ตอนที่ 213 : ยลโฉมอีกครั้ง
‘อินซ์·แซงวิลล์หนีไปเบ็คลันด์สินะ แล้วมันจะอยู่นานแค่ไหน? คงต้องทำนายถามเป็นระยะ…’
ไคลน์โน้มตัวไปด้านหน้าขณะใช้ความคิด มันลบเนื้อหาบนกระดาษหนังออก และเขียนประโยคทำนายใหม่ลงไปแทน
“ตำแหน่งปัจจุบันของลาเนวุส”
จากมุมมองของไคลน์ ผู้สังหารดันน์ และตนคืออินซ์·แซงวิลล์ก็จริง แต่ลาเนวุสก็เป็นตัวการนำความฉิบหายมาสู่ทิงเก็น ไม่สมควรได้รับการอภัยแม้แต่เศษเสี้ยว
มันต้องชดใช้ด้วยเลือด!
หลังจากอ่านประโยคทำนายครบเจ็ดหน ไคลน์ส่งตัวเองเข้าสู่ภาวะหลับใหล แต่ฉากเบื้องหน้ากลับเป็นเหตุการณ์ซ้ำกับเมื่อครู่
แม่น้ำกว้างและอึมครึม ท่าเรือมากมาย อาคารหลายหลังเรียงชิดติดกัน สถาปัตยกรรมแบบโลเอ็นยุคปัจจุบัน แต่ก็มีบ้านทรงโกธิคประปราย ท้องถนนแออัด วิวทิวทัศน์งดงาม รวมถึงปล่องไฟพ่นควันดำตลอดเวลา ปราสาทมหึมาตั้งเด่นตระหง่านพร้อมด้วยยอดแหลมและหอนาฬิกา…
สิ่งนี้หมายถึงลาเนวุสก็อยู่ในดินแดนแห่งความหวัง มหานครแห่งนคร กรุงเบ็คลันด์!
ไคลน์ลืมตาตื่นอย่างสับสนมันระบุชัดเจนว่าต้องการ ‘ตำแหน่ง’ ของลาเนวุส แต่กลับได้รับคำตอบคลุมเครืออย่าง ‘เมือง’
‘หรือลาเนวุสจะมีลำดับผู้วิเศษสูงกว่าการประเมินของเรา? ไม่สิ อาจเป็นพลังอวยพรบางอย่างจากพระผู้สร้างแท้จริง ตอบแทนหลังจากมันประกอบพิธีกรรมสร้างภาชนะทายาทสำเร็จ แม้ผลลัพธ์สุดท้ายจะไม่ได้ถือกำเนิดก็ตาม แต่เป็นคำอวยพรแบบไหนกัน? เศษเสี้ยวพลังเทพ? หรือวัตถุคล้ายกับรกเด็กเหมือนลูกในท้องเมกูส? แต่อย่างหลังถูกอินซ์·แซงวิลล์เก็บไปแล้ว’
หัวสมองไคลน์กำลังประมวลผล มันพึมพำพลางตั้งสมมติฐานเบื้องต้น
หลังจากได้ทราบแหล่งกบดานของศัตรูคู่อาฆาตทั้งสอง ชายหนุ่มคำนึงถึงปัญหาใหม่
มันไม่มีพลังมากพอจะแก้แค้น!
แม้ว่าลาเนวุสจะเป็นเพียงลำดับ 7 หรือ 8 แต่คงไม่ใช่เรื่องง่าย หากอีกฝ่ายได้รับการอวยพรจากตัวตนระดับเทพจริง
‘ลาเนวุสค่อนข้างเจ้าเล่ห์ มันสามารถเอาชนะผู้วิเศษลำดับสูงกว่าตนด้วยไหวพริบ… ส่วนอินซ์·แซงวิลล์นั้นไม่ต้องพูดถึง มันกลายเป็นครึ่งเทพไปแล้วแถมยังถือครองสมบัติวิเศษ 0-08 แม้เราจะมีพลังจากการเดินทางข้ามโลกคอยสนับสนุน แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังต่อสู้ได้ และมีแนวโน้มว่าพลังเหล่านี้อาจไม่ได้มีไว้สนับสนุนการต่อสู้แต่แรก ฉะนั้นทางแก้ปัญหาคือ ต้องรีบเลื่อนลำดับพลังโดยเร็ว หรือไม่ก็ค้นหาสมบัติวิเศษทรงพลังมาครอง ไม่สิ ต้องทำควบคู่กันไป’
ระหว่างความคิดโลดแล่นไคลน์ตัดสินใจเขียนประโยคทำนายเพิ่มเติม มันไตร่ตรองอยู่นานก่อนลงมือจรดปากกาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ต้องทำอย่างไร เราถึงจะแข็งแกร่ง”
ชายหนุ่มวางปากกาบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ตามด้วยการเอนหลังพิงเก้าอี้ ปากพึมพำท่องประโยคทำนายครบเจ็ดหน ก่อนสะกดจิตตัวเองให้นอนหลับ
ท่ามกลางนิมิตความฝัน ไคลน์เห็นฉากซ้ำเดิมเป็นหนสามติดต่อกัน
แม่น้ำ ท่าเรือ ปล่องไฟ ผู้คน ปราสาท เครื่องจักร และหอนาฬิกาแบบโกธิค
ผลลัพธ์การทำนายชี้ไปยังเมืองหลวงแห่งอาณาจักรโลเอ็น กรุงเบ็คลันด์อีกครั้ง!
แต่ทันใดนั้น ฉากในความฝันพลันเปลี่ยน
มันเห็นยอดเขาสูงเสียดก้อนเมฆ มาพร้อมวิวทิวทัศน์งดงาม ใกล้กันมีพระราชวังโบราณหลังใหญ่มอบความโอ่อ่าหรูหรา ใจกลางเป็นบัลลังก์ยักษ์ถูกแกะสลักจากหิน อัญมณีราคาแพงประดับประดาระยิบระยับ
มันมองเห็นดวงตาแนวตั้งทรงประหลาด รายล้อมด้วยสัญลักษณ์ลึกลับมากมาย ก่อนภาพความฝันจะแตกละเอียดโดยไม่มีการตักเตือนล่วงหน้า
ไคลน์เปลี่ยนท่านังพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะ
‘เบ็คลันด์จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ฉากนิมิตลำดับสองหมายถึง ยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาโฮนาซิส จุดซ่อนสมบัติลับของตระกูลอันทีโกนัส? ภาพดวงตาแนวตั้ง…สอดคล้องกับกระดาษในมือหุ่นกระบอกอัปมงคลวันนั้น เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวในคืนเข้าเวรเฝ้าประตูยานิสครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิด หุ่นกระบอกอัปมงคลถูกอิทธิพลของสมุดบันทึกอันทีโกนัสครอบงำจนมีสัญญาณชีพขึ้นมา สิ่งนั้นคือกุญแจของเรื่องราวทั้งหมด?’
ระหว่างจินตนาการมากมายกำลังถาโถมสมองไคลน์ มันตัดสินใจหนักแน่น สักวันตนต้องไปเยือนยอดเขาโฮนาซิสให้ได้
‘แต่ว่า…อันตรายบนยอดเขาโฮนาซิส อาจมากมายจนแม้แต่ผู้วิเศษระดับครึ่งเทพก็รับมือไม่ไหว ดังนั้นต้องไปเบ็คลันด์ก่อน’
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจขณะกำหนดทางเดินชีวิตของตัวเอง ตามด้วยการห่อหุ้มร่างจิตด้วยพลังวิญญาณ และดำดิ่งกลับลงมาบนโลกความจริงอีกครั้ง
เมื่อสภาพแวดล้อมรอบตัวกลับเป็นสุสาน ไคลน์เดินออกจากจุดกำบังตรงไปทางหลุมศพของดันน์·สมิท
ขณะสายตาเพ่งมองคำจารึกมันวาดสัญลักษณ์จันทร์แดงกึ่งกลางหน้าอก ก่อนจะเดินออกจากสุสานด้วยฝีก้าวเงียบเชียบ
ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรี ไคลน์มีประสบการณ์เดินลาดตระเวนสุสานบ่อยครั้ง จึงนับว่าเชี่ยวชาญทางหนีทีไล่ การลักลอบออกจากสุสานเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสัญญาณเตือนในจุดใดทำงาน
ถัดมาเป็นการเดินไปตามถนนลูกรังโดยใช้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่เป็นกำบังซ่อนตัว
ยามราตรีช่างสงบสุข
ดวงจันทร์ก็ชวนฝันเสียเหลือเกิน
ไคลน์เดินเดียวดายในความมืดมิด ความคิดในสมองกำลังเกรี้ยวกราดดุดัน แต่มีการเปลี่ยนผันเป็นระยะ บ้างวางแผนแก้แค้นให้สาแก่ใจ บ้างหวนนึกถึงช่วงเวลากับดันน์ และบ้างนึกถึงมุกตลกฝืดของลุงนีลล์
โดยไม่รู้ตัว ไคลน์เข้าสู่ถนนหลักของเมืองทิงเก็นอย่างเงียบเชียบประหนึ่งวิญญาณเร่ร่อนไร้จุดหมาย มันหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางหนแล้วหนเล่า
……..
สองชั่วโมงถัดมา สติชายหนุ่มเริ่มหลุดจากภาวะอาฆาตแค้น ความคิดอ่านเป็นไปอย่างสุขุมมากขึ้น
จนกระทั่ง วิวทิวทัศน์รอบตัวไม่ใช่สิ่งแปลกตาอีกต่อไป เพราะถนนเส้นนี้มีชื่อว่าดารารัตน์
อีกฟากฝั่งของถนนเป็นบ้านตระกูลโมเร็ตติ บ้านแห่งความทรงจำระหว่างพี่ชายน้องสาว
ไคลน์นำพาตัวเองเดินมาถึงบ้านโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความสุขเปี่ยมล้นหัวใจ ชายหนุ่มรีบข้ามถนนเพื่อไปยังฝั่งตรงข้าม
แต่กลับตัดสินใจชะงักฝีเท้ากลางคัน
มันสวมรอยยิ้มขื่นขมพลางส่งเสียงพึมพำตำหนิตัวเอง
“ถ้าเคาะประตูบ้านตอนนี้ เมลิสซ่าอาจหัวใจวายจนหมดสติ…เบ็นสันอาจเครียดจนผมร่วงยิ่งกว่าเดิม จากนั้นจะพยายามสำรวจให้แน่ใจว่าเป็นเราตัวจริงไม่ใช่ลิงบาบูนขนหยิกปลอมตัวมา”
ไคลน์ทำได้เพียงส่ายศีรษะเงียบงัน ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังถนนกางเขนเหล็ก
‘แบบนี้ดีแล้ว…แบบนี้ดีแล้วจริงๆ ปัญหาและความวุ่นวายจากฝีมือเราในอนาคต จะได้ไม่หันไปลงกับพวกเขาภายหลัง เหยี่ยวราตรีและกรมตำรวจคงมีเงินชดเชยให้ครอบครัวเหมือนกับกรณีโคเฮนรี วีรบุรุษของเมืองทิงเก็นอย่างเราไม่น่าจะได้ต่ำกว่า 3,000 ปอนด์กระมัง…เป็นเงินช่วยให้สบายไปทั้งชีวิต ต่อให้เบ็นสันสอบข้าราชการไม่ติด และเมลิสซ่าหางานทำไม่ได้หลังเรียนจบ’
หลังจากเดินอยู่พักใหญ่ไคลน์เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองอ่อนเพลีย
อย่างไรก็ตาม ในฐานะ ‘คนตาย’ มันไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เพนนีเดียว ทรัพย์สินส่วนบุคคลเหลือเพียงชุดทักซิโดใหม่ นกหวีดทองแดงของอะซิก และจี้บุษราคัม
‘เป่านกหวีดทองแดงขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์อะซิกดีไหม? ให้เขาช่วยรับเราไปอุปการะสักพัก’
ไคลน์รำพันติดตลก
‘ไม่สิ ลืมเรื่องนั้นไปก่อน เราไม่ควรติดต่อกับเขาจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสมมีโอกาสสูงมาก ว่าอินซ์·แซงวิลล์จะยังจับตาความเคลื่อนไหวของอะซิกทุกฝีก้าว ต้องรอโอกาสเหมาะสมเท่านั้น หากจะมีใครสักคนบนโลกยอมเชื่อตำนานการคืนชีพก็คงต้องเป็นสัตว์ประหลาดอายุยืนยาวกว่าพันปีอย่างเขา โชคยังดี คืนนี้ไม่ค่อยหนาว แต่ดันไม่เหลืออุปกรณ์สร้างกำแพงวิญญาณสักอย่างเดียว คงต้องหาจุดแอบนอนไปก่อน เมื่อถึงตอนเช้าค่อยเดินทางไปธนาคารเบ็คลันด์เพื่อถอนเงินจากบัญชีลับ’
ในช่วงหลายวันหลัง หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นติดต่อกันจนแทบไม่มีเวลาพัก ไคลน์จึงไม่สบโอกาสทดสอบพิธีกรรมสังเวยสักทีเช่นเดียวกับเงิน 300 ปอนด์ในบัญชีลับ
‘คงพอประทังชีวิตได้สักพัก พรุ่งนี้ต้องไม่ลืมซื้อหนังสือพิมพ์ เพื่อยืนยันวันเดือนปีปัจจุบันให้ชัดเจน ในเมื่อไม่มีการแจ้งเตือนคำสวดภาวนาของจัสติส หมายความว่าเราไม่ได้พลาดชุมนุมไพ่ทาโรต์ในวันจันทร์รอบถัดไป’
ระหว่างไคลน์ใช้ความคิดเรื่อยเปื่อยสายตาบังเอิญเหลือบเห็นจุดอับลมพอดี
มันเดินไปนั่งลงพร้อมกับถอดเสื้อ สิ่งนี้จะถูกใช้เป็นผ้าห่มเพื่อให้ผ่านค่ำคืนเย็นเฉียบไปได้โดยไม่แข็งตาย ลงเอยด้วย ไคลน์นั่งเอนหลังพิงกำแพงเพื่อเข้าสู่ภาวะหลับใหล
อย่างไรก็ตาม การนอนไม่ราบรื่นนักมันถูกปลุกโดยฝีมือใครบางคนในเวลาถัดมา
เมื่อลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าเป็นตำรวจกำลังควงกระบองไม้ บนอินทรธนูติดสัญลักษณ์หนึ่งบั้ง หมายถึงตำรวจยศต่ำสุด
ระหว่างไคลน์กำลังสำรวจอีกฝ่าย ตำรวจปลายแถวตะคอกด้วยเสียงเคร่งขรึม
“แกจะนอนตรงนี้ไม่ได้! ริมถนนและสวนสาธารณะไม่ได้มีไว้ให้พวกขี้เกียจสันหลังยาว ไร้งาน ไร้บ้านแบบแกมานอนพัก! นี่คือกฎหมายสำหรับบังคับใช้กับคนจนโดยเฉพาะ!”
‘งั้นหรือ’ ไคลน์อึ้งเล็กน้อย
แต่เนื่องจากจะให้ใครทราบไม่ได้ว่าตนยังมีชีวิต ชายหนุ่มจึงไม่คิดโต้เถียงกับตำรวจนาน มันสวมเสื้อนอกกลับ ตามด้วยการเดินวนเวียนในเมืองยันเช้า
……..
ไคลน์เดินคอตกเข้าไปในธนาคารเบ็คลันด์ด้วยร่างกายอ่อนเพลียสุดขีด เงินในบัญชีถูกถอนออกมาทั้งหมด 200 ปอนด์โดยใช้รหัสลับ อีกราวหนึ่งในสามเหลือไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน
และเป็นไปตามคาดไคลน์ได้ยิน ‘คำสวดภาวนา’ ถึงตัวเองขณะเขียนรหัสเปิดบัญชีเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
ถัดมา มันใช้เงินจำนวน 38 ปอนด์ไปกับเครื่องแต่งกายแบบสุภาพ 2 เซต ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสองตัว กางเกงขายาวสองตัว รองเท้าหนังสองคู่ เน็กไทหูกระต่ายสองชิ้น และรองเท้าสี่คู่
รวมถึงเสื้อคลุมกระดุมสองแถวสองตัว โค้ทขนสัตว์สีทึบสองตัว และกางเกงหนาพิเศษสองตัวสำหรับใส่ในฤดูหนาว นอกจากนี้ยังมีไม้ค้ำ กระเป๋าสตางค์ และกระเป๋าเดินทางหนังใบใหญ่
หลังจากเสร็จสิ้นการซื้อของไคลน์มองหาโรงแรมพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามด้วยการเช่ารถม้าส่วนตัวตรงไปยังสถานีรถไฟเมืองทิงเก็น จุดประสงค์ก็เพื่อจะได้ไม่บังเอิญเดินสวนกับคนรู้จัก
ระหว่างทางแวะซื้อหนังสือพิมพ์ และพบว่าปัจจุบันเป็นวันอาทิตย์
ตามตารางรถไฟต้องใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงเพื่อเดินทางจากทิงเก็นไปยังเบ็คลันด์ ตั๋วชั้นหนึ่งมีราคาราวสามส่วนสี่ปอนด์ หรือเทียบเท่าสิบห้าซูล ตั๋วชั้นสองมีราคาสิบซูลหรือเทียบเท่าครึ่งปอนด์ ส่วนตั๋วชั้นสามจะได้เก้าอี้สภาพห่วย ขาดการบำรุงรักษา ราคาบัตรห้าซูล
หลังจากใช้ความคิดสักพักไคลน์ตัดสินใจซื้อตั๋วชั้นสอง รอบบ่ายสองโมงตรง จากนั้นก็เดินมาหาเก้าอี้นั่งในชานชาลาเพื่อรอเที่ยวขบวนของตนมาถึง มือขวาถือกระเป๋าเดินทางหนังเพียงหนึ่งใบ
เวลาปัจจุบันคือเลยเก้าโมงเช้ามาเล็กน้อย
ไคลน์ค่อนข้างโล่งใจ อาณาจักรโลเอ็นไม่เคร่งครัดกับการลงทะเบียนประชากรมากนัก วิธีพิสูจน์ตัวตนมีเพียง แสดงหลักฐานการเสียค่าน้ำ ค่าแก๊ส และค่าเช่าบ้านตลอดระยะเวลาสามเดือนหลังสุด
ยิ่งซื้อตั๋วรถไฟยิ่งง่ายแค่มีเงินก็พอ
ระหว่างนั่งรอชายหนุ่มเกิดความรู้สึกแน่นหน้าอกกะทันหัน การต้องจากทิงเก็นในช่วงบ่ายวันนี้ ถือเป็นเรื่องใจหายพอสมควร
น้องสาวผู้มีบรรยากาศเหมือนแม่
พี่ชายผู้มีอารมณ์ขันยอดเยี่ยม
ภายใต้สภาพจิตใจอันห่อเหี่ยวและไม่ต้องการทำสิ่งใด ไคลน์กังวลว่าทั้งสองอาจทานอาหารไม่ครบทุกมื้อ
ขณะคิดถึงครอบครัว มันพลันหัวเราะ
เป็นเสียงหัวเราะเหือดแห้ง สมองกำลังย้อนนึกถึงเครื่องจักร ‘เต่า’ แต่เมลิสซ่ากลับเรียกมันว่า ‘หุ่นกระบอก’ รวมถึงศีรษะอันเถิกล้านก่อนวัยอันควรของเบ็นสัน
‘หมอนั่นคือเราในร่างหัวเถิก’
ทันใดนั้นไคลน์เกิดแรงกระตุ้น มันต้องการพบหน้าสองพี่น้องอีกครั้ง
ตอนนี้ทราบแล้วว่าเหตุใดตนถึงไม่ซื้อตั๋วรถไฟรอบเช้า แต่เลือกจองรอบบ่ายสองโมงตรงแทน
โดยไม่รีรอชายหนุ่มถือกระเป๋าเดินทางในมือพร้อมกับออกจากชานชาลา ตามด้วยการเช่ารถม้าส่วนตัว จุดหมายปลายทางคือถนนดารารัตน์
ไคลน์ซ่อนตัวใต้ร่มไม้บนถนนฝั่งตรงข้ามบ้านตัวเอง มีหลายครั้งต้องการก้าวขาข้ามไปอีกฝั่งเพื่อเคาะประตูบ้าน แต่ส่วนลึกของจิตใจได้ห้ามไว้
สายตาจ้องมองท้องถนนอย่างเหม่อลอย หน้าอกเต็มไปด้วยอารมณ์เคว้งคว้าง เหมือนกับต้องจากบ้านตัวเองไปไกลอีกครั้ง
เป็นความรู้สึกเดียวกับสมัยเพิ่งเดินทางข้ามโลกมาสิงร่างไคลน์·โมเร็ตติได้ไม่นาน
ทันใดนั้น ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของเบ็นสันและเมลิสซ่า
เด็กสาวสวมชุดเดรสสีดำสนิท หมวกตาข่ายสีดำ ด้านเบ็นสันสวมเชิ้ต เสื้อกั๊ก กางเกงขายาว โค้ท และหมวก ทั้งหมดดำล้วนเช่นกัน
สีหน้าทั้งสองค่อนไปทางเหม่อลอย
‘เมลิสซ่าผอมลงชัดเจนแล้วทำไมเบ็นสันถึงซูบแบบนั้น…’
ภาพตรงหน้าทำให้จิตใจไคลน์ปวดร้าว
มันพยายามอ้าปาก แต่ไม่สามารถตะโกนชื่อของพวกเขาออกไป ชายหนุ่มตัดสินใจสะกดรอยตามเบ็นสันและเมลิสซ่าไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งมาถึงจัตุรัสเทศบาล
ไคลน์ได้พบเต็นท์หลายหลังตั้งวางเรียงรายเหมือนกับหลายเดือนก่อน สิ่งนี้หมายถึง คณะละครสัตว์ชุดใหม่เดินทางมาเปิดการแสดง
เบ็นสันควักเงินซื้อตั๋วจากนั้นก็เดินนำทางเมลิสซ่าไปเข้าแถวเตรียมรับชมการแสดง
ขณะเดียวกันก็หันมาฝืนยิ้มให้น้องสาว
“คณะละครสัตว์นี้โด่งดังมาก”
เมลิสซ่าผงกศีรษะเย็นชา
“อือ”
ทันใดนั้นเด็กสาวพลันเสียหลักลื่นล้ม
ไคลน์กำลังยืนซื้อตั๋ว มันพลันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง สัญชาตญาณร้องบอกให้เข้าไปช่วยน้องสาว แต่ลงเอยด้วย มันตัดสินใจชักมือกลับอย่างจนปัญญา และเดินไปปะปนกับฝูงชนราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เบ็นสันสะดุ้งพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจ แต่ปฏิกิริยาของมันช้าเกิดกว่าจะช่วยได้ทัน
อย่างไรก็ตาม เมลิสซ่าสามารถพยุงตัวกลับมาได้ฉิวเฉียด เธอทำแก้มป่องเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม
……..
ตัวตลกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาแสดงไม่ขาดสาย บ้างทรงตัวบนจักรยานล้อเดียว บ้างกลิ้งลูกบอลไว้ใต้เท้า บ้างโยนลูกเทนนิสจำนวนมากขึ้นไปบนอากาศพร้อมกัน ตามด้วยการคว้าไว้ได้ทั้งหมดอย่างน่าเหลือเชื่อ
สีหน้าเมลิสซ่าดูเหนื่อยหน่าย คล้ายกับไม่สนใจการแสดงสักเท่าไร เบ็นสันพยายามกระตุ้นน้องสาวด้วยการตะโกนเชียร์ตัวตลก แต่ก็ไม่สำเร็จตามความตั้งใจ
เพียงไม่นานอารมณ์คนทั้งสองเริ่มห่อเหี่ยวไม่ต่างกัน
ระหว่างเฝ้ามองฉากตรงหน้า ไคลน์ทำได้เพียงเม้มปากแน่น มันต้องการเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากกว่านี้ แต่จิตใจไม่กล้าพอ
ทันใดนั้น ชายหนุ่มรีบล้วงมือเข้าไปจับกระเป๋าสตางค์ในเสื้อคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่ง
………
ถึงเวลาเปลี่ยนเต็นท์การแสดง เบ็นสันและเมลิสซ่าเดินต่อแถวชมการแสดงอื่นโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน
จนกระทั่งเข้าไปในเต็นท์หลังหนึ่ง ทั้งสองมองเห็นตัวตลกแปลกหน้าวิ่งเข้ามาใกล้ ใบหน้าของมันถูกทาด้วยสีสันสดใสสามแถบ
ตัวตลกดังกล่าวเริ่มโยนลูกเทนนิสขึ้นไปในอากาศสูง ระหว่างความสนใจผู้ชมกำลังจดจ่ออยู่ด้านบน มันทำการเสกดอกไม้จากความว่างเปล่า
เป็นดอกเบจญมาศ
ตัวตลกเดินนำดอกไม้ยื่นให้เมลิสซ่าและเบ็นสัน เนื่องจากมีสีทองอร่ามดอกไม้ชนิดนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แทนความสุข
เมื่อทั้งสองเงยหน้ามองพวกมันได้เห็นรอยยิ้มอย่างจริงใจปรากฏเด่นชัดท่ามกลางแถบสีฉูดฉาดบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มแห่งความสุข
สุขจนล้นปรี่
เปี่ยมด้วยความอบอุ่นเหนือคำบรรยาย
(จบภาคตัวตลก)
……………