377. รวบรวมวิญญาณ
หวังหลินมองนางที่กำลังลอยเข้าไปในพื้นที่ด้านในของสำนักหลอมวิญญาณ
“คนผู้นี้ช่างคุ้นเคยเล็กน้อย…” หวังหลินมองอีกครั้งและขบคิดแต่เขานึกไม่ออกว่าเจอคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อน
หวังหลินลอยตัวลงจากภูเขาและมาถึงด้านหน้าสิ่งก่อสร้างใกล้กับใจกลางเทือกเขา
ชายวัยกลางคนตอนนี้กำลังหลับตาบ่มเพาะอยู่ เมื่อหวังหลินร่อนลงไปถึงจึงชำเลืองมองหวังหลินอย่างลวกๆแต่จากนั้นดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจทันทีและเบิกตากว้างไปที่หวังหลิน
“เอ๊ะ!! เจ้าบรรลุระดับกลางแล้ว!” ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
หวังหลินลอบถอนหายใจ เพราะวิญญาณดั้งเดิมพังทลายจึงไม่สามารถซ่อนระดับฝึกคนได้ดังนั้นเซียนขั้นแกนลมปราณจึงสามารถมองระดับของเขาออก
หวังหลินลอบคิด ‘ข้าต้องฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมให้โดยเร็วไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาในอนาคต’ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ศิษย์อยู่ปลายขอบอยู่แล้วและเพราะที่นี่มีพลังปราณมากมายข้าจึงโชคดีทะลวงผ่านระดับกลางไปได้”
สีหน้าชายวัยกลางคนไม่เปลี่ยนไปแต่เริ่มขบคิด สิ่งที่หวังหลินพูดไม่ถือว่าแปลกแต่ความเร็วการบ่มเพาะถือว่าเร็วเกินไปหน่อย
เขามองดูหวังหลินด้วยความหวังดี หลังจากนึกได้ว่าหวังหลินเป็นใครจึงเอ่ยถาม “ทำไมเจ้ามาที่นี่?”
หวังหลินคำนับฝ่ามือ “ศิษย์ต้องการเปลี่ยนถ้ำให้มีพลังปราณมากขึ้น”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “เซียนไม่ควรโลภมากเกินไป ความเร็วการฝึกฝนของเจ้าถือว่าเร็วเกินไปดังนั้นพื้นฐานของเจ้าไม่มั่นคง หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไปเจ้าจะไม่สามารถบรรลุขั้นแกนลมปราณได้ตลอดชีวิต!”
หวังหลินครุ่นคิดและเอ่ยตอบ “ศิษย์เข้าใจแต่ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะตกลง”
เขามองดูหวังหลินและพลางกล่าวว่า “เมื่อเจ้ายืนยันข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่การเปลี่ยนป้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งหินวิญญาณระดับกลาง”
หวังหลินยิ้มอย่างเจ็บปวด เขายื่นหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อนให้อย่างปวดร้าว
ชายวัยกลางคนรับหินวิญญาณและเอ่ยขึ้น “ส่งป้ายสิทธิ์ของเจ้ามา”
หวังหลินยื่นออกไป หลังชายวัยกลางคนเก็บไปเขานำอีกอันใหม่ให้มาและเอ่ยขึ้น “ยิ่งตัวเลขน้อยก็ยิ่งมีพลังปราณข้างในมากขึ้น” สิ้นคำเขาโยนป้ายสิทธิ์ให้หวังหลิน
หลังรับเอาไว้เขาเห็นเลขบนนั้นคือ 803 จากนั้นขอบคุณเขาก่อนจะจากไป
จนกว่าหวังหลินจะลับสายตาไป ชายวัยกลางคนแววตาส่องสว่างขึ้นและพึมพำกับตนเอง “ประหลาดนัก” จากนั้นเขาเหาะเหินไปยังถ้ำ 1090
พริบตาเดียวเขาก็มาถึงถ้ำเรียบร้อย เมื่อค้นถ้ำอยู่สักพักแต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติจากนั้นเริ่มครุ่นคิด
“หรือข้าจะหวาดระแวงเกินไป? หรือเขาเพียงแค่อยู่ขอบการทะลวงด่านจริงๆซึ่งทำให้ระดับฝึกฝนเป็นไปได้เร็วเช่นนั้น?” ชายวัยกลางคนขคิดและเดินออกมาจากถ้ำ เขาตัดสินใจจะให้ความสนใจเฉียนมู่เพิ่มขึ้นอีก
หวังหลินเหาะเหินตามภูเขาพร้อมกับป้ายสิทธิ์จนพบถ้ำที่ 803 ขนาดของถ้ำเท่ากับห้องเดิมแต่ใจกลางถ้ำเป็นค่ายกลเล็กๆ
ค่ายกลนี้ซับซ้อนมาก มันให้ความรู้สึกว่าไม่ใช่ของจริง
หลังจากหวังหลินเข้ามาในถ้ำ สายตาตกลงบนค่ายกล เขามองมันชั่วครู่และพบว่าความจริงเป็นแค่ค่ายกลรวบรวมพลังปราณอย่างง่ายๆ
ไม่มีความจำเป็นใดที่จะเพิ่มมันเข้าไป ชัดเจนแล้วว่าเพื่อป้องกันไม่ให้คนระบุจุดประสงค์ของค่ายกลได้
จุดประสงค์ของค่ายกลนี้ก็คือการรวบรวมพลังปราณเพื่อสร้างพื้นที่ที่มีพลังปราณหนาแน่น ทว่าค่ายกลนี้ต้องใช้ดวงตาสายแร่วิญญาณชั้นยอดไม่เช่นนั้นมันจะไม่มีผลอะไร
ดวงตาสายแร่วิญญาณเป็นเสมือนจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์
“ที่แห่งนี้ไม่ถือว่าเป็นดวงตาสายแร่วิญญาณ ดังนั้นมันต้องเป็นของเทียม!” หวังหลินมองมันชั่วครู่และพบกับความลับ
แม้ว่าระดับฝึกฝนของเขาจะถูกผนึกด้วยเขตแดนและผนึก เขาเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณ ด้วยประสบการณ์ห้าร้อยปีเขาสามารถมองผ่านค่ายกลได้ทันที
กล่าวได้ว่าแม้กระทั่งเหล่าเซียนขั้นแกนลมปราณก็ยากนักที่จะมองผ่านค่ายกลนี้ได้ มีเพียงแค่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่สามารถมองเห็นแต่มันก็ยากมากที่จะเข้าใจ
โดยเฉพาะเรื่องที่มันมีหลายอย่างเพิ่มไปบนค่ายกลมากเกินไปจนยากที่จะมองออก
นอกจากนั้นแล้วการที่สำนักหลอมวิญญาณได้เปลี่ยนทั้งภูเขานี้ไปเป็นถ้ำสำหรับศิษย์สายนอก พวกเขาต้องมีมาตรการในการป้องกันผู้คนไม่ให้มองผ่านค่ายกลออกด้วย
อย่างไรก็ตามบรรพชนสำนักหลอมวิญญาณไม่เคยคิดว่าจะมีเซียนขั้นตัดวิญญาณอยู่ในภูเขาของเหล่าศิษย์สายนอก
หวังหลินแววตาสว่างขึ้นและขยับฝ่ามือไปเหนือค่ายกลเพื่อค้นหาว่ามีค่ายกลอันซับซ้อนอีกหรือไม้ข้างใต้นี้
เขามองดูและคิดขึ้น ‘ข้าเชื่อว่าค่ายกลนี้คือหนึ่งในดวงตาสายแร่วิญญาณเทียมที่สร้างขึ้นโดยเชื่อมกับของจริง’
หวังหลินขบคิดก่อนจะเปลี่ยนค่ายกลให้กลับคืนสู่ปกติ เขานั่งลงในท่านั่งดอกบัวและวางกฎเกณฑ์บนผนังอีกครั้ง จากนั้นนำหินวิญญาณระดับสูงออกมาสามก้อนพร้อมกับบ่มเพาะอีกครั้ง
พลังปราณที่นี่มีความหนาแน่นมากกว่าในห้อง 1090 หลายเท่า ที่นี่แห่งนี้ยังมีค่ายกลรวบรวมพลังปราณพร้อมกับค่ายกลที่ดึงสายแร่วิญญาณเพื่อสร้างดวงตาสายแร่วิญญาณเทียมขึ้นอีก พลังปราณที่นี่จึงหนาแน่นโดยธรรมชาติ
เมื่อรวมกับหินวิญญาณระดับสูงสามก้อน พลังปราณที่มีความหนาแน่นที่นี่บรรลุถึงระดับอันน่ากลัว แม้แต่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมาเห็นสิ่งนี้พวกเขาคงขโมยมันโดยไม่ลังเล
การบ่มเพาะที่นี่ระดับการฝึกฝนของเขาจึงเพิ่มขึ้นมหาศาล
หวังหลินจมดิ่งตัวเองไปกับการบ่มเพาะและหลงลืมเวลา ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำค้างแข็งพลังปราณ
เมื่อพลังปราณมีความหนาแน่นถึงจุดหนึ่งและไม่สามารถออกไปไหนได้มันจะควบแน่นกลายเป็นน้ำค้างแข็งสีฟ้า ตอนนี้ทั้งถ้ำถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งสีฟ้านี้ทำให้มันดูสวยงามอย่างยิ่ง
มีพลังปราณรวบรวมบนร่างหวังหลินมากขึ้น มองไกลๆแล้วจะดูคล้ายกับเป็นคนร่างสีฟ้า ทว่ารอยแผลบนใบหน้ายังคงลึกมากและดูน่ากลัวยิ่งนัก
พลังปราณค่อยๆรวบรวมในร่างกายหวังหลิน ทว่าขณะเดียกันเขตแดนแห่งชาและผนึกก็ดูดซับพลังปราณและแปรเปลี่ยนเป็นเหนียวแน่นมากกว่าเดิม ตอนนี้มันมีความแข็งแรงมากกว่าก่อนหลายเท่า
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและหวังหลินปิดด่านฝึกตนอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว
ในเวลาสองเดือนนี้ร่างหวังหลินไม่ขยับแม้เพียงหนึ่งนิ้ว เขาใช้เวลาทั้งหมดเพื่อเพิ่มระดับบ่มเพาะให้สูงขึ้น
ทว่ายิ่งระดับฝึกฝนสูงขึ้นก็ยิ่งต้องการพลังปราณมากขึ้น ดังนั้นความเร็วในการบ่มเพาะจึงลดลง ในเวลาสองเดือนหวังหลินสามารถทำได้แค่บรรลุถึงระดับปลายของขั้นพื้นฐานลมปราณเท่านั้น เขายังห่างจากจุดสูงสุดระดับปลายอยู่บ้าง
หินวิญญาณระดับสูงสามก้อนทั้งหมดเปลี่ยนไปเป็นฝุ่นผงทำให้หัวใจหวังหลินเจ็บปวด เขาตัดสินใจลองหลีกเลี่ยงการใช้หินวิญญาณระดับสูงเพื่อบ่มเพาะแทน
ในวันนี้สายตาหวังหลินจับจ้องบนค่ายกลในห้อง ฝ่ามือปะทะกับพื้นดินและค่ายกลแตกกระจายเผยอีกอันนึงข้างใต้มัน
“ที่นี่ไม่มีพลังปราณเพียงพอ หากข้าดึงพลังปราณตรงๆจากดวงตาสายแร่วิญญาณเทียมนี้ข้าควรจะมีพลังปราณเพียงพอในการบรรลุขั้นแกนลมปราณ!”
สายตาหวังหลินสว่างวาบพลางจ้องค่ายกลและเริ่มศึกษามัน
ค่ายกลเป็นแค่ชนิดหนึ่งของกฎเกณฑ์และหวังหลินคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์มามากมาย หลังเรียนรู้มันเล็กน้อยเขาได้รับความเข้าใจมาบ้างแล้ว
หวังหลินสร้างผนึกและพลังปราณในร่างกายขยับเคลื่อนไหว ฝ่ามือสร้างภาพติดตาอย่างต่อเนื่องและในไม่นานนักหน้าผากเขาปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ
แทบในเวลาเดียวกันที่ภาพติดตาปรากฎ อีกภาพหนึ่งก็เริ่มสร้างขึ้น
เม็ดเหงื่อจากหน้าผากหล่นลงบนเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
กฎเกณฑ์มายาคือกฎเกณฑ์ที่หวังหลินคิดขึ้นเองและมันแตกต่างจากกฎเกณฑ์ตามปกติ ด้วยระดับฝึกฝนของเขาตอนนั้นมันง่ายมากที่จะสร้างกฎเกณฑ์ธรรมดาขึ้นมาแต่การสร้างกฎเกณฑ์มายาถือว่ายากมาก
ตอนที่เขาอยู่ในดินแดนเทพโบราณด้วยระดับขั้นแกนลมปราณ เขาสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ไม่กี่แห่งเท่านั้นซึ่งตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลาย
ด้วยระดับฝึกฝนของเขาจึงแทบไม่สามารถสร้างมันได้
ฝ่ามือหวังหลินเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่งภาพติดตาทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่ง หวังหลินชี้ไปที่ค่ายกลและร้องตะโกน จากนั้นกฎเกณฑ์มายาพลันร่อนลงบนค่ายกล
ค่ายกลสั่นสะท้านทันทีและจากนั้นพลังรุนแรงหลุออกมาและกระจายออกไป
หวังหลินหลบเลี่ยงพลังสายหนึ่งและจ้องไปที่ค่ายกล
เมื่อพลังหายไปค่ายกลก็หยุดทำงานและไม่มีพลังปราณหลุดออกมาอีก หวังหลินเดินเข้าไปและชี้ไปที่ค่ายกล ค่ายกลแตกสลายจนเกิดรอยร้าวเผยออกมาเป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่งขนาดเท่ากำปั้น
สีของหินวิญญาณนี้เป็นสีแดงและดูเหมือนมีก้อนเมฆลอยอยู่ข้างใน หวังหลินสามารถระบุได้ทันที หินก้อนนี้รู้จักกันในชื่อว่าหินผลึกคุน มันมีความสามารถในการดูดซับพลังปราณแต่ไม่มีทางกักเก็บไว้ได้
ฝ่ามือขวาหวังหลินกดลงบนก้อนหินสีแดงและเริ่มบ่มเพาะ
ปัง!
และจากนั้นพลังปราณจำนวนมากที่หยั่งรากไม่ถึงได้พรั่งพรูออกมาจากก้อนหินด้วความเร็วเหนือจินตนาการและพุ่งเข้าสู่ร่างหวังหลิน
พลังปราณรุนแรงพุ่งเข้าสู่ร่างกาย เขารู้สึกรูขุมขนทั้งหมดเปิดออกและควันสีดำลอยออกมา
แผลเป็นบนใบหน้าจางลง แม้ว่ามันไม่ได้ถูกทำลายแต่อ่อนแอขึ้นชัดเจน
หวังหลินรู้สึกมีความสุขอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าการดูดซับจากดวงตาสายแร่วิญญาณตรงๆจะมีผลเช่นนี้ แต่เขารู้ได้ว่ามันเป็นผลกระทบครั้งแรกเท่านั้น เมื่อพลังปราณแข็งแกร่งนี้เสถียรขึ้น เขาจำเป็นต้องหาดวงตาสายแร่วิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกันนี้
หวังหลินสูดหายใจลึกและลบล้างสิ่งรบกวนออกจากใจทั้งหมด พลังปราณออกมาจากหินผลึกคุนค่อยๆปรับระดับจนมันไม่เสียดแทงเหมือนก่อนหน้านี้ หวังหลินค่อยๆจมความคิดตัวเองไปที่การบ่มเพาะอีกครั้ง