237. หวัง…หวังหลิน?
รถม้าดอกไม้หลากสีเป็นที่ต้องตาอย่างมากโดยเฉพาะมันจับไปที่แสงอาทิตย์แต่เรื่องน่าขันกว่านั้นก็คือดอกไม้ทั้งหมดที่อยู่บนรถม้าเป็นสมุนไพรวิญญาณหายากในแคว้นจ้าวทั้งสิ้น
นอกจากดอกไม้ก็ยังมีจุดแสงหลายจุดบนรถม้า เมื่อรถม้าเคลื่อนไหวมันาวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทว่าแสงพวกนั้นแตะตามากเหลือเกินหากจ้องตรงๆ
แม้ว่าหวังหลินจะมีความอดทนในจิตใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหวอไปพักหนึ่ง ของเรืองแสงทั้งหมดพวกนั้นคือหินวิญญาณระดับต่ำ
หากไม่ใช่ว่าหินวิญญาณเป็นสิ่งล้ำค่าไม่เช่นนั้นมันคงมีมากมายนัก ถ้าหากหวังหลินเอาหินวิญญาณที่เขาครอบครองทั้งหมดออกมาวางไว้คงจัดเรียงได้เป็นรถม้าหลายร้อยคัน
ทว่าแม้หวังหลินจะอยู่มานานมากเท่าไหร่และพบประสบการณ์มามากแค่ไหน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้…
บุรุษและสตรีรอบๆรถม้าดอกไม้ทั้งหมดต่างหล่อเหลาและน่ารัก แม้ว่าทั้งหมดจะมีระดับขั้นรวบรวมลมปราณระดับสองถึงระดับสาม ความเหย่อยิ่งบนใบหน้าพวกเขามากกว่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดบางคนเสียอีก
เมื่อรถม้าดอกไม้เข้าใกล้ ดวงตาหวังหลินเยือกเย็นขึ้นเมื่อมองเข้าไปในรถม้า
“เซียนอมตะจื่อโม่อยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนหลีกทาง!” หนึ่งในผู้เยาวตะโกนเสียงแหลมขณะจ้องหวังหลินจนมองข้ามร่างที่ลอยเบื้องหลังหวังหลินโดยสิ้นเชิง
“จื่อโม่…” หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย ชื่อนี้รู้สึกคุ้นๆ หลังคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วดวงตาจึงเปล่งประกายพลันเอ่ยออกมา “ผู้เฒ่าจื่อโม่?”
“เจ้ากล้านัก!” ผู้เยาว์เกือบทั้งหมดร้องตะโกนขึ้นในเวลาเดียวกันราวกับฝึกประสานเสียง อาจเป็นเพราะน้ำเสียงแต่ละคนรวมกันจึงเกิดแรงกดดันขึ้นเล็กน้อย
ทว่าสำหรับหวังหลินนับว่ามันเล็กน้อยมาก
“หุบปาก! ทั้งหมดอย่าสามหาว!” น้ำเสียงแหลมคมออกมาจากภายในรถม้า หลังจากนั้นไม่นานพื้นที่ส่วนหน้ารถม้าก็ค่อยๆเปิดขึ้นเผยเป็นเตียงนอนอันงดงาม
บนเตียงนอนนั้นมีร่างหนึ่งนอนอยู่ราวกับภูเขาไขมัน เขามีใบหน้ามันขลับและไขมันที่ดูเหมือนกับไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว เขาห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่มที่ปกคลุมไปด้วยหินวิญญาณระดับกลาง
“เจ้ารู้จักตาเฒ่าคนนี้หรือ?” ชายร่างอ้วนมองไปยังร่างนับไม่ถ้วนเบื้องหลังหวังหลินและขมวดคิ้ว เขาถมขึ้น “สหายเซียน มนุษย์พวกนี้เจ้าสังหารพวกมันทั้งหมดเลยหรือ?” ในสายตาเขา หวังหลินเท่าเทียมกันกับเขาคือมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น ดังนั้นจึงไม่คิดว่าหวังหลินเป็นภัยคุกคาม
จื่อโม่สร้างความวุ่นวายรอบแคว้นจ้าวเป็นเวลานาน หลังจากเขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด นอกจากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายไม่กี่คน เขาไม่คิดว่าจะมีเซียนคนใดที่คุกคามเขาได้เนื่องจากวิชามารที่เขาฝึกฝนมาอย่างหนัก วิธีฝึกฝนนี้คือการอุทิศตนสร้างหุ่นเชิด ดังนั้นแม้ระดับของเขาจะเป็นเพียงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น เขายังมีหุ่นเชิดสองสามตัวที่สร้างจากซากศพเซียนโบราณเหลือไว้
ความจริงจื่อโม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้เป็นเวลานานแล้ว เขาจึงมักจะมองหาสิ่งที่เหมือนกับผีดิบเพื่อปรับแต่งมัน
หวังหลินยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เขาสะบัดแขนขวาและคว้าศีรษะหนึ่งมาจากธงมังกรเบื้องหลัง “ท่านรู้จักคนผู้นี้ไหม?”
เฒ่าชราจื่อโม่ตกตะลึง เดิมทีเขาคิดแค่ว่าคนผู้นี้เป็นเพียงแค่เซียนที่สังหารกลุ่มคนธรรมดาเท่านั้น เขามองไปที่ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและยากนักที่จะระบุตัวตนได้ หลังมองสักพักดวงตาพลันเบิกกว้างและเอ่ยขึ้นทันที “เถิงเก๋า?”
เถิงเก๋าเป็นคนของตระกูลเถิงที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในหุบเขาหวู่เฟิง เขากำลังจะเป็นจ้าวสำนักคนถัดไปแล้วอีกทั้งยังได้รับความสนใจอย่างมากจากเถิงฮว่าหยวน เนื่องจากแคว้นจ้าวเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ จื่อโม่จึงรู้จักคนมีชื่อเสียงพวกนี้บ้าง
จากนั้นเขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมา พลันมองดูร่างทั้งหมดนั้นอย่างระมัดระวัง หลังตรวจสอบใบหน้าจึงบูดบึ้งมากกว่าเดิม กองศพนี้มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เขาสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บเข้าไปเต็มปอดขณะจ้องหวังหลินและถามอย่างช้าๆ “คนพวกนี้ทั้งหมดมาจากตระกูลเถิงงั้นหรือ?” ทันใดนั้นเขาระมัดระวังมากและไม่กล้ามองลงไปบนชายคนนี้ แม้ว่าคนของตระกูลเถิงที่ถูกสังหารไม่ได้แข็งแกร่งนัก หากคนผู้นี้กล้าสังหารคนตระกูลเถิงไปมากมายเช่นนี้ คงค่อนข้างไร้สมองหรือไม่งั้นก็มีความยโสเกินกว่าที่จะกลัวเถิงฮว่าหยวน
เขาตัดสินใจได้ทันทีว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่เขาจะก่อความลำบากใจให้ได้ เถิงฮว่าหยวนบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายแล้วและตระกูลเถิงเต็มไปด้วยเซียนที่แข็งแกร่ง ทว่าคนคนนี้ยังไม่ใส่ใจ แน่ชัดแล้วว่าคนผู้นี้กำลังเหยียดหยามตระกูลเถิงและจื่อโม่ไม่ต้องการยุ่งยากกับคนบ้าเช่นนี้
ใบหน้าจื่อโม่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันทีขณะเอ่ยขึ้น “เยี่ยมมาก! ตาแก่คนนี้ก็เห็นว่าตระกูลเถิงเป็นสิ่งน่ารำคาญเช่นกัน สหายเซียนสังหารได้ดีมาก….สังหารต่อไป! ข้ามีบางสิ่งต้องทำ เช่นนั้นขอตัวก่อน” พร้อมกันนั้นเขาพยายามปรับขบวนรถม้าเพื่อไปให้ไกลจากอสูรร้ายตนนี้
แววตาหวังหลินเยือกเย็นพลันเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านอยากรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงต้องสังหารคนตระกูลเถิง?”
ร่างจื่อโม่สั่นสะท้าน เขาสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นและเอ่ยออกมา “ข้าไม่ต้องการรู้ สหายเซียน ลาก่อนนะ!” จบคำพูดเขาเริ่มจะหนีออกไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ กระทั่งผู้เยาวบุรุษและสตรีเบื้องหลังเขายังมาคุ้มกัน
หวังหลินไม่ได้หยุดเขาแต่ตบกระเป๋าและนำธงกฎเกณฑ์ออกมา เพียงสะบัดธงหนึ่งครั้งมันก็ปกคลุมพื้นที่ในรัศมีหนึ่งพันลี้
ใบหน้าจื่อโม่เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที เขาจ้องหวังหลินและเห่าหอน “นี่หมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่ได้ยุ่งกับเจ้าหรือตระกูลเถิง! ระดับฝึกฝนของเจ้าก็เหมือนกับข้า อย่าคิดว่าข้าไม่กลัวเจ้านะ!”
หวังหลินมองจื่อโม่ด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขายิ้มแดกดันและเอ่ยขึ้น “สี่ร้อยปีก่อนศิษย์อายุน้อยที่สุดของท่านตายฉับพลัน ท่านยังจำได้ไหม?”
เมื่อจื่อโม่ได้ยินเช่นนั้นเขาตกตะลึงทันที แต่ในไม่นานจึงกลับมาเหมือนเดิมและจ้องหวังหลินโดยไร้คำพูด
หวังหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเชื่องช้า “ศิษย์น้อยของท่านคนนั้นถูกข้าสังหารและเขามีชื่อว่าจางฮู่ ซึ่งมาจากสำนักเดียวกันกับข้า”
ใบหน้าอ้วนเป่งของจื่อโม่บิดเบี้ยวขณะแกล้งยิ้ม “เจ้าสังหารเขาหรือ? โอ้ก็ดีสิ ตาเฒ่าคนนี้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ร้อยปีก่อนนู้นไปหมดแล้ว”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่ฝ่ามืออยู่ในกระเป๋าเรียบร้อย ควันสีดำโผล่ออกมาถัดจากเขาเป็นสี่ทาง
ในช่องว่างระหว่างควันเป็นร่างหุ่นเชิดหนึ่งร่าง ปกติแล้วเวลาที่จื่อโม่ต่อสู้ เขาไม่ได้กระตุ้นให้ถึงจุดนี้เลยซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาหวาดกลัวหวังหลินแค่ไหน
หุ่นเชิดแต่ละตนมีระดับฝึกฝนใกล้เคียงกับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นแต่หวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจและเอ่ยขึ้นมา “หลังจากนั้นจางฮู่และข้าถูกเถิงลี่ไล่ล่า ข้าเชื่อว่าท่านควรจะจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”
จื่อโม่มีใบหน้ายุ่งเหยิง หลังผ่านไปสักพักเขาถอนหายใจและเอ่ยตอบ “แท้จริงแล้ว ข้า…” ขณะที่กำลังจะพูด ดวงตาเขาพลันเปล่งแสงและร่างอ้วนกระโดดออกมาจากรถม้าพร้อมกับเหาะเหินไปด้านหลัง พลันพ่นหยดโลหิตลงบนหุ่นเชิดทั้งสี่ตัว
หุ่นเชิดทั้งสี่พลันลืมตาสีแดงเถือก พวกมันคำรามร้องราวกับสัตว์ป่าพร้อมกับพุ่งเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินมีใบหน้าสงบนิ่งขณะที่แขนขวาสร้างผนึกหนึ่งอย่างและตะโกน “หยุด!”
ทันใดนั้นกฎเกณฑ์แปดรูปปรากฎอออกมาจากเงามืด ปกคลุมพื้นที่และล้อมรอบหุ่นเชิดทั้งสี่ หวังหลินเหาะเหินเข้าหาจื่อโม่ด้วยท่าทีสบายๆ
แม้ว่าจื่อโม่จะอ้วนแต่เขาไม่ได้ช้า เขาเหาะหนีอย่างรวดเร็วและกระทั่งเคลื่อนย้ายพริบตาเพื่อหลบหนี แต่ไม่ว่าจะพยายามหนีแค่ไหน หวังหลินก็มักจะมาปรากฎตัวเบื้องหลังเขาเสมอ
จื่อโม่กัดฟันแน่นและหยุดเคลื่อนไหว เขาสสรส้างผนึกและร่างกายสั่นสะท้าน ร่างอ้วนของเขาเริ่มเคลื่อนไหวประหลาด ดูเหมือนจะดูดซับร่างกายช้าๆจนผอมลง ส่วนไขมันที่ถูกดูดซับไปกลายเป็นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เส้นผมปลิวไสวและพลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ระดับฝึกฝนของเขาเลื่อนจากระดับต้นไปสู่ระดับกลางทันที
ในท้ายสุดคนเบื้องหน้าหวังหลินคือชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแรงกำยำ เขาดูหล่อเหลามาก คิ้วดกหนา ดวงตากลมโตและเปล่งกลิ่นอายแข็งแกร่ง
ระดับฝึกฝนของเขาพุ่งขึ้นไปสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางสูงสุด ห่างระดับปลายเพียงก้าวเดียว
เขาจ้องหวังหลินและเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “เจ้าควรจะรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนแรกที่เห็นร่างจริงของข้านับตั้งแต่ที่บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมา มีเซียนจำนวนหนึ่งอยู่แถวนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่เต็มใจสังหารเจ้า หากเจ้ามีเวลาอีกแปดสิบถึงร้อยปี เจ้าอาจจะมาถึงจุดนี้ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน หากเจ้าตัดแขนข้างนึงของเจ้าออกข้าจะให้เวลาเจ้าร้อยปี ข้าหวังว่าในหนึ่งร้อยปีเจ้าจะเติบโตจนมีพลังแข็งแกร่งพอจะสู้กับข้าได้!”
หลังจื่อโม่พูดจบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจ ฝ่ามือทั้งสองไขว้หลังและศีรษะเชิดขึ้นเหนือท้องฟ้า ร่างกายที่เผยออกมาดูราวกับคนที่ไม่มีทางแพ้และแฝงความโดดเดี่ยว
หลังจากถอนหายใจหนึ่งครา เขาชำเลืองมองหวังหลินจากนั้นค่อยๆจากไป เมื่อห่างไปได้หนึ่งร้อยเมตรจึงเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นและหนีออกไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง
ใบหน้าหวังหลินเผยท่าทางพิลึก ดวงตาเรืองแสงสีแดงขณะที่ขอบเขตจวี่เคลื่อนไหวทันทีและสายฟ้าสีแดงพุ่งออกจากดวงตา
ไม่ต้องคาดเดา สายตาจื่อโม่หมองลงขณะที่เขาเผยใบหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นร่างกายหล่นลงจากท้องฟ้าและภายใต้การโจมตีของกฎเกณฑ์หลายชุด ร่างกายจึงฉีกขาดออกจากกัน ในเวลาเดียวกันกระเป๋าของเขาก็ลอยเข้าสู่ฝ่ามือหวังหลิน
ร่างหวังหลินกระพริบวาบและหายตัวไป เขาปรากฎตัวอีกครั้งถัดจากหุ่นเชิดทั้งสี่ ตอนที่จื่อโม่ตาย หุ่นเชิดก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว
หวังหลินมองพวกมันหลายครั้งและคิดขึ้นชั่วขณะ เขาค้นหาในกระเป๋าของจื่อโม่และเริ่มตรวจสอบหินหยกทั้งหมดข้างใน เวลาผ่านไปสักพักเขาพบหินหยกที่มีวิธีปรับแต่งหุ่นเชิดอยู่
เมื่ออ่านหินหยก ฝ่ามือหวังหลินสร้างผนึกตามคำแนะนำเบื้องต้นและให้ผนึกพุ่งใส่หน้าผากของหุ่นเชิด ทันใดนั้นหุ่นเชิดกลายเป็นควันและเข้าไปในกระเป๋า
จากนั้นหวังหลินเก็บกระเป๋าไว้ เขาก้าวขึ้นไปบนอสูรยุงและมุ่งหน้าเข้าหาสำนักเฮฮวนอย่างรวดเร็ว
ภายในสำนักเฮฮวนมีหัวหน้าบรรพชนชื่อว่าหยิงหยาง เขามีใบหน้ามืดหม่นขณะที่เดินกลับมาและเข้าไปในโถงหลักพร้อมกับแขนกุมไว้เบื้องหลัง เขาไม่สามารถตัดสินใจได้
ในห้องโถงหลักมีอีกสามคน สองสตรีและหนึ่งบุรุษ ผู้ชายหน้าตาดีมากและผู้หญิงก็สวยงามมากเช่นกัน ทั้งสามคนเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมด พวกเขาต่างขมวดคิ้วและไม่อาจตัดสินใจได้เช่นกัน
สตรีหนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีเหลืองน่ายั่วยวน นางเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ศิษย์พี่ เซียนคนนั้นเป็นขั้นตัดวิญญาณจริงๆใช่ไหม? ศิษย์น้องไม่เชื่อเช่นนั้น”
ชุดของสตรีคนนี้รัดแน่นมากจนเผยส่วนเว้าส่วนโค้งจนทำให้ใครหลายคนใจเต้นรัว หากนางไม่ขมวดคิ้วจะยิ่งมีเสน่ห์มากกว่านี้
หยิงหยางส่งเสียงอ่อนโยน “ภูเขาเหลืองของสำนักเทียนต้าวมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นและเขาตายเพียงโดนคนผู้นี้มองครั้งเดียว กล่าวได้ว่าเขาอยู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่ไม่อาจดูแคลนได้”
สตรีสวมชุดสีเหลืองเงียบกริบและนางขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น
ชายวัยกลางคนที่เงียบอยู่พลันเอ่ยออกมา “ศิษย์พี่ เราจะเตะคนตระกูลเถิงทั้งหมดออกจากสำนักได้อย่างไร? หากเราทำเช่นนั้น พวกเซียนนั่นจะไม่มีเหตุผลที่จะมาสำนักเฮฮวนของเราแน่”
หยิงหยางลูบขมับตนเองและเอ่ยขึ้น “นั่นไม่ได้หมายความว่าเรากำลังสร้างศัตรูกับตระกูลเถิงหรือ? แม้ว่าทั้งข้าและเถิงฮว่าหยวนจะมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายเช่นกัน แต่ข้ารู้ว่าถ้าสู่กันข้าไม่อาจเปรียบเขาได้”
ทั้งห้องโถงเงียบกริบ ผ่านไปสักพักดวงตาหยิงหยางส่องแสงขึ้นราวกับตัดสินใจได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงมืดหม่น “โจรเฒ่าพั่วหนานจื่อนั่นยังไม่ปรากฎตัว ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องมีบางสิ่งผิดปกติ ช่างเถอะ เถิงฮว่าหยวนรับความเสียใจได้อยู่แล้ว หากเราส่งตัวคนตระกูลเถิงออกไปตอนนี้และเถิงฮว่าหยวนไม่ตาย เช่นนั้นปัญหาของเราจะดำเนินต่อไป ศิษย์น้องจงส่งคำสั่งออกไปเพื่อเปิดค่ายกลป้องกันทั้งหมด ข้าจะควบคุมโดยเฉพาะ เราต้องขับคนผู้นั้นให้ออกห่างไปให้ได้”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า เขาลังเลและเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ หากเถิงฮว่าหยวน….ตายในตอนท้ายเล่า?”
ดวงตาหยิงหยางส่องสว่างขึ้นและเขาหัวเราะ “อย่าดูแคลนพั่วหนานจื่อ เขาจะแทรกแทรงแน่นอน หากระดับฝึกฝนของเขาไม่สูงพอ แล้วคนที่อยู่หอคอยสวรรค์ยังไม่พอหรือ?”
ชายวัยกลางคนตกตะลึง เขาเผยใบหน้าเข้าใจและตกลง
ขณะเดียวกันภายในสำนักเฮเฮวน ชายวัยกลางคนดูเหนื่อยอ่อนออกมาจากห้องพร้อมกับไอกระปอดกระแปด เขาถือกองเสื้อผ้าพร้อมกับเดินออกมาช้าๆ
แม้เขาจะวัยกลางคนแต่เส้นผมทั้งหมดของเขาเป็นสีขาวและเดินไม่ค่อยตรงแล้ว เสียงระฆังดังกังวาลั้งสำนัก เก้าครั้งหมายถึงศิษย์สำนักเฮฮวนทั้งหมดต้องรวมกันภายในสามสิบนาทีไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษ
ตอนที่เขาได้ยินเสียงระฆังครั้งแรก เขาไม่ได้สนใจสักแต่หลังจากได้ยินครั้งที่เก้า เขาตกตะลึงขณะที่มองตรงไปที่ห้องโถงหลัก เขาอยู่สำนักเฮฮวนมานานแล้วและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงระฆังดังถึงเก้าครั้ง
เขาลังเลครู่หนึ่งและวิ่งตรงไปที่โถงหลักพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ ทว่าเขาอ่อนแอเกินไป เขาเริ่มหายใจหนักหลังจากก้าวเพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อตอนที่เขาถึงห้องโถงหลัก คนอื่นๆทั้งหมดของสำนักเฮฮวนต่างนั่งขัดสมาธิตรงลานสี่เหลี่ยมนอกห้องโถง
สี่เหลี่ยมปกคลุมไปด้วยศิษย์นับไม่ถ้วน แม้กระทั่งลานกว้างที่อยู่ใกล้ๆยังเต็มไปด้วยศิษย์สำนักเฮฮวน
ข้างใต้ศิษย์แต่ละคนมีวงแหวนแสงบางๆ
ชายวัยกลางคนพบวงแหวนแสงอย่างรวดเร็วพร้อมกับนั่งลง หลังจากสูดหายใจลึกหนึ่งครั้งเขาพลันได้ยินเสียงเพื่อนๆตะโกนขึ้นดังนั้นจึงหันกลับไปและเห็นทุกคนมองขึ้นไปเบื้องบน เมื่อเขามองขึ้นไปเช่นกันพลันตกตะลึง
ท้องฟ้าเหนือสำนักเฮฮวนมีอสูรโหดร้ายปรากฎตัวขึ้น อสูรตัวนี้มีจุดเด่นที่งวงของมันซึ่งถือด้ายผูกกับธงที่มีร่างนับไม่ถ้วนพันกันไว้บนนั้น
เหนือหัวอสูรตนนั้นมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ผมศีรษะบนหัวมีสีขาวทุกเส้น แม้เขาจะดูธรรมดาแต่กลับเปล่งจิตสังหารแข็งแกร่งอย่างมาก
หลังชายวัยกลางคนเห็นคนผู้นั้นจึงขมวดคิ้ว เขารู้สึกราวกับเคยเห็นเขามาก่อนแต่นึกไม่ออก
หวังหลินมองสำนักเฮฮวนเบื้องล่างเขา เขาสัมผัสได้ว่ามีค่ายกลป้องกันหนึ่งที่แข็งแกร่งมากกว่าหุบเขาหวู่เฟิงและสำนักเทียนต้าวมากมายนัก
ค่ายกลป้องกันนี้ทรงพลังอย่างมาก มันคงยากนักที่จะทำลายในเวลาอันสั้นเว้นแต่ว่าเขาจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
สิ่งสำคัญของค่ายกลก็คือตราบใดที่ศิษย์สำนักเฮฮวนอยู่ในวงแหวน พวกเขาจะเป็นพลังงานให้ค่ายกลโดยอัตโนมัติ สำนักเฮฮวนมีศิษย์หลายพันคน ดังนั้นการทะลวงผ่านค่ายกลก็เหมือนกับต่อสู้กับผู้คนนับพัน
คนของตระกูลเถิงอยู่ในห้องโถงหลัก ชัดเจนแล้วว่าสำนักเฮฮวนจะต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย ดวงตาหวังหลินหวาดผ่านพื้นดินอย่างสงบนิ่ง สายตามองลงไปบนชายชราผู้หนึ่งพลันพูดกับเขา “หากท่านไม่เปิดค่ายกลนี้ สายธารโลหิตจะหลั่งไหลที่นี่”
ชายชราคนนั้นคือหยิงหยาง หลังจากเขาเห็นหวังหลินจึงขมวดคิ้วมากกว่าเดิมและถามขึ้น “สหายเซียน ท่านอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?”
หวังหลินเยาะเย้ยและสายฟ้าแดงปรากฎในดวงตา แม้ว่าค่ายกลนี้จะแข็งแกร่ง หากคนที่ค้ำจุนค่ายกลนี้ตายทุกคน เช่นนั้นมันก็จะแตกสลายด้วยตัวเอง
ขอบเขตจวี่พุ่งออกมาเป็นประกายสายฟ้าสีแดงและร่อนลงบนค่ายกล ค่ายกลกระทั่งไม่สั่นไหวแต่หยิงหยางตกใจ
ไม่นานนักศิษย์มากกว่าสิบคนบนพื้นกรีดร้องอย่างโหยหวนพร้อมกับโลหิตออกจากทวารทั้งหมดและตายไป พวกเขาตกลงบนพื้นและวงแหวนแสงเบื้องล่างสว่างขึ้นและหายไป
หวังหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านจะเปิดค่ายกลอยู่ใช่ไหม?”
หยิงหยางหัวเราะในใจและไม่ได้พูดออกมา
ขอบเขตจวี่เคลื่อนไหวอีกครั้ง คราวนี้สายฟ้าแดงสิบเส้นกระแทกใส่ค่ายกล มีศิษย์มากกว่าร้อยคนไอออกมาเป็นโลหิต ร่างกายบิดงอสองสามครั้งก่อนที่จะตาย
ความรู้สึกกลัวพลันกระจายเข้าใส่เหล่าศิษญ์ที่เหลือ
หวังหลินมองหยิงหยางอย่างเยือกเย็นและถามขึ้น “ท่านจะเปิดค่ายกลอยู่ใช่ไหม?”
ใบหน้าหยิงหยางบูดบึ้งและเงียบเสียง เขานั่งลงและเริ่มส่งพลังปราณเข้าสู่ค่ายกล เซียนขั้นวิญญาณแรกกเนิดอีกสามคนกัดฟันกรามแน่นพร้อมกับนั่งลงไปด้วย
ทันใดนั้นสายฟ้าแดงมากกว่าร้อยเส้นปรากฎขึ้นและกระแทกเข้าใส่ค่ายกล ในขณะเดียวกันที่จัตุรัสนอกห้องโถง ร่างศิษย์มากกว่าหนึ่งพันร่างระเบิดเป็นหมอกโลหิต ศิษย์ที่เหลืออยู่ไม่กล้าอยู่ต่อ พวกเขาทั้งหมดออกจากวงแหวนแสงและวิ่งหนีไปให้ไกล เมินเฉยเสียงตะโกนของเหล่าอาวุโส
น้ำเสียงหวังหลินเอ่ยออกมาช้าๆอีกครั้ง “ท่านจะเปิดค่ายกลอยู่ใช่ไหม?”
หยิงหยางไอออกมาเป็นโลหิต ใบหน้ามีสีแดงและสีน้ำเงินขณะที่ต่อสู้กับการตัดสินใจของตนเอง เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกสามคนร่างกายซวนเซ ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาบาดเจ็บ
หวังหลินสูดหายใจลึกและนำขวดหยกออกมาจากกระเป๋า หลังจากบีบขวดแล้ววิญญาณเซียนสามดวงปรากฎขึ้นในสายตาทุกคน เขากลืนพวกมันทีละดวง จากนั้นแววตาเรืองแสงสีแดงขณะที่ยกแขนขวาขึ้นและบอลสายฟ้าแดงรวบรวมเข้ามา
บอลสายฟ้านี้สร้างขึ้นจากขอบเขตจวี่อันบริสุทธิ์ หลังจากบอลมีขนาดเท่ากำปั้น มันค่อยๆลงไปข้างล่าง
หยิงหยางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเห็นใครกินวิญญาณเซียนเหมือนกับเม็ดยา ขณะที่เขาจ้องบอลสายฟ้าแดงที่กำลังลอยลงไปจึงตะโกนขึ้นทันที “สหายเซียนโปรดหยุด! ข้าจะเปิดมัน! ข้าจะเปิดมัน! ข้าจะไม่สนใจตระกูลเถิงอีกแล้ว!”
เช่นนั้นเขายืนขึ้นนำหินหยกออกมาและส่งพลังปราณเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ค่ายกลที่ปกป้องสำนักเฮฮวนหายไปก่อนที่บอลสายฟ้าแดงจะร่อนไปถึง
หยิงหยางปาดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากตนเอง หลังเปิดค่ายกลจึงกลายเป็นใจกว้างและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ตระกูลเถิงทุกคนอยู่ในห้องโถงหลัก”
หวังหลินไม่แม้แต่มองเขาขณะที่เดินเข้าไปในห้องโถงหลัก ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแต่กลิ่นโลหิตค่อยๆรั่วไหล
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังหลินเดินออกมาอย่างใจเย็น เขาสะบัดแขนและธงมังกรที่ติดอยู่กับอสูรยุงพลันเข้าไปในโถงหลักและจับเอาร่างหลายร้อยออกมา
ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวและเกลียดชัง
คนทั้งหมดนี้ต่างเป็นผู้เยาว์ หากหวังหลินไม่อยู่ที่นี่ บางคนได้กลายเป็นเซียนขั้นแกนลมปราณเป็นแน่และอาจกระทั่งถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
ทว่าพวกเขาไม่ควรมีชื่อ เถิง!
กล่าวให้ดีกว่านี้ก็คือเถิงลี่ไม่ควรจะพยายามสังหารหวังหลิน ก้าวผิดไปก้าวเดียวและทุกก้าวหลังจากนั้นผิดไปหมด หากเถิงลี่รู้เรื่องนี้ เขาคงไม่ต้องไล่ล่าสังหารหวังหลิน
หรือหากเถิงฮว่าหยวนไม่สังหารตระกูลหวังหลินทั้งตระกูล เช่นนั้นหวังหลินคงไม่มาที่นี่เพื่อแก้แค้น เพราะเขาไม่จำเป็นต้องแก้แค้น
หวังหลินสังหารเถิงลี่ เถิงฮว่าหยวนสังหารหวังหลิน เช่นนั้นหนีของพวกเขาถือว่าหายกันแล้ว หวังหลินไม่ได้มาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้ตัวเอง แต่เพื่อตระกูลของเขา
ขณะที่หวังหลินเตรียมตัวจะไป เสียงเรียกอันเบาบางพลันออกมาจากจัตุรัสกลาง “หวังหลิน?” เสียงเรียกนี้เบามากและเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ