Reuan Si La 2
เรือนศิลา ภาค 2
Chapter 1
ว่าที่แฟนฉันต้องหล่อเท่าจ้าวพ่อ
นับตั้งแต่ลินจิราจากไป จนถึงวันนี้ก็ครบยี่สิบสองปีพอดี ธิดาของจ้าวแห่งนาคราชเติบใหญ่เป็นสาวงาม เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ
ภายในห้องนอนของนารินทร์ เจ้าของห้องกำลังนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสืออยู่บนเตียง นาฏนาคีเดินเข้าไปเห็นแล้วก็ยิ้มเอ็นดู
“เฮ้อ…จ้าวรินเจ้าคะ มัวแต่ทำตัวเป็นหนอนหนังสืออยู่แบบนี้ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาซักทีล่ะเจ้าคะ” นาฏนาคีถามยิ้มๆ
นารินทร์เงยหน้าจากหนังสือที่กำลังอ่าน มองพระพี่เลี้ยงแล้วตอบว่า “รินก็รอพระเอกขี่ม้าขาวอยู่นี่ไงคะ”
“แหม พระเอกขี่ม้าขาวของจ้าวรินคงมีหรอกเจ้าค่ะ ก็เล่นตั้งเป้าไว้ซะสูงเสียดฟ้าขนาดนั้น” นาฏนาคีกระเซ้า แล้วก็พูดต่อว่า “ต้องหล่อเท่าจ้าวพ่อ ต้องเก่งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของจ้าวพ่อ โถๆๆๆ แค่สองข้อนี้บรรดามนุษย์ผู้ชายก็ต้องไปต้มแห้วกินแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“ก็ช่างซิคะอานาฏ รินไม่เห็นจะสนใจเลย มีแฟนไปทำไมล่ะคะ รินไม่เห็นเพื่อนรินที่มีแฟนจะมีความสุขเลย เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็งอนกัน แล้วก็เลิกกัน ไม่มีแฟนน่ะดีแล้วค่ะ ไม่ยุ่งยากปวดหัว” นารินทร์พูดแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
นาฏนาคีจึงยิ้มเอ็นดู แล้วก็บอกว่า “จ้าวพ่อให้มาตามเจ้าค่ะ”
นารินทร์เงยหน้ามองแล้วก็ลุกขึ้นทันที “จ้าวพ่อกลับมาแล้วเหรอคะ”
นาฏนาคีพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
แล้วนารินทร์ก็รีบลุกจากเตียง ก้าวออกจากห้องนอน เดินเร็วๆลงจากเรือนไทย เร่งฝีเท้าตรงไปที่เรือนศิลาทันที
นาฏนาคีรีบเดินตามไป สายตามองร่างระหงอย่างสุดรักสุดเอ็นดู ก็เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ จนตอนนี้เติบใหญ่เป็นสาวงามแล้ว
พอเห็นพระบิดายืนอยู่หน้าเรือน นารินทร์ก็รีบถลาเข้าไปกอด “จ้าวพ่อขา”
นาคินทร์กอดลูกสาวสีหน้ายิ้มแย้มแล้วก็ถามว่า “ว่ายังไงเจ้าตัวแสบ พ่อไม่อยู่เนี่ย แอบไปซนที่ไหนมั่งรึเปล่า”
นารินทร์ผละออกค้อนให้พระบิดาวงใหญ่ๆ “โห..จ้าวพ่ออ่ะ ถามแบบนี้รินเสียหายหลายล้านนะคะ รินไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะจะได้แอบไปซนอย่างที่จ้าวพ่อว่าน่ะ”
นาคินทร์ยิ้มขำแล้วก็แกล้งกระเซ้าว่า “อ้าวเหรอ ลูกสาวพ่อไม่ใช่เด็กๆแล้วเหรอ เอ๊…งั้นใครน้า…ยังไปปีนต้นไม้เป็นลิงเป็นค่างอยู่เลย” แล้วเขาก็ยิ้มล้อลูกสาว
นารินทร์ค้อนแถมให้อีกวงนึง “จ้าวพ่อง่ะ พูดแบบนี้ได้ไงคะ รินไม่ใช่ลิงใช่ค่างซักหน่อย แล้วอีกอย่างนะคะการปีนต้นไม้เนี่ยก็เป็นการออกกำลังกายอย่างดีเลยนะคะ” หล่อนยกเหตุผลมาอ้าง
นาคินทร์จึงยิ่งขำกับเหตุผลของลูกสาว ก่อนที่สองพ่อลูกจะกระเซ้าเย้าแหย่กันไปมากกว่านี้ นรินทรก็รีบเดินเข้ามาขัดจังหวะ “โหย…มัวแต่สนใจจ้าวพ่อ จนลืมอาแบบนี้ อาชักจะน้อยใจแล้วนะจ๊ะ”
นารินทร์ผละออกจากพระบิดาหันไปมองอย่างตะลึงและดีใจ “จ้าวอา!” หล่อนถลันไปกอดจ้าวอาทันที “จ้าวอาหายหน้าไปตั้งนานแน่ะคะ”
นรินทรกอดตอบแล้วก็ดันตัวหลานสาวออกพลางกวาดตามอง “ไม่เห็นตั้งหลายเดือนโตขึ้นเยอะเลยนะเรา เป็นไงจ๊ะ สบายดีรึเปล่าจ๊ะ”
“สบายดีค่ะ แล้วจ้าวอาล่ะคะสบายดีรึเปล่าคะ จ้าวอาหายไปตั้งหลายเดือนจนรินคิดว่าจ้าวอาคงลืมหลานคนนี้ไปแล้วมั้งคะ” นารินทร์ตัดพ้อยิ้มๆ
นรินทรยิ้มขำแล้วก็บีบจมูกหลานเบาๆ “ช่างว่าจริงนะเรา เอ๊…เหมือนใครน้า”
“เหมือนจ้าวพ่อ” นารินทร์บอก พร้อมๆกับนาคินทร์ที่พูดว่า “เหมือนแม่” สองพ่อลูกพูดพร้อมกัน
แล้วนาคินทร์ก็ทำหน้าเศร้าเมื่อนึกถึงชายา ยี่สิบสองปีแล้วซินะเจ้าลิน ที่เจ้าจากพี่ไป แล้วเขาก็รีบปรับสีหน้าเป็นปกติ
นับวันนารินทร์ก็ยิ่งเหมือนแม่ จะต่างก็แค่ตรงสีตากับสีผมและสีผิว วงหน้าสวยหวานเด่นสะดุดตาด้วยดวงตากลมโตนัยน์ตาสีทองขอบนัยน์ตาสีเขียวที่ดูแปลกตาเหมือนใส่คอนแทคเลนส์แฟนซี จนทำให้ใครต่อใครที่พบเห็นเข้าใจว่าสาวน้อยใส่คอนแทคเลนส์ เส้นผมยาวสยายถึงกลางหลังสีทองสุกสว่าง และสีผิวที่ขาวผุดผ่องแต่คล้ายๆจะมีรัศมีสีทองเปล่งประกาย
ยิ่งโตก็ยิ่งละม้ายคล้ายมารดาจนผู้เป็นบิดาต้องถวิลหาชายาทุกครั้งร่ำไปเมื่อได้เห็นหน้าลูก
นรินทรจับกระแสเศร้าหมองของพี่ชายได้จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วนี่จะรับปริญญาเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ” เขาถามหลาน
นารินทร์รีบตอบ “อาทิตย์หน้าค่ะ จ้าวอาต้องไปงานรับปริญญาของรินด้วยนะคะ”
“ไปซิจ๊ะ อาจะพลาดได้ไงล่ะ หลานอารับปริญญาทั้งทีอาไม่มีทางพลาดงานนี้แน่จ๊ะ” นรินทรยิ้มพลางลูบหัวหลานอย่างเอ็นดู
นารินทร์ยิ้มหน้าบาน
แล้วนรินทรก็แบมือตรงหน้าหลานสาว พลัน! ก็ปรากฎกล่องไม้แกะสลักเป็นลายนาคราชงดงามบนฝ่ามือ “สุขสันต์วันเกิดจ้ะ”
นารินทร์ยิ้มดีใจรีบไหว้จ้าวอา “ขอบคุณค่ะจ้าวอา” แล้วหล่อนก็รับกล่องของขวัญมาเปิดดู
ภายในกล่องมีกำไลนาคราชทองคำสองวง ลวดลายงดงาม
“ใส่เลยซิจ๊ะ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม
นารินทร์แค่คิดจะใส่ กำไลนาคราชก็อ้าปากคลายส่วนหางออกแล้วลอยมาสวบฉับบนข้อมือขาวผ่องทั้งสองข้าง แล้วหัวนาคราชก็อ้าปากอมหางไว้เหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะจ้าวอา” นารินทร์บอกขอบคุณอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม
นรินทรยิ้มที่หลานชอบของขวัญ
แล้วนาคาก็เดินเข้ามาหยุดยืนด้านหลังผู้เป็นนาย “พระจะมาถึงแล้วขอรับ”
“ขอบใจนะ” นาคินทร์หันไปบอก แล้วก็หันมาพูดกับลูกสาวและน้องชายว่า “พระจะมาแล้วเราไปรอท่านกันเถิด”
“ขอรับเจ้าพี่” / “ค่ะจ้าวพ่อ” สองอาหลานพูดพร้อมกัน
จากนั้นทั้งสี่ตนและหนึ่งครึ่งนาคราชก็พากันเดินไปยังศาลากลางสวนซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานทำบุญเลี้ยงเพลพระอุทิศบุญกุศลให้จ้าวลินจิราพระชายาจ้าวแห่งนาคราชผู้ล่วงลับ เนื่องในโอกาสครบรอบวันสวรรคตของจ้าวลินจิราและวันประสูติของจ้าวนารินทร์
ภายในศาลา สำรับกับข้าวถูกจัดวางใส่จานชามเบญจรงค์ วางในถาดทองคำอย่างวิจิตรหรูหรา ตั้งรอประเคนไว้พร้อมสรรพ
ทั้งหมดเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยรอพระ
อึดใจต่อมารถตู้ก็วิ่งเข้ามาจอดหน้าศาลา พนักงานประจำรถรีบลงไปเปิดประตูรถให้พระลง
พระภิกษุสงฆ์ทยอยลงมา แล้วเดินเข้าไปนั่งบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้อย่างสำรวม
พอพระนั่งเรียบร้อยแล้ว นาคินทร์ก็ขยับไปจุดเทียนธูปหน้าองค์พระพุทธรูป แล้วก้มกราบอย่างงดงาม แล้วเขาก็ถอยกลับมานั่งที่เดิม ทุกคนและทุกตนที่นั่งอยู่ก็ก้มลงกราบอย่างงดงามและสำรวม
หลังจากนั้นพิธีถวายเพลเลี้ยงพระก็ดำเนินไปจนเสร็จสิ้น
นาคาและนาฏนาคีเข้าไปรับถ้วยน้ำกรวดอุทิศบุญกุศลจากผู้เป็นนายทั้งสามไปเทใต้ต้นไม้ข้างศาลา
จากนั้นพระภิกษุสงฆ์ก็ทยอยลุกขึ้นเดินออกจากศาลาไปขึ้นรถกลับวัด
เมื่อเสร็จพิธีทำบุญทางศาสนาแล้ว นาคินทร์ก็ชวนน้องชายและลูกสาวไปทานอาหารกลางวัน พอทานอาหารเสร็จแล้วทั้งสามก็ย้ายไปนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำหน้าเรือนศิลา ทั้งสามคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน จวบจนกระทั่งถึงเวลาเย็น นารินทร์ก็ขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดของตัวเอง
ภายในงานเลี้ยงซึ่งจัดขึ้นที่ศาลาห้องอาหารเรือนศิลารีสอร์ท นารินทร์เจ้าของงานกำลังยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าทางเข้างาน
นัทชัยกับจินตนาถือกล่องของขวัญไว้คนละกล่องเดินเข้าไปหาเจ้าของวันเกิด
นารินทร์รีบเดินเข้าไปหาผู้สูงวัยทั้งสอง วงหน้าสวยหวานคลี่ยิ้มดีใจ “สวัสดีค่ะคุณปู่คุณย่า”
“สุขสันต์วันเกิดจ้ะลูก” นัทชัยกับจินตนาอวยพรพร้อมกันแล้วยิ้มแย้มให้หลานสาวพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญให้
นารินทร์รับมาแล้วก็พูดว่า “รินแกะเลยนะคะ”
จินตนาพยักหน้า “จ้ะลูก แกะดูซิจ๊ะว่าถูกใจหนูรึเปล่า”
นารินทร์ส่งกล่องของขวัญอีกกล่องให้สาวใช้ช่วยถือ แล้วก็รีบแกะกล่องของขวัญของคุณย่าก่อนด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ พอเห็นของขวัญก็ยิ่งดีใจใหญ่ เพราะเป็นหนังสือเล่มที่กำลังอยากได้แต่ร้านหนังสือที่นี่ไม่มีขาย
“ขอบคุณค่ะคุณย่า ถูกใจรินมากเลยค่ะ” แล้วหล่อนก็เข้าไปกอดหอมแก้มคุณย่าซะสองฟอด
จินตนาหอมแก้มหลานตอบแล้วก็พยักเพยิดให้ไปแกะของคุณปู่ “หนูแกะดูซิว่าของคุณปู่จะถูกใจหนูรึเปล่า”
“ค่ะคุณย่า” แล้วนารินทร์ก็ผละออกมา สาวใช้ยื่นกล่องของขวัญให้แล้วก็รับของขวัญไปแยกวางไว้ ไม่ปะปนกับของแขกคนอื่น
นารินทร์ก็แกะกล่องเปิดดู พอเห็นของขวัญก็ยิ้มหน้าบานถูกอกถูกใจเพราะเป็นเค้กช็อกโกแล็ตร้านโปรด หน้าเค้กเขียนคำอวยพร สุขสันต์วันเกิดหลานนารินทร์
“ขอบคุณค่ะคุณปู่” หล่อนยื่นหน้าไปหอมแก้มขอบคุณ แล้วก็พูดว่า “คุณปู่คุณย่า ไปนั่งข้างในก่อนนะค่ะ”
“จ้ะลูก” ทั้งสองพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในงาน ปล่อยให้เจ้าของงานรับแขกต่อไป
นารินทร์ยืนรับแขกจนเห็นว่าไม่มีใครมาแล้วหล่อนจึงเดินเข้าไปภายในงาน
นาคินทร์นั่งคุยอยู่กับนัทชัยและจินตนา
“คุณลุงคุณป้าเป็นยังไงบ้างครับ” นาคินทร์ถามทั้งสอง
“ก็เรื่อยๆตามประสาคนแก่ล่ะค่ะ มีเจ็บมีป่วยบ้างอากาศกรุงเทพมันแย่เหลือเกิน” จินตนาตอบแล้วก็ยิ้มให้ แล้วก็กระเซ้าว่า “จะให้เหมือนคุณนาคินทร์ได้ยังไงล่ะคะ ยังดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี๊ยวไม่เปลี่ยนเลย”
“นั่นซิครับ สงสัยผมคงต้องขอเคล็ดลับของคุณไปใช้มั่งซะแล้ว” นัทชัยเย้าเสริมแล้วก็หัวเราะ
นาคาซึ่งยืนรับใช้อยู่ใกล้ๆรีบเบือนหน้าไปแอบยิ้ม พลางส่งกระแสจิตกระเซ้าผู้เป็นนาย
“หึๆๆๆ ข้าว่าครั้งหน้าท่านออกงานสังคมคงต้องแปลงรูปกายให้ดูชรากว่านี้แล้วล่ะขอรับ”
นาคินทร์ยิ้มแย้มให้ผู้สูงวัยตามสภาพร่างกาย ซึ่งทั้งสองคนแก่ชราลงไปมาก
สิ้นปีนี้จินตนาก็จะเกษียณแล้ว ซึ่งทั้งคู่วางแผนไว้ว่าหลังเกษียณแล้วก็จะย้ายมาอยู่ที่เชียงราย
ยังไม่ทันจะได้คุยต่อ นารินทร์ก็เดินเข้ามาหา “จ้าวพ่อขา” หล่อนจูงมือเพื่อนเข้ามาด้วยแล้วก็แนะนำว่า “จ้าวพ่อคะ คุณปู่คุณย่าขา นี่น้องแพรวรุ่นน้องของรินที่มหาลัยค่ะ”
แพรวพราวรีบยกมือย่อตัวไหว้ทุกคน “สวัสดีค่ะ”
สายตาหล่อนมองจ้าวพ่อของพี่รินแล้วก็นึกในใจว่า คุณพ่อพี่รินดูเด็กจัง นี่ถ้าพี่รินไม่แนะนำให้รู้จักเราคงนึกว่าเป็นพี่ชายแหงๆ
“สวัสดีจ้ะ” / “สวัสดีครับ” ทั้งสามรวมถึงนาคารับไหว้พร้อมกับยิ้มให้
“อ๋อ…คนนี้เหรอน้องแพรวที่ลูกพูดถึงบ่อยๆน่ะ” นาคินทร์ถามลูกสาวแล้วก็มองแพรวพราวอย่างเอ็นดู
“ค่ะจ้าวพ่อ ถ้างั้นรินขอตัวไปคุยกับเพื่อนๆต่อนะคะ” นารินทร์ตอบพระบิดาแล้วก็จูงมือแพรวพราวไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ
นารินทร์คุยอย่างสนุกสนานกับบรรดาเพื่อนๆ ส่วนแพรวพราวพอทักทายคนอื่นๆแล้วก็ถือแก้วเครื่องดื่มเลี่ยงไปยืนอยู่ในมุมสงบ รอให้จบไฮไลน์ของงานแล้วก็จะขอตัวกลับ
หลังจากนั่งคุยกับนัทชัยและจินตนาอยู่พักนึงนาคินทร์ก็ขอตัวไปเดินดูความเรียบร้อยในงาน พอเห็นแพรวพราวยืนอยู่คนเดียวเขาจึงเข้าไปคุยด้วยในฐานะเจ้าภาพ
“อ้าวน้องแพรว ทำไมมายืนคนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” นาคินทร์ถามอย่างเอ็นดูนึกถูกชะตากับสาวน้อย
แพรวพราวยิ้มให้แล้วก็ตอบว่า “เอ่อ…คือแพรวรู้จักแต่พี่รินน่ะค่ะ เพื่อนพี่รินคนอื่นๆแพรวไม่ค่อยรู้จักก็เลยไม่รู้จะคุยกับใครน่ะค่ะ”
นาคินทร์พยักหน้ารับรู้
แล้วแพรวพราวก็พูดว่า “พี่รินผมสีทองเหมือนคุณน้านี่เอง คุณน้ามาจากประเทศไหนเหรอคะ” หล่อนคิดว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ
หล่อนถามเหมือนหาเรื่องพูดคุยด้วยมากกว่าจะอยากรู้จริงๆ แต่กลับทำให้นาคินทร์ตกใจตะลึงงัน นางเห็นผมของข้าเป็นสีทองรึนี่! นางเห็นรูปกายแท้จริงของข้าได้อย่างไรกัน
“คุณน้ายังดูหนุ๊ม…หนุ่ม หน้าเด๊ก…เด็ก นี่ถ้าพี่รินไม่บอกว่าเป็นคุณพ่อ แพรวต้องนึกว่าคุณน้าเป็นพี่ชายของพี่รินแน่ๆเลยค่ะ” เสียงหวานใสพูดยิ้มแย้ม ยิ่งตอกย้ำให้นาคินทร์แน่ใจว่าสาวน้อยเห็นรูปกายแท้จริงของตนเองแน่แท้
“เอ่อขอโทษนะคะ…คุณน้าเป็นตาแดงเหรอคะ แพรวได้ข่าวว่าช่วงนี้โรคตาแดงระบาดอยู่ด้วย” เสียงหวานใสเจื้อยแจ้วอย่างสงสัย
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน นางเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษหรือนี่ จึงมองเห็นทะลุมนต์นาคราชของข้าได้
ก็เขาแปลงรูปกายให้ผมดำตาดำดูสูงอายุสมวัยสำหรับคนที่มีลูกสาวอายุยี่สิบสองปี แต่นางกลับเห็นรูปกายแท้จริงของเขาได้อย่างไรกัน