย?

เหล่าเด็กหนุ่มสาวแห่งกองพันองครักษ์ฟ้าไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อของพวกเขา ทว่าเหตุใดพวกเขาจึงได้รู้ว่ามีอัจฉริยะอยู่ในตำหนักกว่านจวินกัน?

“ศิษย์น้องหนานกงฟั่น ศิษย์น้องเป่ย อันใดนำพวกเจ้ามายังที่นี่กัน?”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากสิ่งก่อสร้างเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้

ก่อนที่ทุกคนจะได้ทันตั้งตัว ร่างขององครักษ์สามก็ปรากฏตัวขึ้น

“ศิษย์พี่ใหญ่” หนานกงฟั่นและเป่ยโม่ยล้วนค้อมคำนับ

ศิษย์พี่ใหญ่? องครักษ์สามนั้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทั้งสอง? เหล่ยเฮาและคนอื่นๆ เกือบจะกัดลิ้นของตน

“สองคนนี้เป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน” องครักษ์สามบอกแก่เหล่าสมาชิกกองพันองครักษ์ฟ้า

“ศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน?” คลื่นของความชื่นชม อิจฉา และริษยาสั่นสะท้านหัวใจของพวกเขา

“ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงนี้ พวกเขาเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน!” อัจฉริยะหลายคนพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก

“ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์จะมาที่นี่ในอีกครึ่งเดือนเพื่อหาศิษย์ ดังนั้นพวกเราเลยมาทดสอบดู” หนานกองฟั่นแย้มยิ้มในขณะที่เป่ยโม่ยด้านข้างเขายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม

“ศิษย์น้องเป่ย เรามีคนผู้หนึ่งที่สามารถเอาชนะเจ้าในด้านหนึ่งได้แล้ว” องครักษ์สามปรากฏรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความสนใจพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสองในทันที

“ผู้ใดกัน?”

เป่ยโม่ยหมุนตัวและกวาดตามองใบหน้าของเหล่าอัจฉริยะในที่แห่งนั้น ในสายตาของเขามีเพียงเฟิงฮันเยว่ที่นับได้ว่างั้นงั้น

“จ้าวเฟิง” ดวงตาขององครักษ์สามหันไปมองเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“องครักษ์สามต้องการสิ่งใดจากข้า?” จ้าวเฟิงเดินออกไปด้านหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

หืม?

หนานกงเฟ่ยและเป่ยโม่ยต่างจ้องไปที่เขา ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างมาก

“ศิษย์น้องเป่ย แม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะดีและมีความจำที่ดี จ้าวเฟิงอาจจะดีกว่า” องครักษ์สามเอ่ย

“ฮี่ฮี่ จริงหรือ?” หนานกงฟั่นเอ่ยอย่างตื่นเต้น

บุรุษสองคนนี้ดูจะต้องการให้ใครบางคนมาจัดการศิษย์น้องของพวกเขา ใช่ พรสวรรค์ของเป่ยโม่ยนั้นวิปลาสเกินไป มันเข้าขั้นที่ทั้งสองนั้นทั้งอิจฉาริษยาอีกฝ่าย

ในด้านของการทำความเข้าใจนั้น เป่ยโม่ยได้เหนือกว่าพวกเขาไปอย่างมาก บัดนี้พวกเขาสามารถหาใครบางคนที่อาจจะเหนือกว่าอีกฝ่ายในเรื่องของความทรงจำได้ในที่สุด ชัดเจนว่าพวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

“ข้าไม่เชื่อ” เป่ยโม่ยเอ่ยคำสามคำออกมาอย่างเฉยชา

“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรหากเจ้าไม่ลอง?” หนานกงฟั่นดูมีท่าทีตื่นเต้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มั่นใจเพียงนั้น

ไม่ช้า พวกเขาก็เข้าไปในตึกใจกลางลาน

องครักษ์สามพลันดึงตำราออกมาเล่มหนึ่งและฟาดมันลงบนโต๊ะ

“นี่คือวิชาอรรธเซียนนามย่างก้าวหมอกผันแปร”

วิชาอรรธเซียน?

ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ

“พวกเจ้าทั้งสองล้วนไม่เคยเรียนรู้วิชานี้ใช่หรือไม่” ดวงตาของชายหนุ่มกวาดมองจ้าวเฟิงและเป่ยโม่ย

“ไม่!” ทั้งสองล้วนส่ายศีรษะ

“พวกเจ้าทั้งสองจดจำรายละเอียดของมันให้เร็วที่สุด” องครักษ์สามประกาศ

“ข้าก่อน”

เป่ยโม่ยหยิบหนังสือไปก่อนจะพลิกหน้ากระดาษ ตลอดเวลานั้นเขาราวกับรูปปั้น

“ให้ข้าทดสอบเจ้า”

หนานกงฟั่นคว้าหนังสือไปก่อนจะสุ่มถามขึ้นซึ่งเป่ยโม่ยได้เอ่ยตอบโดยทันทีและถูกต้องแม่นยำ

ความสามารถนี้สร้างความตกตะลึงให้กับจ้าวเฟิง ตั้งแต่ที่เขาหลอมรวมกับดวงตาซ้าย นี่นับเป็นอัจฉริยะคนแรกที่เขาพบว่าสามารถจดจำทุกสิ่งได้ด้วยเพียงการอ่านแค่ครั้งเดียว

“จ้าวเฟิง ตาเจ้าแล้ว” องครักษ์สามเอ่ย

จ้าวเฟิงผงกศีรษะและหยิบตำราย่างก้าวหมอกผันแปรไป

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ในเวลาสิบลมหายใจต่อมา จ้าวเฟิงก็ยื่นตำราคืน

“เสร็จแล้ว”

เร็วเช่นนี้?

เป่ยโม่ยและหนานกงฟั่นต่างประหลาดใจและสงสัย ทั้งสองเลือกเอ่ยถามส่วนที่ซับซ้อนของตำรา ทว่าอีกฝ่ายนั้นได้จดจำอย่างสมบูรณ์แบบ

“แข็งแกร่งยิ่ง ความทรงจำของเขาเหนือกว่าศิษย์น้องเป่ยโม่ย”

หนานกงฟั่นรู้สึกตื่นเต้นและดูราวกับมันเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จในการที่ใครสักคนเอาชนะเป่ยโม่ยได้

“ข้าไม่เชื่อ!”

ดวงตาของเป่ยโม่ยกวาดมององครักษ์สามและจ้าวเฟิง คิดว่าทั้งสองอาจร่วมมือกันเพื่อเอาชนะเขา

“เช่นนั้นเจ้าจะพิสูจน์อย่างไร?” องครักษ์สามถามกลับ

ปั่ก!

เป่ยโม่ยดึงตำราออกมาและเอ่ยอย่างเฉยชาว่า

“วิชาอรรธเซียน เคล็ดลมหายใจหวน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!