ตอนที่ 229 : เลือกเจ็บตัวน้อยสุด
ศพเมอซอลนอนแผ่บนพื้นห้องในลักษณะดวงตาเบิกโพลง แววตาแฝงความอาฆาตเจือจาง บาดแผลกลางลำคอเคยมีขนาดเล็ก แต่ปัจจุบันขยายใหญ่ขึ้นเพราะเกิดการตกผลึกตะกอนพลัง สภาพชวนให้ขนลุกขนพอง
ในเวลาเดียวกันปรากฏการณ์หลังความตายตามปกติเริ่มทำให้ช่วงล่างลำตัวเมอซอลเริ่มโชยกลิ่นเหม็น ไคลน์กำลังถือวัตถุคล้ายเยลลี่สีแดงไว้ในมือพลางก้มหน้าไตร่ตรองว่าตนควรกระทำสิ่งใดต่อ
มันมีสามทางเลือก
ทางแรก เก็บกวาดจุดเกิดเหตุและพยายามตกแต่งบาดแผล จากนั้นก็แจ้งตำรวจโดยอ้างว่าเป็นเหตุป้องกันตัวสุดวิสัยตามกฎหมาย
ทางสอง รอให้ถึงกลางดึกสงัดคืนถัดไปและนำศพเมอซอลไปซ่อนในท่อน้ำทิ้งเหมือนกับนักสืบเซอเรียล จากนั้นก็ทำตัวตามปกติประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ทางสาม ละทิ้งตัวตนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้และหนีไปยังเขตอื่นของเบ็คลันด์ด้วยชื่อใหม่
สำหรับปัญหาของทางแรก ไคลน์เป็นคนเถื่อนไม่มีบัตรยืนยันตัวตน และเบื้องหลังยังแอบซ่อนความลับยิ่งใหญ่เอาไว้ การนำเรื่องไปแจ้งตำรวจอาจทำให้ตัวตนแท้จริงสมัยอยู่ทิงเก็นถูกเปิดเผย
สำหรับปัญหาของทางสอง มันต้องคอยหวาดระแวงตลอดเวลาว่าศพจะถูกพบและตำรวจมาเคาะประตูบ้านเมื่อไร อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือถ้าราชทูตผู้บงการเมอซอลทราบว่าหนึ่งในลูกน้องหายไป มันต้องส่งใครสักคนมายังบ้านเลขที่สิบห้าถนนมินส์เพื่อสืบสวนแน่นอน และถ้าเป็นเช่นนั้นศัตรูในคราวหน้าคงมีลำดับไม่ต่ำกว่า 7
ไคลน์กำลังเผชิญหน้าตัวตนผู้มีพลังอำนาจระดับหนึ่งประเทศ แถมยังเป็นประเทศใหญ่!
ทางเลือกสามดูเหมือนจะฉลาดและปลอดภัยมากกว่าทางอื่น ไคลน์จะหลุดพ้นจากปัญหาและความเสี่ยงเกือบทั้งหมดในคราวเดียว แต่ข้อเสียคือภาพใบหน้าของตนจะถูกปิดประกาศล่าค่าหัวไปทั่วเมือง
ยิ่งไปกว่านั้น คุณนายซาเมอร์และนักกฎหมายเยอร์เก้นต่างเคยเห็นใบหน้าแท้จริงของตนแล้ว พวกเขาอาจอธิบายรูปโฉมไคลน์ให้ตำรวจวาดภาพประกาศจับ
หลังจากประกาศถูกติดทั่วเมืองและตามหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าเบ็คลันด์จะกว้างใหญ่สักเพียงใด แต่ก็มีโอกาสให้มาดามดาลีย์ และเหยี่ยวราตรีคนอื่นจำใบหน้าไคลน์ได้
และถ้าไคลน์·โมเร็ตติยังมีชีวิตอยู่ นั่นจะกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่หลวง
ปัจจุบันโบสถ์รัตติกาลคงจัดลำดับความสำคัญของ 0-08 และอินซ์·แซงวิลล์ไว้สูงมาก ดังนั้นไคลน์อาจถูกไล่ล่าอย่างหนักโดยฝีมือของอาวุโสใหญ่จากโบสถ์รัตติกาล
แน่นอน ทางสามยังมีตัวเลือกปลีกย่อยให้ลงมือ นั่นคือการซ่อนศพในท่อน้ำทิ้งก่อนหลบหนีไปยังเขตอื่นและเปลี่ยนชื่อ แต่อันตรายก็จะคล้ายคลึงทางเลือกสอง ราชทูตจะส่งคนตามล่าไคลน์สุดขอบโลก
อีกฝ่ายมีอำนาจสั่งกลุ่มซีมังเกอรวมถึงกรมตำรวจเบ็คลันด์ให้ออกตามหาเบาะแสไคลน์ได้ไม่ยาก และถ้าผลลัพธ์คือการถูกพบตัว จุดจบจะลงเอยเหมือนทางเลือกสองทุกประการ
หลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วนไคลน์ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับทางออกของตัวเองว่า…
‘ทำนายถามทีละข้อ’
แน่นอน ไคลน์มีตัวเลือกในใจไว้แล้ว เป็นหนทางเจ็บตัวน้อยสุดในความคิดของมัน
ไคลน์เอนเอียงไปทางตัวเลือกแรกเพราะมีความเสี่ยงต่ำสุด มันสามารถเตรียมตัวรับมือสถานการณ์ล่วงหน้าได้ระดับหนึ่ง แถมการเปิดเผยตัวตนโจ่งแจ้งยังช่วยให้ความสนใจของคดีอยู่ในมือหน่วยงานราชการ ราชทูตจะไม่กล้าส่งคนมาโจมตีอย่างบุ่มบามเหมือนอีกสองทางเลือก
ไคลน์หยิบเศษกระดาษออกมาเขียนประโยคทำนาย จากนั้นก็ปลดลูกตุ้มวิญญาณจากข้อมือซ้าย ปล่อยให้จี้บุษราคัมห้อยลงเหนือผิวกระดาษเล็กน้อย
“เราควรแจ้งตำรวจๆ”
……….
หลังจากพึมพำจบ ไคลน์พบว่าลูกตุ้มวิญญาณแกว่งตามเข็มนาฬิกาเป็นวงแคบ แต่ความเร็วค่อนข้างสูง
สิ่งนี้หมายถึงคำตอบเชิงบวก!
หลังจากทดสอบทำแบบเดียวกันกับอีกสองทางเลือกและได้รับคำตอบเป็นเชิงลบ ไคลน์ไม่ลังเลอีกแล้ว จุดเกิดเหตุถูกเก็บกวาดเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนอื่นชายหนุ่มสวมถุงมือดำและทำการค้นตัวศพ สิ่งของติดตัวเมอซอลประกอบด้วยมีดคมหนึ่งเล่ม ธนบัตรจำนวนไม่มาก กล่องบุหรี่ ไฟแช็ก และจิปาถะ
มันนำทั้งหมดกลับเข้าจุดเดิมยกเว้นมีดสั้น ไคลน์ถอดถุงมือออกและถือมีดด้วยมือเปล่า จากนั้นก็แทงใส่ลำคอเมอซอลเพื่อกลบเกลื่อนบาดแผลเดิม ตามด้วยการสวมถุงมือกลับคืนและให้เมอซอลกำมีดไว้แทน
เมื่อจัดการเสร็จไคลน์เริ่มรวบรวมสิ่งของไม่จำเป็นต่อรูปคดี ประกอบด้วยตะกอนพลังของเมอซอล ยันต์ทำมือ ไพ่ทาโรต์ ร่างสัญญาชุ่มเลือด กระดาษเขียนคำทำนายเมื่อครู่ รวมถึงวัตถุดิบวิเศษในตัวเกือบทั้งหมด นำไปใส่ถุงกระดาษและประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง นำกายจิตของเดอะฟูลลงมายังโลกจริง
เมื่อถือนกหวีดทองแดงของอะซิกไว้ในมือ ไคลน์ตระหนักว่ากายจิตของตนเริ่มมีรูปร่างคมชัดมากขึ้น มันรีบหยิบถุงกระดาษและสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญ ส่งกายจิตพร้อมถุงกระดาษสีน้ำตาลกลับเข้าไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา
ไคลน์วางถุงกระดาษไว้หลังเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูลพร้อมกับนกหวีดอะซิก มันผ่อนคลายตัวเองสักพัก ก่อนจะใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มร่างจนเกิดความรู้สึกดำดิ่ง ส่งตัวเองกลับมายังร่างเนื้อบนโลก
ไคลน์ไม่เผาร่างสัญญาเปื้อนเลือดและเศษกระดาษทำนายทิ้ง เพราะมันเกรงว่าคดีนี้อาจถูกส่งต่อไปถึงมือหน่วยผู้วิเศษ หากมีใครใช้พลังทำนายกับซากขี้เถ้าขึ้นมา เรื่องราวและความลับทั้งหมดอาจถูกเปิดโปง
แต่ถ้าเป็นมิติสายหมอกเทา ภายในนั้นมีอำนาจรบกวนผลทำนายรุนแรง ต่อให้เทพสุริยันเจิดจรัสลงมาบนโลกและใช้พลังทำนาย ‘ท่าน’ ก็ไม่มีทางได้รับคำตอบในเชิงบวก
และยังเป็นสาเหตุให้ไคลน์นำกระดาษจดบันทึกสรุปเรื่องราวประจำสัปดาห์ด้วยภาษาจีนเข้าไปเก็บไว้ในมิติสายหมอก หลังจากเลื่อนเป็นลำดับ 8 พลังวิญญาณของมันก็มากพอจะทำเรื่องแบบนี้ได้สบาย
จะปล่อยให้เหลือร่องรอยสืบสาวถึงตัวจริงไม่ได้เด็ดขาด!
หลังจากสลายกำแพงวิญญาณ สายลมกรรโชกได้พัดพากลิ่นแปลกปลอมของวัตถุดิบพิธีกรรมให้หายไปในอากาศ
ปัจจุบันวัตถุดิบเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับในบ้านไคลน์เหลือเพียงเทียนไขเท่านั้น เทียนสีขาวโพลนกำลังเผาผลาญตัวเองอย่างเงียบงัน รูปลักษณ์ธรรมดาสามัญ ไม่ใช่เทียนกลิ่นไม้จันทน์หายากเหมือนปกติ
ในเมื่อมันสวดภาวนาถึงตัวเอง ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องพิถีพิถันกับรายละเอียด
เทียนไขสีขาวคือของใช้สามัญประจำบ้านทุกครัวเรือน เผื่อในกรณีฉุกเฉินแก๊สดับ หรือบางรายต้องการประหยัดเงิน โดยเฉพาะชายโสดอาศัยในบ้านหลังใหญ่คนเดียวอย่างไคลน์
หลังจากดับเทียนและนำกลับไปวางไว้ในจุดเดิม ไคลน์หยิบนาฬิกาพกออกมาเปิดฝาตรวจสอบ กะเกณฑ์ช่วงเวลาหลังการตายของเมอซอล รวมถึงคำนวณความเร็วในการทำงานของกรมตำรวจ
ไคลน์ไม่อยากเสี่ยงกับผู้วิเศษเส้นทางสื่อวิญญาณ จึงจำเป็นต้องรอให้เมอซอลตายนานเกินหนึ่งชั่วโมงก่อนอีกฝ่ายเดินทางมาถึง
สำหรับโลกผู้วิเศษ ใจความสำคัญของพิธีกรรมสื่อวิญญาณคือเวลา ยิ่งยืดยาวมากเท่าไร ข้อมูลจากวิญญาณก็ยิ่งลดน้อยลงจนแทบไม่หลงเหลือ
อย่างมากก็แค่ได้ทราบจากวิญญาณเมอซอลว่าถูกเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ฆ่าตาย ไม่มีรายละเอียดปลีกย่อยไปกว่านั้น
และไคลน์ก็ไม่กังวลว่าหน่วยสืบสวนจะตั้งคำถามจำพวก ‘มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกี่ยวข้องในคดีหรือไม่’ เพราะหลักฐานสำคัญ (ร่างสัญญาเปื้อนเลือด) ได้ถูกส่งเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นการทำนายทุกชนิดถึงไคลน์จะนำพาไปสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาและถูกขัดขวางผลลัพธ์ ขณะเดียวกันก็หมายความว่าพลังนิมิตลางบอกเหตุของตัวตลกก็จะไม่ถูกเปิดเผยเช่นกัน
‘โชคดีว่าเราเคยเป็นมืออาชีพมาก่อน รู้สึกเหมือนกับได้เป็นโมเรียตี้*ตัวจริง!’
(*ศาสตราจารย์เจมส์ โมเรียตี้ ตัวร้ายสุดเจ้าเล่ห์ในนิยายสืบสวนเชอร์ล็อก โฮมส์ ประพันธ์โดยเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอลย์)
ไคลน์ยืนยันจุดเกิดเหตุอีกครั้งเพื่อไม่ให้มีข้อบกพร่องหลงเหลืออยู่ จากนั้นก็เดินวนภายในบ้านด้วยสายตาจดจ่ออยู่กับนาฬิกาพก
เมื่อได้เวลาเหมาะสม ไคลน์สวมแว่นตากรอบทองและยืนรออย่างใจเย็นราวสองนาที ตามด้วยการเปิดประตูบ้านเดินออกไป
ท้องฟ้าเมืองเบ็คลันด์เข้าสู่ความมืดมิด โคมไฟแก๊สบนถนนกำลังส่องให้เห็นภาพสายฝนโปรยปราย
สำหรับย่านชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงอย่างถนนมินส์ สายตรวจมักเดินลาดตระเวนผ่านเป็นประจำ ไคลน์ยืนรอสักพักจนกระทั่งเป้าหมายของแผนการปรากฏตัว
มันเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาตำรวจระดับปลายแถวสองคน อินทรธนูประดับเพียงบั้งหนึ่งขีด พกปืน กระบอง และร่มกันฝนขณะเดินตรวจตราความเรียบร้อย
“คุณตำรวจ! มีโจรพยายามทำร้ายผม!”
ไคลน์แสร้งตะโกนเสียงสั่นอย่างชำนาญ
สภาพอันยับเยินของร่างกายชายหนุ่มช่วยให้ตำรวจสองนายตื่นตัวทันที พวกมันรีบควักกระบองออกมาถืออย่างกระฉับกระเฉงพลางกวาดสายตามองรอบตัว
“โจรอยู่ไหน”
ตำรวจหน้ากลม ตาน้ำตาล ถามเสียงทุ้ม
ไคลน์ชี้ไปทางบ้านตัวเอง
“มันแอบเข้าไปในบ้านผมและซุ่มทำร้าย! มันพยายามจะฆ่าผม! ตะ…แต่ระหว่างการต่อสู้ ผมบังเอิญแทงมันตาย”
แทงตาย…
ตำรวจทั้งสองหันมองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมาจ้องไคลน์หัวจรดเท้า
“นำทางพวกเราไป”
“ครับ!”
ไคลน์แสร้งตีหน้าหวาดผวาประหนึ่งคนขวัญอ่อน มันเดินนำทางตำรวจไปถึงหน้าบ้านเลขที่สิบห้า ถนนมินส์และหยิบกุญแจออกมาไขประตู
เปิดประตูเข้าไปเป็นความยุ่งเหยิงกระจัดกระจายของเครื่องเรือน ก่อนตำรวจจะชำเลืองเห็นศพในเวลาถัดมา
เมื่อเข้าไปสำรวจระยะใกล้ ตำรวจสองนายพบบาดแผลฉกรรจ์น่าหวาดเสียวตรงลำคอ รวมถึงมีดสั้นเปื้อนเลือดในมือศพ
“เฝ้าจุดเกิดเหตุไว้ ผมจะกลับไปสถานีและรายงานสารวัตร”
ตำรวจอีกคนพูดกับตำรวจหน้ากลม
“ตกลง”
ตำรวจหน้ากลมดวงตาน้ำตาลหันมาทางไคลน์พลางจ้องมองด้วยสายตาระมัดระวังตัว
ถัดมาไม่นาน จ่าตำรวจในชุดตารางหมากรุกขาวสลับดำ อินทรธนูสามบั้ง มาถึงหน้าบ้านไคลน์พร้อมกับตำรวจคนก่อนหน้าและลูกน้องอีกสองนาย
พนักงานระดับล่างคอยสำรวจรอบบ้านอย่างละเอียดเพื่อหาเบาะแส ส่วนจ่าตำรวจเคราสีน้ำตาลสั้นกำลังยืนซักถามไคลน์ตามระเบียบปฏิบัติ
“ชื่อ”
“เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ นี่คือใบเสร็จค่าเช่าบ้านของผมในครึ่งปีล่าสุด”
ไคลน์เตรียมตัวพร้อม
จ่าตำรวจยืนมองด้วยสายตาผ่อนคลายและไต่สวนเพิ่มเติม
“อาชีพ”
“นักสืบเอกชน” ไคลน์ตอบเถรตรง
จ่าตำรวจเริ่มขมวดคิ้ว
“รู้จักคนตายไหม เขาทำร้ายคุณทำไม”
“รู้จักครับ เขาชื่อเมอซอล เป็นเพชฌฆาตของกลุ่มอันธพาลซีมังเกอ”
ชายหนุ่มรีบเล่าต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถาม
“ผมเพิ่งรับงานจากเอียน·ไรท์ให้ช่วยสืบคดีเกี่ยวกับอดีตนายจ้างตัวเอง เป้าหมายการสืบสวนคือนักสืบเซอเรียล·วิคเตอร์·ลี ยิ่งสืบก็ยิ่งพบว่าเรื่องนี้มีส่วนพัวพันกับกลุ่มอันธพาลซีมังเกอและเมอซอล ผมจึงสะกดรอยตามเมอซอล และพบว่าเขาแอบนัดเจอกับสุภาพบุรุษแต่งกายภูมิฐาน เมอซอลเรียกอีกฝ่ายว่าท่านราชทูต”
ขณะเล่าถึงตรงนี้ ไคลน์ไม่ประหลาดใจเมื่อพบว่าสีหน้าของจ่าตำรวจกำลังตกตะลึง
“ราชทูต…คุณรู้ชื่อไหม” มันถามเสียงทุ้ม
“ไม่ทราบครับ แต่ถ้าได้เห็นภาพถ่ายต้องจำได้แน่”
ชายหนุ่มตอบตามจริง
“ช่วงเช้าของวันนี้ เมอซอลมาพบผมและจ้างให้สืบหาตัวเอียน·ไรท์ แต่เนื่องจากผมเคร่งครัดต่อจรรยาบรรณนักสืบมากจึงปฏิเสธกลับไปอย่างนุ่มนวล เมื่อผมกลับถึงบ้านในช่วงเย็น เมอซอลทำการดักซุ่มภายในบ้านและลงมือลอบทำร้ายจนผมเกือบถึงแก่ความตาย แต่โชคดีว่าเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาบ้าง จึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด”
จ่าตำรวจก้มหน้าไตร่ตรองสักพักก่อนจะถามถึงรายละเอียดการต่อสู้
ไคลน์เริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เปลี่ยนจากนิมิตลางบอกเหตุเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอันว่องไว และเปลี่ยนกระดาษร่างสัญญาเป็นมีดสั้น เมอซอลบังเอิญทำหล่นขณะชุลมุนวุ่นวาย
“เข้าใจแล้ว…แต่คุณต้องตามพวกเรากลับไปสถานีตำรวจเพื่อรอผลชันสูตรศพ ผลตรวจสอบหาหลักฐานรอบบ้าน และผลการสอบปากคำจากละแวกใกล้เคียง”
จ่าตำรวจมองว่าคดีนี้ไม่ซับซ้อนจึงดำเนินการไปตามระเบียบแบบแผน แต่ยังเหลืออีกหนึ่งเรื่องติดค้างในใจมัน
คดีนี้มีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวพันกับราชทูตจากอาณาจักรอื่น! จ่าตำรวจไม่มีทางเลือกนอกจากรีบกลับไปรายงานให้เบื้องบนทราบ
ขณะกำลังประหม่ามันฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญและรีบซักถามไคลน์
“ศาสนา?”
“เทพจักรกลไอน้ำครับ” ไคลน์ตอบไม่ลังเล
สำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันตั้งอยู่ในเขตเชอร์วู้ด ดังนั้นคดีเหนือธรรมชาติจะถูกส่งไปให้ทูตพิพากษาจัดการเกือบทั้งหมด ยกเว้นเงื่อนไขเดียวคือเหยื่อนับถือศาสนาอื่น
เพื่อไม่ให้เผชิญหน้ากับเหยี่ยวราตรี ไคลน์จำเป็นต้องเลิกนับถือเทพธิดารัตติกาลอย่างมิอาจเลี่ยง
…………….