Chapter 2
นางเป็นผู้มีสัมผัสพิเศษ
ใจนึกอยากจะรู้ให้แน่ใจ เขาจึงแกล้งเสกกระต่ายขึ้นเบื้องหลังสาวน้อย หากนางเห็นกระต่ายเสกซึ่งมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ ก็แสดงว่านางมีสัมผัสพิเศษแน่นอน
กระต่ายเสกกระโดดมาหยุดนิ่งแทบเท้าแพรวพราว
แพรวพราวรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมาอยู่แถวๆเท้าจึงก้มลงมอง “อุ้ยกระต่าย!”
นาคินทร์แน่ใจแล้วว่าสาวน้อยมีสัมผัสพิเศษจริงๆ
แพรวพราวก้มลงเอื้อมมือไปลูบกระต่ายขนปุยเล่น “โห…เชื่องจัง” แล้วหล่อนก็เงยหน้าพูดกับนาคินทร์ว่า “คุณน้าเลี้ยงกระต่ายด้วยเหรอคะ เชื๊อง…เชื่องจังเลยค่ะ”
นาคินทร์มิได้ตอบเพียงแต่ยิ้มให้
แล้วก็ถึงไฮไลต์ของงาน แพรวพราวจึงผละจากกระต่ายเข้าไปสมทบกับคนอื่นๆ
นาคินทร์ก็รีบเดินเข้าไปยืนข้างๆลูกสาว นรินทรก็ยืนขนาบอีกข้าง
ทุกคนร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ พอจบเพลง นารินทร์ก็หลับตาอธิษฐาน จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วเป่าเทียนบนเค้กจนดับหมดทุกเล่ม
เสียงแขกเซ็งแซ่อวยพรกันใหญ่ นารินทร์รับมีดมาตัดเค้กแจก หล่อนยื่นเค้กให้พระบิดา จ้าวอานรินทร นาคา นาฏนาคี คุณปู่คุณย่า แล้วก็แขกผู้ใหญ่ จากนั้นก็ถึงคิวเพื่อนๆ แน่นอนว่าเค้กของหล่อนเป็นเค้กมังสวิรัตเพื่อให้เหล่านาคราชที่ถือศีลกินมังสวิรัตสามารถทานกันได้
นารินทร์ตัดเค้กยื่นให้แพรวพราวก่อนเพื่อนคนอื่นๆด้วยความรู้สึกสนิทสนม อีกอย่างเพราะเห็นว่าเป็นรุ่นน้องคนเดียวในงาน
พอจบไฮไลต์ของงานแล้วแพรวพราวก็รีรออยู่ครู่หนึ่ง พอได้จังหวะหล่อนก็เข้าไปลาเจ้าของงานขอตัวกลับ
“อะไรง่ะ น้องแพรวจะชิ่งกลับแล้วเหรอ มาแป๊ปเดียวเองง่ะ พี่ไม่ยอมให้กลับหรอก” นารินทร์ว่าแล้วก็จูงมือแพรวพราวไปนั่งที่โต๊ะ “น้องแพรวต้องอยู่จนงานเลิกนะ ไม่งั้นพี่โกรธตายเลย” หล่อนขู่รุ่นน้องทำสีหน้าขรึมๆ
แพรวพราวกลัวรุ่นพี่โกรธจึงจำใจรับปาก “ค่ะพี่ริน”
นารินทร์ยิ้มดีใจแล้วก็บอกว่า “เดี๋ยวพอแขกผู้ใหญ่ทยอยกลับก็ถึงคิวเด็กๆอย่างพวกเราแล้วล่ะจ้า ตอนนี้เป็นฟอร์เต้นรำของผู้ใหญ่เค้าไปก่อน แล้วเดี๋ยวก็เป็นเวทีแด๊นซ์ของพวกเราแล้วล่ะ” หล่อนหลิวตากับแพรวพราวอย่างสนุกสนาน
แล้วก็หันไปพูดกับพระบิดาว่า “จ้าวพ่อขา ฝากดูแลแขกคนสำคัญของรินด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้หนีกลับได้นะคะ ไม่งั้นรินโกรธจ้าวพ่อแน่” หล่อนขู่พระบิดาแล้วก็พูดต่อว่า “รินขอตัวไปดูแลเพื่อนๆก่อนนะคะ”
จากนั้นนารินทร์ก็เดินไปดูแลแขกคนอื่นๆในงาน นาคินทร์ยิ้มส่ายหน้าระอากับความเอาแต่ใจของลูกสาว เฮ้อ…สงสัยข้าคงจะตามใจนางมากไปหน่อยล่ะมั้ง
ส่วนแพรวพราวก็นั่งมองนู้นมองนี่ไปอย่างเหงาๆ ก็งานนี้หล่อนรู้จักแต่รุ่นพี่รินคนเดียวนี่น่า เพื่อนๆของรุ่นพี่คนอื่นๆก็ไม่ค่อยสนิทสนมด้วย
นาคินทร์มองสาวน้อยแล้วก็นึกสงสาร “เต้นรำซักเพลงมั๊ยครับ” เขาลุกขึ้นแล้วโค้งให้หล่อน
แพรวพราวมองอย่างอึ้งๆ เต้นรำหล่อนก็เต้นเป็นอยู่ เต้นได้ดีด้วยล่ะ แต่จะให้เต้นกับพ่อของเพื่อนเนี่ยมันก็กระดากๆอยู่น้า แต่แหม…ผู้ใหญ่เอ่ยปาก หล่อนเป็นเด็กจะปฏิเสธได้ไงล่ะ
“ค่ะคุณน้า” แล้วแพรวพราวก็ลุกขึ้น ยื่นมือไปจับมือเขา
วินาทีที่มือของทั้งสองแตะกัน พลัน! ความรู้สึกหนึ่งก็พุ่งวาบขึ้นมาในดวงจิตของทั้งสองคน
สำหรับนาคินทร์เหมือนดั่งของรักที่หายไป…ได้กลับคืนมา
ส่วนแพรวพราวก็ใจเต้นแรงเหมือนดั่งได้พบชายในฝัน หล่อนสะดุ้งดึงมือกลับ ใจเต้นตึกๆ
ทั้งสองมองหน้าสบตากันค้างอยู่อย่างนั้น ครู่ต่อมานาคินทร์กระพริบตาเรียกสติกลับคืน เมื่อกี้มันอะไรกัน เขาถามตัวเองในใจ จ้องหน้าสาวน้อยอย่างค้นหา
แพรวพราวกระพริบตาปริบๆ จับมือตัวเองบีบกันไว้ พยายามสูดลมหายใจข่มอาการใจเต้นแรง “เอ่อ…”
นาคินทร์อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่าความรู้สึกเมื่อครู่นี้มันคืออะไร เขาจึงยื่นมือไปหาหล่อนแล้วพูดว่า “ไปเต้นรำกันเถอะครับ”
แพรวพราวมองมือเขาอย่างชั่งใจ “เอ่อ…” จะเอาไงดีล่ะ
พอเงยหน้าสบตากับนัยน์ตาสีแดงซึ่งเชิญชวนด้วยท่าทางสุภาพ หล่อนจึงจำใจยื่นมือตัวเองไปวางบนอุ้งมือใหญ่
พอมือของทั้งสองสัมผัสกัน ไม่มีความรู้สึกใดๆเลย
นาคินทร์มองมือน้อยนุ่มนิ่มแววตาแฝงรอยผิดหวังนิดๆ เขาจับมือหล่อนอย่างสุภาพแล้วก็จูงเดินไปที่ฟอร์เต้นรำ
เขาโอบประคองหล่อนอย่างสุภาพแล้วพาก้าวไปตามจังหวะเสียงเพลง
แพรวพราวเต้นตามอย่างเขินๆ
กลิ่นกายสาวน้อยเย้ายวนชวนให้หลงใหล นาคินทร์เผลอรั้งร่างน้อยเข้ามาแนบชิด
แพรวพราวกระพริบตาปริบๆเก้อเขิน “เอ่อ…คุณน้าคะ” หล่อนเรียกเขาแล้วพยายามเขยิบตัวออกห่าง
นาคินทร์สะดุ้งได้สติก็รีบเอ่ยปากขอโทษ “เอ่อ…ขอโทษครับ” แล้วเขาก็ก้าวนำพาสาวน้อยเต้นรำไปตามเพลง
ทำไมนะข้าถึงได้เผลอตัวเช่นนี้ได้ น่าอายจริงๆ หรือเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของเจ้าลินกระมังจึงทำให้พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าลินจ๋า…เมื่อไหร่เจ้าจะกลับมาหาพี่ล่ะ พี่รอเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ ใยเจ้าจึงมิรีบกลับมาล่ะจ๊ะ เจ้าลินของพี่
“ทำไมคุณน้าทำหน้าเศร้าจังคะ” แพรวพราวถามเมื่อเห็นใบหน้าของคู่เต้นรำเศร้าหมองจนหล่อนเห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าตามไปด้วย
นาคินทร์รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก็บอกว่า “คือผมคิดถึงภรรยาที่ตายไปน่ะครับ”
แพรวพราวพยักหน้ารับรู้แล้วก็ถามว่า “คุณน้าคงจะรักคุณแม่ของพี่รินมากเลยใช่มั๊ยคะ”
“ครับ” นาคินทร์ตอบพร้อมกับยิ้มบางๆให้
“น่าอิจฉาภรรยาของคุณน้าจังเลยค่ะ ถ้าแพรวมีแฟน แพรวอยากให้แฟนของแพรวรักแพรวแบบที่คุณน้ารักภรรยาจังเลยค่ะ” แพรวพราวยิ้มชื่นชม
“แล้วน้องแพรวมีแฟนหรือยังล่ะครับ” นาคินทร์ถามอย่างเอ็นดู
แพรวพราวส่ายหน้า “ยังค่ะ ยังไม่มีพระเอกขี่ม้าขาวฝ่าด่านคุณพ่อของแพรวได้เลยซักคนค่ะ แพรวก็เลยยังค้างเติ้งอยู่บนคานทองอยู่เลยค่ะ” หล่อนพูดยิ้มๆแล้วก็หัวเราะขำเบาๆ พลอยทำให้นาคินทร์หัวเราะตามไปด้วย
จ้าวแห่งนาคราชหัวเราะทำให้นาคราชทุกตนหันไปมองอย่างแปลกใจ โอ…นานแล้วที่มิเห็นท่านหัวเราะเช่นนี้ น่ายินดีเหลือเกิน
นารินทร์ก็หันไปมองพระบิดาอย่างแปลกใจเช่นกัน เอ…ไม่เคยเห็นจ้าวพ่อหัวเราะแบบนี้เลยอ่ะ
“หึๆๆๆท่าทางคุณพ่อของน้องแพรวคงจะหวงน้องแพรวน่าดูเลยใช่มั๊ยครับ” นาคินทร์ถามยิ้มขำ
“ค่ะคุณน้า คุณพ่อแพรวดุมากเลยค่ะ เฉพาะกับเพื่อนๆผู้ชายของแพรวนะคะท่านจะดุเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ” แพรวพราวตอบแล้วก็พูดเล่นว่า “แพรวว่าชาตินี้แพรวคงหาแฟนไม่ได้แน่ๆเลยมั้งคะ หรือไม่ก็คงต้องไปคบทอมคบดี้เป็นแฟนแทนล่ะมั้งคะคุณน้า”
“แหม…น้องแพรวพูดซะจนผมอยากจะเจอคุณพ่อของน้องแพรวซะแล้วซิ ว่าระหว่างคุณพ่อของน้องแพรวกับผมใครจะหวงลูกสาวมากกว่ากันน้า” นาคินทร์พูดล้อพลางหัวเราะขำ
จนเพลงจบไปแล้วสองเพลงเขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเต้นรำกับแพรวพราวเพลินขนาดนี้เชียวหรือ พอเพลงจบเป็นเพลงที่สามเขาจึงพาหล่อนกลับไปนั่งที่โต๊ะ
“ขอบใจนะครับที่เต้นรำกับผม” เขาบอกอย่างอ่อนโยนพร้อมยิ้มให้อย่างอบอุ่น
แพรวพราวยิ้มตอบ ยังไม่ทันจะพูดอะไรเสียงมือถือก็ดังขึ้นซะก่อน หล่อนจึงรีบบอกกับเขาว่า “เอ่อ…แพรวขอตัวซักครู่นะคะคุณน้า”
“ครับ” นาคินทร์พยักหน้า
แพรวพราวจึงลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปพร้อมกับล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากระโปรงพอเห็นชื่อบนหน้าจอก็รีบกดรับสาย “ขาคุณพ่อ” จากนั้นหล่อนก็พูดแต่ค่ะๆๆๆ แล้วก็วางสายไป
แล้วหล่อนก็เดินกลับมาบอกกับนาคินทร์ว่า “คุณน้าคะ แพรวคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ คุณพ่อโทรตามแล้วล่ะค่ะ”
“อ๋อครับ” นาคินทร์พยักหน้ารับรู้ รู้สึกเสียดายลึกๆในดวงจิตที่หล่อนต้องรีบกลับเสียแล้ว แล้วก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เอ่อ…แล้วนี่น้องแพรวจะกลับยังไงล่ะครับ”
“แพรวขับรถมาค่ะ” แพรวพราวตอบแล้วก็ยกมือไหว้ลา “ถ้างั้นแพรวกลับก่อนนะคะคุณน้า”
“ครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งที่รถนะครับ” เขาบอกอย่างอ่อนโยน แล้วแพรวพราวก็เดินไปลาเจ้าของงาน
“พี่รินคะ แพรวต้องกลับก่อนนะคะ คุณพ่อโทรตามแล้วค่ะ”
“ว้า…เสียดายจังเลย ถ้างั้นก็ขับรถกลับบ้านดีๆนะจ๊ะ” นารินทร์บอกแล้วก็จับมือรุ่นน้องร่ำลา
“ค่ะพี่ริน ขอบคุณนะคะ” แพรวพราวโบกมือลาแล้วก็หมุนตัวเดินออกไป
นาคินทร์เดินตามไปส่งที่รถ พอถึงรถโฟล๊คเต่าคันเก่งแพรวพราวก็ล้วงกุญแจออกมาไขปลดล็อกแล้วก็หันมาไหว้ลานาคินทร์อีกครั้ง “ขอบคุณนะคะคุณน้า ที่เดินมาส่งแพรวถึงที่รถ แพรวลาล่ะค่ะ”
“ขับรถกลับดีๆนะครับ” นาคินทร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
แพรวพราวยิ้มตอบแล้วก็หมุนตัวไปเปิดประตูรถ แล้วสายตาก็เหลือบเห็นบางอย่างอยู่ใต้ท้องรถ โผล่ส่วนหัวมาสะท้อนแสงไฟให้เห็นชัดๆเต็มตา
“งู! กรี๊ดดดด…” แพรวพราวหมุนตัวกลับ กระโดดกอดนาคินทร์ทันที เสียงหวานใสร้องโวยวายลั่น “ไป๊…ไปให้พ้นนะ! ฉันเกลียดงู!”
นาคินทร์ตกใจช้อนอุ้มร่างน้อยขึ้นมาในวงแขน พลางมองไปที่งูสิงตัวต้นเหตุ แล้วส่งกระแสจิตบอก…เจ้ารีบไปซะ
งูสิงตัวนั้นจึงรีบเลื้อยไป
แพรวพราวหลับตาปี๋ซุกหน้าแนบอก ปากก็ไล่งูเหย็งๆ “ไปนะ! ฉันเกลียดงู! ไปให้พ้นนะ! ไป๊!”
นาคินทร์หวนนึกถึงเมื่อครั้งกระนั้นที่เจ้าลินก็กระโดดกอดเขาเช่นนี้ ทำไมนะ…ทำไมจะต้องเกิดเหตุเช่นนี้ให้พี่คิดถึงเจ้าด้วยนะ เจ้าลินจ๋า อกพี่ระทมหมองไหม้เพราะคิดถึงเจ้าใจจะขาดแล้วหนา เมื่อไหร่เจ้าจึงจะกลับคืนมาหาพี่เสียที เจ้าลินจ๋า…
“มิเป็นไรแล้วนะจ๊ะเจ้าลิน งูมันไปแล้วนะจ๊ะเจ้าลินของพี่ มิต้องกลัวแล้วนะจ๊ะ” เขาเผลอบอกอ่อนหวานปลอบเจ้าร่างน้อยในอ้อมแขน
แพรวพราวยังหลับตาปี๋ซุกหน้าอยู่อย่างนั้น สองมือยังโอบรอบคอคนถูกกอดแน่น
“งูมันไปแล้วจริงๆนะคะ คุณน้าอย่าหลอกแพรวนะคะ แพรวเกลียดงู” เสียงหวานใสถามอู้อี้ซุกอยู่กับอกกว้าง ทำให้นาคินทร์ยิ้มขำ ช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน…
“มันไปแล้วจริงๆจ้ะ” เขาบอกอ่อนหวาน
แพรวพราวจึงลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองตรงที่เห็นงูอย่างหวาดๆ พอไม่เห็นงูแล้วก็โล่งใจ “เฮ้อ…”
ครั้นพอรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไหน สองแก้มก็ร้อนซู่ หน้าแดงแปร๊ด สองมือที่โอบรอบลำคอหนาก็ละออกทันที “อุ้ย! แพรวขอโทษค่ะ”
นาคินทร์ยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “ไม่เป็นไรครับ” แล้วเขาก็ปล่อยหล่อนลงยืนกับพื้น
แพรวพราวอายจนหน้าแดงแปร๊ด พอสองเท้าแตะพื้นหล่อนก็ผละออกไปยืนห่างๆ พร้อมกับยกมือไหว้เขา “แพรวขอโทษค่ะคุณน้า” หล่อนหน้าจ๋อย ใจเสียกลัวว่าคุณน้าจะเอ็ดใส่
นาคินทร์ยิ้มปลอบแล้วก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ น้องแพรวอย่าคิดมากเลย คนเราเวลาตกใจก็เผลอทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวกันทั้งนั้นแหละครับ น้องแพรวรีบกลับบ้านเถอะเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วงนะ”
“ค่ะคุณน้า แพรวขอโทษนะคะ แพรวกลับล่ะคะ” หล่อนยกมือไหว้เขาอีกรอบแล้วก็หันไปเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ
นาคินทร์ปิดประตูให้แล้วก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมกับโบกมือลา
แพรวพราวรีบเสียบกุญแจรถสตาร์ทแล้วก็เข้าเกียร์ จากนั้นหล่อนก็หันกลับไปมองเขาอย่างอายๆ แล้วก็ขับรถออกไป ใจยังเต้นแรงตึกๆ ทั้งตกใจงู อายตัวเองที่เผลอกอดคุณพ่อยังหนุ่มของรุ่นพี่ เฮ้อ…ถ้าเจอคุณน้าอีกทีจะกล้ามองหน้าท่านมั๊ยน้อ…
พอแพรวพราวกลับถึงบ้าน หล่อนก็รีบอาบน้ำแล้วสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน พอเสร็จแล้วหล่อนก็ล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มมาคลุมตัว เพียงครู่เดียวหล่อนก็เข้าสู่นิทรารมณ์อันแสนสุข
“เจ้าลินจ๋า เจ้าลินของพี่” เสียงทุ้มกังวานปานระฆังแก้วเรียกอย่างอ่อนหวาน จนแพรวพราวหันไปมองอย่างสงสัย หล่อนมองไปตามเสียงเรียกแล้วก็ได้เห็นเงารางๆเหมือนอยู่ในสายหมอก
“นั่นใครคะ คุณเรียกใครเหรอคะ” แพรวพราวตะโกนถามออกไปแล้วก็พยายามเพ่งมอง
“เจ้าลินจ๋า คนดีของพี่กลับมาหาพี่เถิด พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าลินจ๋า” เสียงทุ้มเรียกอ่อนหวานเว้าวอนอย่างเศร้าสร้อยจนแพรวพราวนึกเศร้าตาม หล่อนอยากจะเห็นหน้าเขาให้ชัดๆจึงเดินเข้าไปหา
“เจ้าลินจ๋า” เขาเรียกอ่อนหวานพร้อมกวักมือเรียก แพรวพราวจึงยิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา แล้วหล่อนก็ได้เห็นหน้าเขาชัดๆเต็มสองตา “คุณน้า!”
แพรวพราวสะดุ้งตื่นลุกพรวด ใจเต้นแรงตึกๆ พอเห็นว่าตัวเองอยู่บนเตียงจึงได้รู้ว่าฝันไป
“ฝันอีกแล้วเหรอเรา” หล่อนยกมือเสยผมไปข้างหลังแล้วก็นิ่งคิดถึงความฝัน