862. เก้าบทเพลงคมมีดสวรรค์
หวังหลินใช้วิชาเดียวเพื่อขับไล่ถังหยานเฟิงและเผยระดับบ่มเพาะขั้นส่องสวรรค์ชั้นต้นของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงคิดไปต่างๆนาๆตอนที่ได้ยินคำพูดของจางกงเล่ย
เซียนรอบด้านคิดแค่แวบเดียวก่อนที่จางกงเล่ยจะพุ่งเข้าไปในสนามต่อสู้
เขามองหวังหลินด้วยท่าทีเคร่งขรึมยิ่ง ดวงตาส่องประกายดุจคบเพลิงและคำนับฝ่ามือ “ผู้อาวุโสซิ่วมู่ โปรดสั่งสอนด้วย!”
หวังหลินมองจางกงเล่ยด้วยท่าทีเป็นกลาง เขาใช้สายตาดุจกำลังมองจากเบื้องบน ตอนนี้หวังหลินแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก
ตอนนั้นเขาแค่แกล้งทำเป็นผู้อาวุโส แม้แต่ตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์อัสนี เขามีระดับบ่มเพาะพอๆกับจางกงเล่ยเท่านั้น คำพูดคำจายังต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าตอนนี้ระดับบ่มเพาะทะลุขั้นรูปธรรมหยางไปแล้วและบรรลุขั้นที่สองอย่างแท้จริง เมื่อมองจางกงเล่ยในตอนนี้ ความคิดหวังหลินจึงไม่เกิดแรงสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
หวังหลินถอนสายตาและเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถือว่าเรารู้จักกันมา จงถอนตัวซะ!”
จางกงเล่ยมองหวังหลินพร้อมกับขบคิดเงียบๆ สายตาเต็มไปด้วยอารมณ์ความซับซ้อนพลางเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ผู้น้อยรู้แจ้งธรรมชาติการไม่ยินยอมของสายฟ้าบนดาวสายฟ้าสวรรค์ ข้าผสมผสานการไม่ยอมอ่อนข้อของมันเข้าไปในร่างกายตนเอง หลังจากข้ากลับบ้าน ข้าก็บ่มเพาะเบื้องหน้าวัตถุตกทอดที่บรรพชนจางทิ้งเอาไว้เพื่อสร้างเขตแดนของข้า เขตแดนของข้าคือเจตนาการต่อสู้ไม่ยอมแพ้!”
“จาง[ 1 ]คือชื่อของข้า และมันก็ยังเป็นเขตแดนของข้าด้วย นี่คือเจตนาต่อสู้เท่านั้น!”
“ด้วยเขตแดนนี้ ระดับบ่มเพาะของข้าจึงก้าวกระโดดไร้ขอบเขตขวางกั้นจนกระทั่งเมื่อสี่ร้อยปีก่อนตอนที่ข้าบรรลุขั้นรูปธรรมหยาง…กระทั่งจนวันนี้ระดับบ่มเพาะของข้าก็ยังไม่เพิ่มขึ้น ผู้อาวุโส เต๋าของข้าผิดหรือถูกกันเล่า!?”
หลังกล่าวประโยคนั้น รอบด้านก็เงียบลง เซียนทุกคนเงียบเสียงแม้แต่บรรพชนบางส่วนก็ด้วย จากมุมมองของแต่ละคน เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้ได้อยู่ในความคิดเขาด้วย
“ครั้งหนึ่งข้าถามบรรพชนตระกูลจาง ลี่หยุนจื่อ แต่คำตอบที่ข้าได้รับทำให้สับสนยิ่งกว่า!” จางกงเล่ยมองหวังหลิน “ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะข้าด้วย!”
หวังหลินมองจางกงเล่ยด้วยแววตาสงบนิ่งและเอ่ยออกมา “เจตนาต่อสู้ของเจ้าเปราะบางมาก!”
แววตาจางกงเล่ยส่องประกายเจิดจ้า แต่ในไม่ช้ามันก็หมองลงและเขาเงียบมากขึ้น
“ข้าเดาว่าคำตอบที่บรรพชนให้เจ้าคือการท้าทาย ท้าทายทุกคนที่อยู่ใต้ดวงดาวระดับบ่มเพาะคล้ายคลึงกับเจ้า ต่อสู้ไปเรื่อยๆจนเข้าใจความหมายคำว่า ‘ต่อสู้’ เอาชนะอย่างต่อเนื่องและรวบรวมเจตจำนงการต่อสู้ไว้จนกระทั่งเจ้าเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งการต่อสู้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะทะลวงผ่านขั้นส่องสวรรค์!”
ร่างจางกงเล่ยสั่นเทาและพลันมองขึ้นหาหวังหลิน แม้ว่าคำพูดของหวังหลินจะแตกต่างจากลี่หยุนจื่อ แก่นแท้กลับคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
“โปรดสั่งสอนข้าด้วยผู้อาวุโส! ข้าจะมอบแก่นเต๋าของข้าให้ท่าน” จางกงเล่ยถอยกลับไปสองสามก้าวและโค้งให้หวังหลิน!
“มอบแก่นเต๋าของเจ้าให้เช่นนั้น เจ้าจะเรียกมันว่าความเด็ดเดี่ยวได้อย่างไร? จางกงเล่ย ถือว่าเรารู้จักกันมา ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้าหนึ่งประโยค เจตนาต่อสู้ก่อเกิดขึ้นจากการต่อสู้ไม่รู้จบที่แข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งนั้นมีขีดจำกัด! เจตนาต่อสู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหัวใจเจ้าเชื่อว่ามันทำให้เจ้าต้องสู้ มันทำให้เจ้าต้องชนะ มอบความมุ่งมั่นในการต่อสู้!”
“แม้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับข้า เผชิญหน้ากับบรรพชนเจ้า เผชิญหน้ากับโลก แล้วยังไงเล่า? มันก็มีแต่ตายเท่านั้น!”
หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่เสมือนสายฟ้าผ่าลงในหูจางกงเล่ย สายฟ้าดังกึกก้องทำให้ความคิดสั่นสะท้านและล่าถอยไปหลายก้าว เจตนาต่อสู้หายวับไปและถูกแทนที่ด้วยการแฝงความเข้าใจ
“ถอนตัวซะ!” หวังหลินโบกสะบัดแขนเสื้อและจางกงเล่ยถอยออกไปนอกสนามต่อสู้ เขาขบคิดเงียบๆอยู่สักพักก่อนจะโค้งให้หวังหลินและนั่งลงบนก้อนหินสีแดงเพื่อฝึกฝน
รอบด้านเงียบกริบ แต่ชายชุดดำที่มีคมมีดทั้งเก้าเบื้องหน้าพลันดวงตาส่องสว่าง เงยศีรษะขึ้นมองหวังหลิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ชี้ความลี้ลับของเต๋าออกมาได้ น้องชาย เจ้าก็เป็นศิษย์แห่งเต๋านี่นา ระดับความเข้าใจของเจ้าลึกล้ำยิ่งนัก ข้านามว่าหนานกง ขอชื่นชม! เจ้ามีคุณสมบัติที่จะรับการท้าประลองของข้า!”
ชายชุดดำเอ่ยขึ้นมาราวกับไม่สนใจว่าหวังหลินจะรับคำท้าประลองเขาหรือไม่ ราวกับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ท้าประลองเขา เขาไม่ได้ยืนขึ้นมาแต่ใช้ฝ่ามือขวาสร้างผนึกและโบกสะบัด คมมีดทั้งเก้าสั่นเทา พลังงานคมมีดน่าหวาดกลัวโผล่ออกมาทั้งเก้าจุด
เขาโบกแขนอีกครั้ง ปราณกระบี่เก้าสายพุ่งเข้าหาหวังหลิน!
ปราณกระบี่แข็งแกร่งเกินไป เมื่อมันพุ่งออกมาคล้ายกับบรรจุกฏเข้าไปบางส่วนด้วย ทำให้มิติในบริเวณบิดเบี้ยวและกระทั่งม่านแสงยังสั่นเทา ราวกับไม่สามารถทนไหวและกำลังพังทลาย!
บรรพชนตระกูลเซียนผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินสีขาวได้เห็นพลังงานคมมีดนั้นและพึมพำออกมา “เก้าบทเพลงคมมีดสวรรค์!”
หลังผู้คนรอบด้านได้ยินเช่นนี้ แววตาแต่ละคนส่องสว่างขึ้นจ้องมองชายชุดดำด้วยความคิดที่แตกต่างกันออกไป
“เก้าบทเพลงคมมีดสวรรค์แห่งตระกูลหนานกง เช่นนั้นเขาก็มาจากตระกูลหนานกง”
“ก่อนหน้านี้สี่สุดยอดตระกูลแห่งแดนใต้คือหนานกง ถัง จาง และเฉินกง ตระกูลหนานกงเดิมทีรั้งอันดับหนึ่งเอาไว้แต่พวกเขาหายตัวไปอย่างลี้ลับเมื่อพันปีก่อน ไม่มีสมาชิกตระกูลหลงเหลืออยู่เลยบนดาวเคราะห์เซียน สิ่งนี้ทำให้อารามเทพอัสนีถึงกับสนใจแต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจหาเหตุผลได้ว่าทำไมพวกเขาถึงหายตัวไป!”
“ไม่สงสัยเลยว่าทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน เป็นเพราะเขามาจากตระกูลหนานกง!”
ขณะที่เสียงพูดคุยแพร่กระจายออกมา พลังงานคมมีดทั้งเก้าพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยความเร็วสูงสุด
หวังหลินสงบนิ่ง ระดับบ่มเพาะของชายชุดดำเท่าเทียมกับเขาซึ่งก็คือขั้นส่องสวรรค์ระดับต้น พลังงานคมมีดทั้งเก้าสายบรรจุกฏทำลายล้างผนึกเส้นทางหลบนีเขาเอาไว้
มีหนทางเดียวคือการเผชิญหน้ามันเท่านั้น!
หวังหลินก้าวเท้าออกไปด้วยสายตาเย็นเยียบ ยกแขนขวาขึ้นมาเอ่ย “เรียกขานสายลม!” หวังหลินไม่เสียเวลาประดิษฐ์คำพูดแต่ใช้วิชาที่ทรงพลังที่สุดทันที เขาต้องการอันดับหนึ่งและถ้าเขาพัวพันกับคนตรงหน้า เมื่อนั้นท่าทีของเขาก็จะอ่อนลงและการได้อันดับหนึ่งคงยุ่งยากขึ้น
สายลมทมิฬปรากฏขึ้นมา มันเต็มไปทั่วพื้นที่และมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด พลังงานคมมีดผนึกพื้นที่ไม่สามารถป้องกันมันได้เลย ทั้งหมดแตกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวและถูกผลักกลับไป!
สายลมหวีดหวิวก่อเกิดเป็นลมเย็นสุดขั้วจนสามารถดับชีวิตได้ทุกอย่าง มังกรดำสองตัวปรากฏตัวขึ้นมาจากสายลมทมิฬ ทั้งสองตัวต่างก็ยาวถึงหมื่นฟุต ขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวมันก็ส่งเสียงดังสนั่นกึกก้องออกมา ส่งเสียงดังคำรามดุจความโกรธเกรี้ยวแห่งสวรรค์!
จิตสังหารเข้มข้นจากหวังหลินล้อมรอบบริเวณ แม้ว่าวิชานี้จะถูกเรียกว่า “เรียกขานสายลม” มันก็ยังใช้พลังดั้งเดิมของหวังหลิน จิตสังหารหวังหลินผสานตัวเข้ากับสายลมทมิฬพร้อมๆกับเจตนาการต่อสู้มากมายของตัวเองด้วย!
กรรรรร!
มังกรดำสองตัวส่งเสียงคำรามโหดเหี้ยมออกมา ขระเดียวกันพายุก้อนหนึ่งก่อตัวขึ้นและกวาดผ่านพลังคมมีดทั้งเก้าสายและทำให้พวกมันพังทลายทันที
หวังหลินยืนอยู่ในชุดคลุมสีขาว ล้อมรอบด้วยสายลมทมิฬ มังกรดำสองตัวร่างยาวหมื่นฟุตขดรอบตัวเขาและร้องคำเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง หวังหลินเดินเข้าหาชายชุดดำด้วยความสงบนิ่ง!
“หากเจ้าต้องการต่อสู้ เช่นนั้นก็เริ่มกันเถิด!” น้ำเสียงสงบนิ่งทั้งยังหนาวเย็นออกมาจากหวังหลิน
พริบตานั้นสีหน้าของเซียนทั้งหมดที่เห็นวิชานี้ต่างก็เปลี่ยนไปมหาศาล แม้กระทั่งบรรพชนตระกูลเซียนเองยังตกตะลึง
“นี่…นี่มันวิชาอันใดกัน!?!”
“วิชานี้แข็งแกร่งเกินไป แม้จะมีม่านแสงเป็นเครื่องป้องกัน ข้ายังรู้สึกหนาวเย็นเหมือนมีน้ำแข็งเต็มไปทั่วร่างกายและค่อยๆไหลเวียนในตัวข้า!”
“นี่มันไม่ใช่วิชาธรรมดาแน่นอน! ซิ่วมู่ผู้นี้คู่ควรต่อการถูกเรียกว่าจ้าวปิศาจโดยแท้ วิชาทั้งหมดของเขาแฝงความชั่วร้ายโดยธรรมชาติ! มันแข็งแกร่งเกินไป!”
“วิชารูปแบบนี้น่าหวาดกลัวเกินไป หากข้าเผชิญหน้าคงไม่สามารถต่อสู้ได้เลย เขาไปเรียนวิชานี้มาจากไหน? ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน!”
“วิชาพายุสายฟ้าของตระกูลเหยาดูคล้ายกันอยู่ แต่พลังอำนาจของวิชานั้นยังขาดไปเมื่อเทียบกับของซิ่วมู่!”
ดวงตาของผู้อาวุโสชุดม่วงแห่งอารามเทพอัสนีส่องสว่างขึ้นมา เขาเผยรอยยิ้มและเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาจากจ้าวอารามว่าซิ่วมู่นี้คือศิษย์น้องข้ามรุ่นของขุนนางเทพฉิงชุ่ย ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้! ทว่าระหว่างเก้าบทเพลงคมมีดสวรรค์ของท่านเจี๋ยจื่อและวิชาเทพที่สามารถสร้างมังกรดำได้สองตัวนั่น อันไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน?”
มังกรดำร้องคำรามและพ่นสายลมเย็นออกไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหวังหลินก้าวเท้าไปข้างหน้า สายลมพุ่งเข้าหาก้อนหินแดงที่ชายชุดดำกำลังนั่งอยู่ ดวงตาอีกฝ่ายส่องสว่างขึ้นมายังคงไม่เคลื่อนไหว ฝ่ามือขวาสร้างผนึกทำให้คมมีดสี่เล่มลอยขึ้นสู่อากาศ พวกมันตัดขวางกันและเริ่มหมุนเป็นวงกลมก่อตัวเป็นพายุ วินาทีนั้นอวกาศรอบด้านก็เริ่มแตกราวกับไม่สามารถทนรับไหว
ชายชุดดำเอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “คมมีดสวรรค์ทำลายล้าง!”
สี่คมมีดพุ่งออกไปทันที พวกมันหมุนวงกลมและตัดผ่านกันพร้อมกับพายุ เปลี่ยนกลายเป็นคมมีดไร้ขอบเขตที่สามารถหั่นสวรค์เป็นชิ้นๆและตัดลงใส่มังกรดำสองตัวอย่างโหดเหี้ยม
เก้าบทเพลงคมมีดสวรรค์ คมมีดสวรรค์แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างที่สุด ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สามารถต่อต้านมันได้
หลังจากเห็นฉิงชุ่ยใช้เรียกขานสายลมด้วยตาตัวเองถึงสองครั้งสองครา หวังหลินจึงเรียนรู้ได้มากมายและการควบคุมเรียกขานสายลมของเขาเพิ่มพูนขึ้น ทว่าตอนนี้หวังหลินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพวาดที่เขาเห็นบนชั้นเก้าในอารามเทพอัสนี!
ราวกับเขากลายเป็นเด็กชายคนนั้นและพลันเกิดความรู้แจ้งขึ้นทันที หวังหลินยกแขนขึ้นมาราวกับผสานตัวเองเข้ากับมังกรดำสองตัว…
Translate Note.
1.จางในภาษาจีนคือคำว่า ต่อสู้/การต่อสู้ จึงใช้เป็นการออกเสียงแบบพินยินแทนละกัน