Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1716

Cover Renegade Immortal 1

1716. วางแผนต่อกรเทียนหยุนอีกครั้ง

ด้านนอกรอยแยกอวกาศที่อยู่ในทะเลเมฆา ยังมีอสูรจำนวนมากรวมกันอยู่รอบๆ พวกมันยังไม่ลืมพายุเขตอาคมที่ขับไล่พวกมันออกมาจากรอยแยกอวกาศเมื่อไม่กี่เดือนก่อน อย่างไรก็ตามรอยแยกอวกาศนั้นคือบ้านของพวกมัน การวนเวียนอยู่แถวนี้เป็นเพราะไม่ยอมจากไปไหน

ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งขุ่นเคือง แต่ไม่มีตัวไหนกล้าเข้าไป ดังนั้นจึงได้แต่ส่งเสียงคำรามต่ำ วันนี้เองร่างสีขาวหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากรอยแยก รูปร่างของเขาทำให้เหล่าอสูรล่าถอยทันที

พวกมันสัมผัสถึงกลิ่นอายที่ออกมาจากร่างหวังหลินได้ชัดเจน

เมื่อหวังหลินก้าวออกมาจากรอยแยกอวกาศ สายตากวาดผ่านเหล่าอสูรมากมายแต่ไม่หยุดชะงัก เขาก้าวเท้าและหายตัวไป

จนกระทั่งหวังหลินหายตัวไปนานแล้ว พวกอสูรรอบด้านจึงค่อยๆเข้าไปใกล้ รอยแยกอวกาศ บางส่วนเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง หลังจากพบว่าไม่อันตรายแล้ว ส่วนใหญ่จึงกลับเข้าไปในรอยแยก

หวังหลินทะยานผ่านดวงดาวพร้อมกับมุ่งหน้าออกไป บางครั้งปรากฏตัวขึ้นแต่ก็เลือนหายไปในทันที ไม่นานนักหวังหลินจึงมาถึงปลายขอบของทะเลเมฆา ที่ที่มี แดนสวรรค์แห่งใหม่ตั้งอยู่

แผ่นดินที่ลอยอยู่ด้วยแม่น้ำสีเงินกำลังเรืองแสงเบาบางห่อหุ้มบริเวณ เขตอาคมผันผวนดังกึกก้องจากการที่ปกป้องแดนสวรรค์

สีหน้าท่าทางหวังหลินไม่เยือกเย็นอีกต่อไป ที่นี่คือสถานที่ที่เขาสร้างขึ้นและถือว่าเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งในโลกถ้ำนอกเหนือจากดาวซูซาคุ

มีคนที่เขารู้จักอยู่หลายคนที่นี่ ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งไปได้

‘แม่น้ำสีเงินจากอัญเชิญนทีมีเขตอาคมอยู่จำนวนมาก แต่มันไม่ทรงพลังมากพอ…’ ก่อนหน้านี้หวังหลินไม่ได้มีความสามารถในการทำให้เขตอาคมแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้เขาทำได้แล้ว

หวังหลินไม่ได้เข้าไปในแดนสวรรค์แต่ว่ายืนอยู่ด้านนอก จ้องมองแม่น้ำสีเงินอยู่สักพัก แสงโลหิตแนวนอนที่หายไปจากดวงตาพลันปรากฏขึ้นอีกครั้งและเรืองแสง สีแดงน่ากลัว

หวังหลินยกแขนขวาและสะบัด เส้นโลหิตในดวงตาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าและลอยเข้าหาแม่น้ำสีเงิน

พริบตาเดียวเส้นโลหิตในดวงตาจึงเปล่งประกายพร้อมกับเส้นโลหิตที่อยู่ด้านนอก ราวกับพวกมันเชื่อมต่อกัน ทั้งสองทะยานเข้าหาแม่น้ำสีเงิน

หลังเสร็จสิ้น หวังหลินมองไปที่ดวงดารา เส้นกฏเกณฑ์พร่ามัวปรากฏขึ้น เบื้องหน้าเขา เขาขยับแขนขวาให้เส้นจำนวนมากรวมกันอยู่รอบแม่น้ำสีเงิน

‘แบบนี้น่าจะทำให้แดนสวรรค์ปลอดภัยจากการค้นหาวิญญาณดวงที่สาม!’ หวังหลินขบคิดชั่วขณะและเดินเข้าหาแม่น้ำสีเงิน

เมื่อเข้ามาในแดนสวรรค์ ปรมาจารย์หงซานและคนอื่นจึงสังเกตได้ ทั้งหมดตื่นจากการบ่มเพาะและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ฉิงหลิน ฉิงชุ่ย ซือถูหนาน จ้าวเมฆาใต้และพรรคพวกทั้งหมดลอยขึ้นไปมองดู ร่างสีขาวด้วยรอยยิ้ม

มีอีกหลายคนที่หวังหลินคุ้นหน้าคุ้นตา เมื่อพวกเขาได้เห็นร่างชุดขาวนี้ จึงเผยรอยยิ้มเช่นกัน

หวังหลินมองใบหน้าคนเหล่านี้และเผยรอยยิ้มอบอุ่น เขาเห็นผีเสื้อสีชาดอยู่ข้างฉิงชุ่ย แน่ชัดแล้วว่าพ่อลูกคู่นี้ได้รู้จักกันแล้ว

เขาเห็นฉิงชวงอยู่ด้านหลังฉิงหลิน ห่างออกไปยังมีชายอีกคนที่มองฉิงชวงอย่างเงียบๆ สีหน้าท่าทางซับซ้อนและเศร้าศร้อย แต่ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกพอใจ

เขาคือ โจวยี่

หวังหลินเห็นโจวลี่เช่นกัน ในใจเขานั้นแม้โจวลี่จะเป็นหญิงสาวแล้ว นางก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี เจ้าพยัคฆ์ยังอยู่ข้างกายโจวลี่เหมือนเดิม

หวังหลินกวาดสายตาผ่านทุกคนและยิ้มออกมาเบาๆ

“ข้ากลับมาบ้านแล้ว”

ประโยคนี้ได้เกิดเสียงร้องตะโกนขึ้นในแดนสวรรค์ ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเดิมทีว่างเปล่า แต่มีเผ่าหนึ่งจากแดนสวรรค์โบราณตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ที่แห่งนี้คือ เผ่าแพรฟ้า

ปรมาจารย์เต๋าความฝันกำลังนั่งอยู่ในกระท่อมที่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง เขามองเข้าไปในท้องฟ้าและเผยรอยยิ้ม ลูกสาวของเขาคือ ลี่เฉียนเหมยไม่ได้อยู่ข้างกายแต่กำลังปิดด่านบ่มเพาะ

ปรมาจารย์เต๋าความฝันรู้ดีว่าระดับบ่มเพาะของลี่เฉียนเหมยนั้นอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเขาพาคนของเผ่าแพรฟ้ามาที่นี่ จึงให้นางไปปิดด่านบ่มเพาะเพื่อทำความเข้าใจแก่นแท้ของตัวเอง

หลังจากคุยกับสหายอีกหลายคน หวังหลินก็จากไปพร้อมกับซือถูหนาน โจวลี่ หัวโต ฉือซานและคนอื่นๆ พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในภูเขาทางตอนเหนือ

ช่วงระยะเวลานี้หวังหลินได้มาหาปรมาจารย์เต๋าความฝันอยู่บ้าง พอได้ยินว่า ลี่เฉียนเหมยปิดด่านบ่มเพาะ จึงโล่งอกด้วยเหตุผลบางอย่าง

บางทีเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีถ้าเจอลี่เฉียนเหมย แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่ระหว่างเขาและลี่เฉียนเหมย อาจเป็นความกตัญญูหรือไม่ก็ความรัก

“ความกตัญญูไม่ใช่ความรัก…” คำพูดของลี่เฉียนเหมยดังก้องในหูหวังหลิน

แดนสวรรค์แห่งใหม่นี้เสมือนสรวงสวรรค์ มันห่างไกลจากความขัดแย้งของ คนด้านนอกที่กำลังค้นหาวิญญาณดวงที่สาม เนื่องด้วยหวังหลินกลับมาแล้ว เหล่าเซียนที่นี่จึงมั่นใจขึ้นและดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุข

หวังหลินอาศัยอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง มีบ้านเรียบง่ายอยู่ที่นี่ สถานที่แห่งนี้คือ บ้านของหวังหลิน

โจวลี่ไม่อยากจากไปไหน นางอยู่กับหวังหลินเหมือนลูกสาว นางมักจะมองมาที่หวังหลินเป็นครั้งคราวด้วยสายตาผูกพัน

การมองโจวลี่เติบโตขึ้นมา นอกจากจะได้รับความอบอุ่นแล้ว หวังหลินยังรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ความเจ็บปวดเป็นเพราะเขาคิดถึงลี่มู่หวานและสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่อยู่บนดาวซูซาคุ

เขารู้สึกเหมือนทำผิดกับหวานเอ๋อร์ ความเจ็บปวดนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงเขาที่รู้คนเดียว เป็นสิ่งที่เขามองเห็นได้เท่านั้น และสองพันปีก็ยังพอให้เขาซ่อนได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

มีฉือซานและหัวโตบ่มเพาะอยู่ที่นี่ด้วย การที่หวังหลินชี้จุดผิดพลาดเป็นครั้งคราว พวกเขาจึงได้รับความเข้าใจอย่างมาก หวังหลินคืนโลหิตวิญญาณของหัวโตและปลดปล่อยผนึกทาสเพื่อให้เขาเป็นอิสระ ทว่าหัวโตไม่เลือกจากไปไหน บางครั้งเขาก็มักจะมองไปบนท้องฟ้าด้วยความหดหู่ หวังหลินรู้ว่าหัวโตคิดถึงบ้าน บ้านของเขานั้นไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

ความทรงจำอันเจ็บปวดในวัยเด็กกลายเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเขาและเขาไม่ยอม ละทิ้งมันไป

ฉือซานเป็นคนเรียบง่าย เขาไม่คิดอะไรมาก เขาเพียงต้องการบ่มเพาะเพื่อกลายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอาจารย์เท่านั้น เมื่อใดที่อาจารย์ต้องการเขา เขาจะละทิ้งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตตัวเอง

ส่วนซือถูหนาน มักจะมาดื่มสุรากับหวังหลินตลอดทั้งวันและตบหลังไปด้วย เขาดูมีความสุขมาก เมื่อใดที่ดื่มราวกับลืมความกังวลไปหมดสิ้น

นานๆ ครั้งก็จะดื่มจนเมาและมองหวังหลินด้วยความรู้สึกเศร้า เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเรื่องการเติบโตของหวังหลินแต่เป็นเรื่องที่เขากลายเป็นราชาได้ไม่นาน

โจวยี่เองเข้ามาหาเพียงครั้งเดียว สีหน้าโศกเศร้าของเขายิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีกหลังจากดื่มกับหวังหลิน เขาไม่เคยพูดอะไรสักคำและเพียงแค่ดื่มกับหวังหลินเท่านั้น มองหวังหลินด้วยความภูมิใจและเผยรอยยิ้มแรกก่อนจะพยักหน้าและจากไป

แผ่นหลังของเขาช่างอ้างว้าง เขายังคงพยายามทำให้ฉิงชวงจดจำตัวตนหรือ จำเรื่องราวของเขาได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็ยังเลือกที่จะรอแม้นั่นจะหมายถึงการรอไปทั้งชีวิตก็ตาม

ไม่นานนักหวังหลินจึงได้ใช้เวลาอยู่บนแดนสวรรค์แห่งใหม่นี้ไปหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้เขาได้นำตำหนักเทพที่ได้มาจากแดนสวรรค์อัสนีออกมา นำวิชาเทพข้างในทั้งหมดออกมามอบให้ฉิงหลินและคนอื่นๆ

พวกเขาอยากจะจัดแจงวิชาเทพเหล่านี้เพื่อส่งต่อออกไปทำให้ระดับ ความแข็งแกร่งโดยรวมของแดนสวรรค์เพิ่มพูนขึ้น

ขณะเดียวกันด้านนอกแดนสวรรค์ ความยุ่งเหยิงขนาดยักษ์ค่อยๆ เผยออกมาอย่างช้าๆ สี่ขุนพลได้ใช้วิชาพิเศษเพื่อค้นหาวิญญาณดวงที่สาม รวบรวมพลังของแต่ละคนและใช้โลหิตเทพเข้าช่วยเหลือ ก่อตัวเป็นค่ายกลเพื่อตามหาวิญญาณดวงที่สาม

แน่นอนว่าวิธีพิเศษเหล่านี้มีบางส่วนที่แม้แต่หวังหลินก็ไม่รู้จัก

นอกจากเหล่าทวยเทพที่นำทัพจากสี่ขุนพล ผีเฒ่าจางไม่ขยับเขยื้อนเลย สัมผัสวิญญาณของเขาแค่จับจ้องไปยังสี่ขุนพล เฝ้าดูสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังค้นหา

เขาไม่ได้ซ่อนความคิดของตัวเองเลย สี่ขุนพลรู้สึกได้แต่ก็ไม่สนใจ ดูเหมือนพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างประหลาดกับผีเฒ่าจางและไม่คิดมากเรื่องการถูกสอดแนม

ส่วนเซียนเต๋าสีรุ้ง หลังจากออกมาจากทะเลเมฆา จึงเรียกราชันย์และนางสนมเข้าพบ พวกเขาพุ่งเข้าไปในดินแดนชั้นใน มุ่งหน้าเข้าหาดาราจักรฟ้ากระจ่างและ เริ่มการค้นหาอย่างละเอียด

พวกเขาคล้ายจะใช้วิชารูปแบบหนึ่ง เป็นวิชาที่สร้างขึ้นเนื่องจากการต่อสู้ระหว่างดินแดนชั้นในและดินแดนชั้นนอก การตายของเหล่าเซียนนับไม่ถ้วนได้สร้างโอกาสให้แก่เซียนเต๋าสีรุ้ง

หวังหลินเองก็กำลังค้นหาวิญญาณดวงที่สามเช่นกัน ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาวิธีใช้ใบเรือหน้าผีและการควบคุมวิชามายาข้างใน

มันต้องใช้เวลา แม้เขาจะร้อนใจแต่ก็ไม่มีทางใดที่เร็วกว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการค้นหาวิญญาณดวงที่สามแล้ว ยังมีหนามที่อยู่ในใจหวังหลินซึ่งเขาต้องดึงมันออกไปก่อน!

แม้เขาไม่สามารถดึงมันออกไปได้ เขาก็ต้องรู้ว่าหนามนี้อยู่ที่ไหนและร้ายแรงขนาดไหน!

หนามที่ว่าคือ เทียนหยุน!

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังหลินวางแผนกับเทียนหยุน แต่เป็นครั้งแรกที่เขาจะแก้ไขความยุ่งเหยิงตลอดหนึ่งพันปีนี้เสียที!

‘เทียนหยุน เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน…’ หวังหลินนั่งอยู่นอกบ้านด้วยแววตาส่องสว่าง เขาหลับตาลงและจมดิ่งตัวเองไปในเศษเสี้ยววิญญาณของเทียนหยุนที่เขายังเก็บมาไว้จนถึงตอนนี้

เขาจะใช้วิญญาณดวงนี้เพื่อตามหาว่าร่างดั้งเดิมของเทียนหยุนว่าอยู่ที่ไหนและสังหารเขาซะ!

หากเทียนหยุนยังอยู่ หวังหลินจะรู้สึกไม่สบายใจ คนผู้นี้เป็นตัวแปรสำคัญนอกเหนือจากวิญญาณดวงที่สาม!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version