Chapter 3
รถเสีย! ทำไงดี?
ความฝันที่มักจะฝันซ้ำๆเหมือนกันแทบทุกคืนตั้งแต่เด็กๆ หล่อนมักจะฝันเห็นใครคนหนึ่งในสายหมอกเรียกอย่างอ่อนหวานว่า “เจ้าลินจ๋า”
เขาคนนั้นเฝ้าเรียกหาอย่างอ่อนหวานเว้าวอนและเศร้าสร้อยจนหล่อนเศร้าตามไปด้วย หล่อนเดินเข้าไปหาเขา แต่ทุกครั้งในความฝันหล่อนไม่เคยเดินเข้าไปใกล้เขาได้เลย เพิ่งจะมีครั้งนี้นี่แหละที่หล่อนเดินเข้าไปหาและได้เห็นหน้าเขาอย่างชัดๆถนัดตา
“แต่ทำไมเขาจะต้องเป็นคุณน้าคุณพ่อของพี่รินด้วยนะ เฮ้อ…สงสัยเราคงฝังใจกับเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำแหงๆถึงได้เก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้อ่ะ”
แล้วหล่อนก็หันไปมองนาฬิกา ซึ่งบอกเวลาว่าตีสองกว่า หล่อนจึงล้มตัวลงนอนต่อ
แพรวพราวพยายามข่มตาหลับลงยกมือปิดปากหาวอย่างง่วงนอน ไม่นานนักหล่อนก็หลับไปอีกครั้ง
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง แพรวพราวยืนอยู่กลางห้องๆหนึ่ง ลักษณะเหมือนภายในปราสาทขอม รอบด้านเป็นผนังหินมีช่องหน้าต่างบานหนึ่งกับช่องประตูอีกบานหนึ่ง ตามผนังรกรุงรังเต็มไปด้วยเถาไม้เลื้อยขึ้นเกาะเต็มผนังไปหมด บนผนังด้านหนึ่งซึ่งไม่มีเถาไม้รกๆมีภาพพญานาคสีทองขดซ้อนกันเป็นชั้นๆชูคอสง่างามสะท้อนแสงสว่างระยิบระยับงดงามจับตา
แพรวพราวเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็นึกอยากจะรู้ว่าสีทองบนตัวพญานาคเป็นสีจากวัสดุอะไรจึงได้สะท้อนแสงระยิบระยับขนาดนี้ หล่อนจึงเอื้อมมือไปลูบภาพนั้น แต่พอนิ้วแตะถูกภาพ ก็ถูกบาดเลือดไหล เลือดของเธอเปื้อนตัวพญานาค ฉับพลัน! ก็เกิดลมพายุพัดแรง พญานาคบนผนังหัวเราะลั่นพร้อมกับคลายจากขดซ้อนกันแล้วเลี้อยออกมาจากผนังแล้วก็พุ่งตรงมาหาเธอ “กรี๊ดดดดด…”
แพรวพราวสะดุ้งตื่นอีกครั้ง หล่อนหอบหายใจแรง พอมองไปรอบตัวจึงรู้ว่าฝันไป “บ้าจริงๆเลย! ฝันแบบนี้อีกแล้ว!”
หล่อนยกสองมือตบแก้มเรียกสติตัวเอง ไม่ฝันถึงผู้ชายในสายหมอกก็ต้องฝันเห็นพญานาคบนฝาผนัง สองความฝันนี้ที่แวะเวียนมาปรากฎในห้วงนิทราตั้งแต่เด็กเป็นประจำ จนหล่อนเป็นโรคเกลียดงูก็เพราะแบบนี้แหละ
เพราะฝันซ้ำๆซากๆ จนคุณพ่อคุณแม่พาไปหาหมอรักษา ทั้งจิตเวชทั้งสะกดจิตทั้งหมอไสยศาสตร์ แต่ความฝันทั้งสองนี้ก็ไม่เคยหายไปได้เลย เจอคนทรงเจ้าเข้าผีเขาก็บอกว่ามันเป็นกรรมที่ชาติที่แล้วหล่อนไปฆ่าเขาตาย ชาตินี้เขาถึงตามมาทวงคืน เออๆๆ ในเมื่อมันเป็นกรรม งั้นหล่อนก็จะยอมรับผลกรรมนี้ไว้ มันจะได้จบๆไปเสียที เฮ้อ…เมื่อไหร่หนอหล่อนถึงจะเลิกฝันแบบนี้ซะที
ไปถามพระ พระท่านก็ว่าเพราะหล่อนมีกรรมร่วมกับพญานาคตัวนั้น เฮ้อ…นี่เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนานะ เซ็ง! หมดอารมณ์จะนอนเลย!
แพรวพราวมองนาฬิกาพอเห็นว่าตีห้าแล้วหล่อนจึงลุกจากเตียงไปอาบน้ำแล้วลงไปใส่บาตรกับคุณพ่อ
คุณพ่อของหล่อนเป็นข้าราชการย้ายมารับตำแหน่งนายอำเภอที่จังหวัดเชียงรายเมื่อเดือนที่แล้ว หล่อนจึงย้ายตามมาด้วย และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ส่วนคุณแม่ย้ายตามมาไม่ได้เพราะต้องคอยดูแลคุณยายซึ่งนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพ หล่อนเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่จึงทั้งรักและหวงดั่งไข่ในหิน
พอได้รู้จักกับรุ่นพี่นารินทร์ก็รู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น หล่อนนึกรักรุ่นพี่นารินทร์ประดุจญาติสนิทชิดเชื้อ รุ่นพี่ก็เอ็นดูหล่อนมากเช่นกัน จึงทำให้หล่อนสนิทสนมกับรุ่นพี่คนสวยได้อย่างง่ายดาย
พอใส่บาตรแล้วแพรวพราวก็นั่งทานอาหารเช้ากับคุณพ่อ หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสองก็แยกย้ายกันไป คุณพ่อไปทำงาน ส่วนหล่อนก็ขับโฟล๊คเต่าคันเก่งไปเรียน
โฟล๊คคันนี้เป็นของคุณตา ตกทอดมาถึงคุณแม่ จนมาถึงหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงรักรถคันนี้มาก คุณพ่อก็เอาไปซ่อมให้จนสภาพสวยเนี๊ยบไว้ให้หล่อนขับไปไหนมาไหนเอง พอย้ายมาเชียงรายคุณพ่อก็เอาพี่โฟล๊คมาด้วย
พอเรียนเสร็จแล้ว แพรวพราวก็ขับพี่โฟล๊คกลับบ้าน แต่ขับไปได้ซักพักพี่โฟล๊คก็เกิดเกเรขึ้นมาซะเฉยๆ จู่ๆเครื่องยนต์ก็ดับไป
“เฮ้ย! ไรง่ะ” แพรวพราวตกใจรีบเปิดไฟเลี้ยวหมุนพวงมาลัยชิดซ้ายแล้วจอดบนไหล่ทาง
หล่อนลองบิดกุญแจสตาร์ทแต่ก็นิ่งสนิท “พี่โฟล๊คจ๋า อย่าเกเรแบบนี้ซิจ๊ะ ติดนะจ๊ะ”
แพรวพราวบิดกุญแจสตาร์ทอีกหลายครั้ง แต่ก็นิ่งสนิทอยู่เหมือนเดิม หล่อนจึงลงไปเปิดกระโปรงท้ายดูเครื่องยนต์(โฟล๊คเต่าเครื่องยนต์อยู่ด้านหลัง กระโปรงหน้ารถเป็นที่เก็บของ)
ก้มๆเงยๆอยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงทักดังขึ้นข้างหลัง “อ้าว…น้องแพรว รถเสียเหรอจ๊ะ”
หล่อนรีบหันไปทันที “พี่ริน” วงหน้าสวยหวานคลี่ยิ้มดีใจ เหมือนสวรรค์ส่งแม่พระมาโปรด พอมองเลยรุ่นพี่ไปก็เห็นจ้าวพ่อของพี่รินยืนถัดไปส่งรอยยิ้มมาให้อย่างปราณี
หล่อนจึงรีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณน้า”
นาคินทร์รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีครับ” แล้วเขาก็ถามว่า “รถเสียเหรอครับ ถ้างั้นผมช่วยดูให้นะครับ” เขาอาสาอย่างเอื้ออาทร แล้วก็เดินเข้าไปก้มดูเครื่องยนต์ทันที
แพรวพราวรีบถอยไปยืนข้างๆรุ่นพี่ “ขอบคุณค่ะคุณน้า”
“หมดคาบแล้วเหรอจ๊ะน้องแพรว” นารินทร์ชวนคุย
“ค่ะพี่ริน” แพรวพราวพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้างั้นน้องแพรวไปเที่ยวบ้านพี่มั๊ยจ๊ะ เสียดายเมื่อคืนน้องแพรวรีบกลับ เลยไม่ค่อยได้คุยกันเลยอ่ะ” นารินทร์ชวน
แพรวพราวลังเล “เอ่อ…แพรวคงต้องถามคุณพ่อก่อนนะคะว่าท่านจะให้ไปรึเปล่า”
นารินทร์รีบบอก “งั้นก็โทรถามเลยนะจ๊ะ” หล่อนส่งสายตาอ้อนวอน
“ค่ะ งั้นพี่รินรอเดี๋ยวนะคะ” แพรวพราวบอกแล้วก็เดินไปเปิดประตูรถหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาคุณพ่อ
พอคุณพ่อรับสาย หล่อนก็รีบบอกว่า “คุณพ่อคะ คือแพรวขอไปเที่ยวบ้านพี่รินนะคะ นะคะคุณพ่อ” เสียงหวานใสอ้อนเต็มที่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากไปนัก
นาคินทร์เห็นสาวน้อยมัวพูดโทรศัพท์ก็อาศัยจังหวะดีโบกมือวูบ เครื่องยนต์กลไกต่างๆก็มีสภาพดีเหมือนของใหม่ แล้วเขาก็ถอยมายืนข้างๆลูกสาว
“ทำไมลูกถึงชวนน้องแพรวไปเที่ยวที่บ้านล่ะ มิกลัวความลับจะรั่วไหลหรือ” นาคินทร์ส่งกระแสจิตถาม
นารินทร์หันไปมองพระบิดาแล้วก็ส่งกระแสจิตตอบ “ไม่กลัวค่ะจ้าวพ่อ สำหรับน้องแพรว รินแน่ใจว่าต่อให้เค้ารู้เรื่องของพวกเราเค้าจะไม่มีวันเปิดเผยเรื่องของพวกเราต่อคนอื่นแน่ค่ะ”
นาคินทร์หันมามองลูกสาวอย่างค้นหา “ลูกแน่ใจเช่นนั้นหรือ อะไรทำให้ลูกแน่ใจล่ะว่าหากนางรู้เรื่องของพวกเราแล้วนางจะมิแพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้”
นารินทร์เม้มปากนิดนึงแล้วก็ตอบว่า “ไม่รู้ซิคะจ้าวพ่อ แต่รินมั่นใจอย่างนั้นค่ะ”
“ถ้าลูกมั่นใจเช่นนั้นก็ตามใจลูกเถิด” แล้วเขาก็หันไปมองแพรวพราว พอสาวน้อยตัดสายหันกลับมา เขาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“คุณพ่ออนุญาตค่ะพี่ริน แต่ห้ามกลับดึกเกิน 3 ทุ่มค่ะ” แพรวพราวบอกสีหน้ายิ้มดีใจ
นารินทร์ยิ้มแย้มชอบใจแล้วก็รีบบอกว่า “จ้าวพ่อซ่อมรถให้แล้วล่ะจ้ะ ลองไปสตาร์ทดูซิจ๊ะ”
แพรวพราวดีใจรีบยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะคุณน้า” จากนั้นหล่อนก็รีบเดินไปนั่งในรถแล้วลองสตาร์ทรถทันที
เครื่องยนต์สตาร์ทติด แพรวพราวก็ยิ่งดีใจใหญ่ หล่อนจึงก้าวออกจากรถมารีบยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง “ขอบคุณคุณน้ามากนะคะที่ช่วยซ่อมรถให้แพรว นี่ถ้าไม่ได้คุณน้าแพรวคงแย่แน่ๆเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” นาคินทร์ยิ้มตอบ
แล้วนารินทร์ก็รีบบอกว่า “ถ้างั้นน้องแพรวก็ขับรถตามไปบ้านพี่เลยนะ” แล้วหล่อนก็หันไปพูดกับพระบิดาว่า “ไปกันเถอะค่ะจ้าวพ่อ”
จากนั้นนาคินทร์และนารินทร์ก็เดินไปที่รถของตน แล้วจ้าวแห่งนาคราชก็ขับรถออกไป
แพรวพราวก็รีบเข้าไปนั่งในรถแล้วรีบขับตามไป
ณ เรือนไทย นารินทร์ชวนแพรวพราวไปนั่งคุยกันที่ระเบียงด้านหน้า นาฏนาคียกน้ำและขนมมาเสิร์ฟให้ผู้เป็นนายและแขก
“น้ำกับขนมชั้นแล้วก็ผลไม้ค่ะ” นาฏนาคีบอกกับแพรวพราว
“ขอบคุณค่ะ” แพรวพราวยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้
นาฏนาคียิ้มตอบแล้วก็เดินออกไป
แพรวพราวยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม แล้วก็มองไปรอบๆ พลัน! สายตาก็สะดุดหยุดมองไปที่เรือนศิลาอย่างตะลึง “เอ๊ะ! นั่นบ้านใครเหรอคะพี่ริน”
นารินทร์มองตามสายตาหล่อนแล้วก็ตอบว่า “อ้อ…นั่นบ้านจ้าวพ่อพี่เองแหละจ๊ะ”
“สวยจังค่ะ” แพรวพราวชม สายตายังมองเรือนศิลาอย่างหลงไหล แล้วก็หันไปถามรุ่นพี่ว่า “เอ่อ…ถ้าแพรวอยากจะขอไปถ่ายรูปบ้านของคุณน้าจะได้มั๊ยคะ”
นารินทร์ทำสีหน้าลังเล เพราะรู้ว่าพระบิดาไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามที่นั่น “เอ่อ…พี่คงต้องถามจ้าวพ่อก่อนนะจ๊ะ”
“พี่รินขออนุญาตคุณน้าให้แพรวหน่อยนะคะ นะคะพี่ริน” ดวงตาคู่สวยส่งสายตาอ้อนวอน
นารินทร์เห็นท่าทางออดอ้อนส่งสายตาอ้อนวอนแล้วก็นึกสงสาร “เอ่อ…ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ไปถามให้นะจ๊ะ”
แพรวพราวยิ้มดีใจ “ขอบคุณค่ะพี่ริน”
นารินทร์จึงลุกขึ้นเดินลงจากเรือนไทยไปหาพระบิดาที่เรือนศิลา
นาคินทร์เห็นลูกสาวเดินเข้ามาหาก็ถามน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีอะไรหรือลูก”
นารินทร์เข้าไปนั่งข้างพระบิดาแล้วก็รีบบอกว่า “คือน้องแพรวเค้าเห็นเรือนศิลาของจ้าวพ่อแล้วเค้าอยากจะขอถ่ายรูปน่ะค่ะ แต่ถ้าจ้าวพ่อไม่อนุญาตรินจะได้ไปบอกเค้าตรงๆค่ะ” หล่อนพูดอย่างเกรงใจ “รินรู้ค่ะว่าจ้าวพ่อไม่ชอบให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายที่นี่ค่ะ”
นาคินทร์ยิ้มให้พลางลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยนแล้วก็พูดว่า “น้องแพรวเค้าอยากจะถ่ายรูปก็ให้เค้ามาถ่ายเถิด พ่ออนุญาตจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะจ้าวพ่อ” นารินทร์ยิ้มดีใจแล้วก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มพระบิดา “ถ้างั้นรินกลับไปบอกน้องแพรวก่อนนะคะ”
นาคินทร์พยักหน้ามองอย่างอ่อนโยน “จ้ะ”
จากนั้นนารินทร์ก็รีบลุกขึ้นเดินเร็วๆกลับไปที่เรือนไทย
พอรู้ว่าเจ้าของบ้านอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แพรวพราวก็ดีใจใหญ่ “ขอบคุณนะคะพี่ริน
“ถ้างั้นแพรวไปถ่ายรูปเลยนะคะ” แล้วหล่อนก็รีบคว้ามือถือตัวเองขึ้นมา รอให้รุ่นพี่พาไปถ่ายรูป
แต่นาฏนาคีก็เดินเข้ามาบอกว่า “จ้าวรินทร์คะ คุณย่าโทรมาค่ะ”
นารินทร์ทำหน้างงๆว่า เอ…ทำไมคุณย่าไม่โทรเข้าไอโฟนของตนเองหว่า
พอนึกได้ว่าไอโฟนแบตหมดยังไม่ได้ชาร์ตจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณย่าถึงต้องโทรเข้าเครื่องที่บ้าน
หล่อนรีบหันไปบอกแพรวพราวว่า “เอ่อ…ถ้างั้นน้องแพรวเดินไปที่เรือนศิลาก่อนเลยจ้ะ เดี๋ยวพี่คุยกับคุณย่าเสร็จแล้วจะรีบตามไปนะจ๊ะ จ้าวพ่อก็อยู่ที่เรือนนั่นแหละจ้ะ”
“ค่ะพี่ริน” แพรวพราวตอบแล้วก็รีบเดินลิ่วๆไปที่เรือนหลังงาม
ส่วนนารินทร์ก็รีบเดินไปรับโทรศัพท์คุณย่า
นาคินทร์ยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่หน้าเรือน พอเห็นเพื่อนลูกสาวเดินมาก็ยิ้มให้ “น้องแพรวอยากจะถ่ายรูปก็เชิญตามสบายเลยนะครับ”
แพรวพราวรีบยกมือไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณคุณน้ามากนะคะที่อนุญาตให้แพรวถ่ายรูปบ้านของคุณน้า ขอบคุณมากค่ะ”
นาคินทร์ยิ้มรับแล้วก็เดินหลบไปยืนใต้ร่มไม้ตรงริมน้ำ
แพรวพราวไม่รอช้ายกมือถือถ่ายรูปบ้านหลังงามอย่างดีใจ หล่อนกดชัตเตอร์เก็บภาพแทบจะทุกมุมทุกรายละเอียด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงหลงใหลได้ปลื้มบ้านหลังนี้นัก
หล่อนเดินถ่ายรูปไปรอบๆบ้านจนทั่ว ใจอยากจะเข้าไปถ่ายรูปด้านในแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอ ก็แหม…แค่ได้ถ่ายรูปข้างนอกนี้ก็ถือว่าเจ้าของบ้านเมตตาแล้วนะ
นาคินทร์เห็นสีหน้าของสาวน้อยก็เข้าใจ จึงเอ่ยปากบอกว่า “ถ้าน้องแพรวอยากจะเข้าไปถ่ายรูปในบ้านก็เชิญนะครับ”
แพรวพราวทำหน้าดีใจอย่างออกนอกหน้า “คุณน้าให้แพรวถ่ายรูปข้างในได้จริงๆเหรอคะ” หล่อนถามอย่างตื่นเต้น
นาคินทร์พยักหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยน “ครับ เชิญครับ” แล้วเขาก็เดินนำสาวน้อยเข้าไปภายในเรือน
“ขอบคุณค่ะ” แล้วแพรวพราวก็รีบเดินตามไป ท่าทางดีใจสุดๆ หล่อนกดชัดเตอร์รัวเก็บทุกรายละเอียด ปากก็ชมว่า “บ้านคุณน้าสวยมากๆเลยค่ะ”
นาคินทร์ยิ้มรับแล้วก็ดูสาวน้อยถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ท่าทางตื่นเต้นดีใจ
เขาพาหล่อนไปถ่ายรูปห้องนั้นห้องนี้จนมาถึงห้องทำงาน ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยอมให้หล่อนเข้ามาถ่ายรูปได้ คงเพราะรอยยิ้มกับท่าทางดีอกดีใจของเจ้าหล่อนกระมัง
เขาพาหล่อนเข้าไปภายในห้องทำงาน
แพรวพราวยืนอยู่กลางห้อง หล่อนมองไปรอบๆห้องอย่างตกตะลึง ห้องนี้ช่างเหมือนกับห้องในความฝันของหล่อนเหลือเกิน