Skip to content

Reuan Si La 2 Chapter 4

Chapter 4

เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน!

บนโต๊ะทำงานมีโน๊ตบุ๊คเครื่องหนึ่งวางอยู่ ถ้าเป็นเมื่อสมัยยี่สิบกว่าปีก่อนก็เรียกว่ารุ่นใหม่ล่าสุด แต่พอมาถึงปัจจุบันโน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นก็ถือว่าเก่า…เก๋ากึ๋กเลยล่ะ แต่สภาพยังดูใหม่สะอาดตา  เหมือนผู้เป็นเจ้าของจะทนุถนอมเป็นอย่างดี

แพรวพราวหันไปทางตู้หนังสือแล้วก็ยืนตะลึง! พอตั้งสติได้หล่อนก็ชี้มือแล้วหันไปถามเจ้าของบ้านสีหน้าหวาดๆว่า “เอ่อ…คุณน้าคะ ข้างหลังตู้นั่น…เอ่อ…มีภาพ…เอ่อ…ภาพพญานาคอยู่บนผนังหรือเปล่าคะ”

นาคินทร์ตะลึงพรึงเพริด! นิ่งอึ้งเหมือนถูกสาปเป็นหิน

“เอ่อ…ภาพ…พญานาคสีทอง มีมั๊ยคะคุณน้า” เสียงหวานใสถามอย่างหวาดหวั่น วงหน้าสวยหวานซีดเผือดอย่างหวาดกลัว ตัวสั่นสะท้านน้อยๆ กลัวเหลือเกิน…สาธุ…ขอให้คุณน้าตอบว่าไม่มีทีเถิด…

นาคินทร์ถลันเข้าไปจับต้นแขนกลมกลึงถามน้ำเสียงดุดัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน!”

แพรวพราวตะลึงอึ้ง!

“บนผนังหลังตู้พวกนั้นมีภาพพญานาคจริงๆเหรอคะ” หล่อนเผลอถามเสียงดัง หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม

พอเห็นท่าทางหวาดหวั่นตกใจกลัวของสาวน้อย นาคินทร์ก็รู้สึกตัว พลางรีบปรับสีหน้าให้อ่อนลง “น้องแพรวรู้ได้ยังไงครับว่าตรงหลังตู้นั่นเคยมีภาพพญานาคอยู่”

พอได้ยินคำว่า…เคย แพรวพราวก็ใจชื่นขึ้น

“แพรวฝันค่ะ” หล่อนตอบแล้วก็สบตากับเจ้าของบ้าน

นาคินทร์ครุ่นคิดสีหน้าสงสัย “ฝันเหรอ ฝันว่ายังไงครับ” ดวงตาแดงเจิดจ้าจุดกึ่งกลางดวงตาสีทองมองสบตาสาวน้อยอย่างค้นหาคำตอบ

แพรวพราวสูดลมหายใจตั้งสติแล้วก็พูดว่า “คุณน้าคงต้องว่าแพรวบ้าแน่ๆคะ ถ้าแพรวจะบอกว่า แพรวฝันถึงห้องๆนี้ ในฝันของแพรวมันเป็นห้องโล่งๆ มันรกมาก ตามผนังมีแต่เถาไม้เต็มไปหมด แล้วตรงผนังตรงนั้น มันมีภาพพญานาคสีทองอยู่บนนั้น ในฝันแพรวลูบภาพนั้นแล้วก็โดนบาดเลือดไหล”

หล่อนหยุดชะงักไปนิดนึง แล้วก็เล่าต่อว่า “แล้วมันก็มีลมพัดแรงมาก แล้วพญานาคตัวนั้นก็เลื้อยออกมาจากผนังนั่นพุ่งเข้าหาแพรว”

หล่อนสบตาเขาสีหน้าหวาดหวั่น “คุณน้าจะว่าแพรวบ้าก็ได้นะคะ แต่แพรวฝันแบบนี้จริงๆ แพรวฝันซ้ำๆแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆเลยล่ะค่ะ” หล่อนยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น

นาคินทร์ตะลึงงัน! เผลอหลุดปากเรียก “เจ้าลินจ๋า”

แพรวพราวตะลึงพรึงเพริดอีกรอบ “เหมือนเหลือเกิน ทำไมมันช่างเหมือนเสียงของผู้ชายคนนั้นจังเลย”

นาคินทร์รั้งร่างน้อยเข้ามากอด ซบหน้ากับบ่าเล็กอย่างตื่นเต้นดีใจยินดีปรีดา “โอ้…เจ้าลินจ๋า  เจ้าลินของพี่ เจ้ากลับมาหาพี่แล้ว” น้ำตาแห่งความยินดีรินไหลอาบแก้ม

แพรวพราวมัวแต่ตกตะลึงจึงยืนนิ่งให้เขากอดเฉย

“เจ้าลินของพี่” นาคินทร์แน่ใจว่าแพรวพราวก็คือเจ้าลินกลับชาติมาเกิด

แม้ยามเกิดในภพชาติใหม่จะจดจำภพชาติเดิมมิได้ แต่ถึงอย่างไรดวงจิตที่ผูกพันกันก็ยังจดจำความทรงจำบางอย่างหลงเหลือไว้

ครั้นแพรวพราวตั้งสติได้หล่อนก็พยายามดันเขาออก “เอ่อ…คุณน้าคะ ปล่อยแพรวก่อนค่ะ”  หล่อนทำหน้าไม่ค่อยถูกทั้งอึดอัดลำบากใจ ทั้งหวาดหวั่นใจ กระดากใจที่ถูกคุณพ่อของรุ่นพี่กอดแบบนี้ กลัวใครจะเข้ามาเห็นด้วย

นาคินทร์ยิ่งกอดรัดหล่อนแน่น ปากก็พร่ำบอกว่า “เจ้าลินจ๋า เจ้ารู้มั๊ยว่าพี่คิดถึงเจ้าทุกลมหายใจ”

แพรวพราวจึงยิ่งดิ้นพยายามผลักเขาออก “คุณน้าคะ ปล่อยแพรวนะคะ! คุณน้าคะ นี่แพรวนะคะ ไม่ใช่เจ้าลินของคุณน้า!” หล่อนสะบัดตัวสุดแรงพร้อมกับผลักเขาเต็มที่

นาคินทร์ผงะไป “เจ้าลิน!” เขาเรียกอย่างตกใจปนน้อยใจ

พอหลุดออกมาได้แพรวพราวก็รีบวิ่งไปทันที สีหน้าสาวน้อยยามนี้เหมือนกวางตื่นภัย หล่อนวิ่งไปจนชนกับรุ่นพี่ตรงหน้าเรือน พลั่ก!

“โอ้ย!” สองเสียงร้องประสาน ต่างถลาเซจะล้มลง ดีว่าต่างคนต่างทรงตัวไว้ได้

นารินทร์มองรุ่นน้องอย่างแปลกใจ “น้องแพรวเป็นอะไรไปจ๊ะ ทำไมวิ่งหน้าตื่นมาแบบนี้ล่ะจ๊ะ”

แพรวพราวมองรุ่นพี่แล้วก็รีบบอกว่า “พี่รินคะ แพรวกลับล่ะค่ะ” แล้วหล่อนก็รีบวิ่งตรงไปที่รถของตัวเอง

นารินทร์ร้องเรียกอย่างงงๆ “น้องแพรว…น้องแพรวจ๊ะ เดี๋ยวซิจ๊ะน้องแพรว”

นาคินทร์วิ่งตามมา “เจ้าลินเดี๋ยวก่อน” พอเห็นลูกสาวยืนอยู่ก็ชะงักกึก!

นารินทร์หันไปมองพระบิดาอย่างงงๆ

แพรวพราวเปิดประตูรถได้ก็ก้าวพรวดเข้าไปนั่ง บิดกุญแจที่เสียบคาไว้สตาร์ทหมับ จากนั้นก็ใส่เกียร์แล้วเหยียบคันเร่งขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

สองพ่อลูกมองตามรถโฟล๊คไปจนรถลับตา แล้วก็หันมามองหน้ากัน

นารินทร์ถามพระบิดาทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะจ้าวพ่อ ทำไมน้องแพรวถึงมีท่าทางตกใจแล้ววิ่งหนีไปแบบนั้นล่ะคะ”

นาคินทร์มองหน้าลูกสาวแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ คงต้องคุยกันยาวล่ะ…

จากนั้นเขาก็บอกลูกว่า “เข้ามานั่งข้างในก่อนซิลูก” แล้วเขาก็หมุนตัวเดินไปนั่งที่โซฟา

นารินทร์รีบตามไปนั่งข้างๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะจ้าวพ่อ รินงงไปหมดแล้วค่ะ”

นาคินทร์สบตาลูกแล้วก็พูดว่า “หากพ่อจะบอกว่าน้องแพรวคือแม่ของลูกกลับชาติมาเกิด  ลูกจะเชื่อพ่อมั๊ยจ๊ะ”

นารินทร์อึ้ง! ตะลึงงัน สมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะ หล่อนมองจ้องดวงตาพระบิดาค้างอยู่อย่างนั้น

ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยรับรู้ เพราะพระบิดา จ้าวอา อานาคาและอานาฏพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าซักวันนึงจะต้องได้พบกับจ้าวแม่ที่มาเกิดใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

ครั้นพอพระบิดาพูดเช่นนี้ ถึงจะเคยเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่มันก็ยังช๊อคอยู่ดีอ่ะ น้องแพรวเนี่ยนะคือจ้าวแม่ที่มาเกิดใหม่!

“นารินทร์” นาคินทร์เรียกอ่อนโยนพร้อมกับจับมือลูกมากุมไว้ ตบหลังมือเบาๆ

นารินทร์สูดลมหายใจเข้าตั้งสติ สายตาจับจ้องมองพระบิดาเขม็ง “น้องแพรวคือจ้าวแม่มาเกิดใหม่จริงๆเหรอคะจ้าวพ่อ” หล่อนหลุดปากถามเสียงเบาหวิว

นาคินทร์พยักหน้ารับ “จริงจ้ะลูก แต่แม่ของลูกจำภพชาติที่แล้วมิได้หรอกนะ” เสียงทุ้มเจือแววเศร้าแล้วก็พูดต่อว่า “พ่อยังมิทันได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้นางฟัง นางก็เตลิดไปเสียก่อน”

“แล้วยังงี้จะทำยังไงต่อไปล่ะคะ จ้าวพ่อมีวิธีทำให้จ้าวแม่จำได้มั๊ยคะ” นารินทร์ถามอย่างตั้งความหวัง หากจ้าวแม่จำได้ หล่อนจะได้มีแม่เหมือนคนอื่นเขาเสียที

“วิธีนั้นมีอยู่ นั่นก็คือต้องนำดอกปาริชาติจากแดนสรวงมาคืนความทรงจำให้แก่นาง แต่ก็เสี่ยงนักหากจ้าวแม่ของลูกคุมสติมิได้ นางอาจจะสับสนจนสติฟั่นเฟือนได้”

นารินทร์ตกใจตะลึง “ไม่นะ” แล้วหล่อนก็ส่ายหน้า “ถ้าจ้าวแม่ต้องสติฟั่นเฟือนรินไม่ยอมให้จ้าวพ่อทำแบบนั้นแน่ค่ะ”

“พ่อก็มิอยากใช้วิธีนี้หรอกลูก อีกอย่างดอกปาริชาติเป็นของล้ำค่าแห่งแดนสรวง องค์อมรินทร์มิยอมมอบให้พ่อยืมมาใช้แน่” นาคินทร์บอกแล้วก็ลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน

ทำไมเขาจะมิรู้ว่าลูกโหยหาอ้อมกอดของแม่ขนาดไหน ถึงแม้เขาจะเลี้ยงดูให้ความรักอย่างดีที่สุด แต่นารินทร์ก็ยังโหยหาอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของพระมารดา

นาคินทร์จึงดึงลูกเข้ามากอดพร้อมกับลูบหัวลูกเบาๆ

“ถ้างั้นจ้าวพ่อจะทำยังไงล่ะคะ ยังมีทางอื่นอีกมั๊ยคะ” นารินทร์เอาหน้าแนบกับอกพระบิดา  เหลือบตามองเสี้ยวหน้างามสง่า

นาคินทร์ถอนหายใจ หัวใจหนักอึ้ง “หากนางมิระลึกชาติด้วยตัวเองก็มิมีวิธีใดอีกแล้วล่ะลูกเอ๋ย…”

แพรวพราวขับรถไปจนถึงบ้าน หล่อนจอดรถแล้วก็รีบไขกุญแจเปิดประตูบ้าน คุณพ่อยังไม่กลับ หล่อนจึงรีบวิ่งเข้าห้องนอน พอปิดประตูห้องหล่อนก็พิงประตู แล้วรูดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงอยู่ตรงหน้าประตูนั้นเอง  น้ำตารินไหลอาบสองแก้มนวลเนียน

นี่มันอะไรกัน! ห้องนั้นมันมีอยู่จริงๆรึนี่! ความฝันของเรากับห้องๆนั้นมันเกี่ยวข้องกันยังไงนะ!  แล้วทำไมคุณน้าจ้าวพ่อของพี่รินถึงได้เรียกเราว่าเจ้าลินล่ะ! นี่มันอะไรกัน…เรางงไปหมดแล้ว

หล่อนสับสนไปหมด ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนมึนงง

หล่อนนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงคุณพ่อเรียกพร้อมกับเคาะประตู “น้องแพรว ลูกอยู่ในห้องรึเปล่าคะ”

แพรวพราวรีบขานตอบพร้อมกับเช็ดน้ำตา “ค่ะคุณพ่อ”

“ทานข้าวรึยังคะ ไหนหนูบอกพ่อว่าจะไปบ้านเพื่อนไงคะ แล้วทำไมหนูกลับมาเร็วจังล่ะคะ”  ประกิตถามอ่อนโยน

แพรวพราวรีบปรับน้ำเสียงไม่ให้คุณพ่อรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้

“พอดีแพรวนึกได้ว่าต้องทำรายงานน่ะคะ แพรวก็เลยรีบกลับค่ะ แล้วคุณพ่อละคะทานอะไรมารึยังคะ”

“ยังค่ะ พ่อซื้อน้ำเต้าหูมาด้วยนะคะ แล้วน้องแพรวละคะทานข้าวรึยังคะลูก”

“ยังค่ะคุณพ่อ เอ่อ…เดี๋ยวแพรวอาบน้ำก่อนนะคะ”

“ค่ะลูก อาบน้ำแล้วก็ลงไปทานข้าวนะคะ เดี๋ยวพ่อทำกับข้าวรอนะคะ”

“ค่ะคุณพ่อ” แล้วแพรวพราวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคุณพ่อเดินไป หล่อนรีบเดินไปถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ หยุดคิดเรื่องต่างๆไว้ชั่วคราว

 

ประกิตกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาเขาก็เหลือบไปมอง “ตักข้าวรอเลยค่ะลูก” แล้วเขาก็หันไปผัดผักต่อ

“ค่ะคุณพ่อ” แพรวพราวเดินไปหยิบจานกับช้อนไปจัดวางที่โต๊ะรับประทานอาหาร จากนั้นก็ยกโถข้าวไปวางบนโต๊ะ แล้วก็ตักข้าวใส่จานวางเรียง

พอประกิตตักผัดผักใส่จานเสร็จ เขาก็รีบยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะ

แพรวพราวก็หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นมารินใส่แก้ว

“นั่งเลยค่ะลูก” ประกิตบอกแล้วก็นั่งลง

“ค่ะคุณพ่อ” แพรวพราวรีบนั่งตาม แล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ ซึ่งเป็นอาหารมังสวิรัตทั้งหมด  เพราะหล่อนไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงแตะต้องอาหารที่มีเนื้อสัตว์ปนไม่ได้เลย ถ้าเผลอทานเข้าไปทีไรเป็นได้อาเจียนจนหมดใส้หมดพุงทุกที หล่อนเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเลยล่ะ

ตอนที่คุณแม่ตั้งท้องหล่อน ท่านก็ทานได้แต่อาหารมังสวิรัตอาหารเจ เพราะถ้าท่านทานอาหารที่ใส่เนื้อสัตว์ทีไรเป็นต้องอาเจียนอาหารที่ทานเข้าไปออกมาจนหมด จนใครๆต่างก็พากันพูดว่าหล่อนคือผู้มีบุญมาเกิด

จากนั้นสองพ่อลูกก็ลงมือทานข้าว ทานข้าวไปก็คุยกันไปด้วย แพรวพราวพยายามทำสีหน้าเป็นปกติไม่อยากให้คุณพ่อรู้ว่าตัวเองกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ

หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วแพรวพราวก็รีบขอตัวเข้าห้องอ้างว่าต้องทำรายงาน ประกิตพยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินไปนั่งดูทีวี

แพรวพราวเข้าห้องปิดประตูแล้วเดินไปนั่งที่เตียง พออยู่คนเดียวสมองก็คิดถึงเรื่องต่างๆที่ได้เผชิญมา ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงสับสนไปหมด

ฉับพลัน! เบื้องหน้าหล่อนก็ปรากฎร่างของนาคินทร์ขึ้นตรงหน้า

“เจ้าลินจ๋า” เขาเรียกอ่อนหวาน

แพรวพราวเงยหน้ามองอย่างตกใจ “คุณน้า!” หล่อนอึ้งตะลึง ตาเบิกกว้าง

นาคินทร์ฉวยข้อมือเรียวเล็กรั้งตัวหล่อนให้ลุกขึ้นพลางตวัดวงแขนรัดร่างน้อยเข้ามาแนบอก

“อุ๊ย! คุณน้าจะทำอะไรคะ ปล่อยแพรวนะคะ แล้วนี่คุณน้าเข้ามาได้ยังไงคะ” หล่อนถามเขารัวเร็วพร้อมกับยกสองมือยันอกเขาพลางดันตัวออก

แต่ท่อนแขนแกร่งก็รัดแน่นซะเหลือเกิน ให้ตายเถอะ…แขนคนหรืองวงช้างกันแน่ฟร่ะ

แพรวพราวมัวแต่พยายามผลักเขาออก จึงไม่ทันสังเกตว่าวินาทีที่เขารั้งตัวหล่อนเข้าไปในอ้อมกอด จ้าวแห่งนาคราชก็ใช้อิทธิฤทธิ์พาหล่อนหายตัวจากห้องนอนมาปรากฎตัวภายในห้องนอน ณ เรือนศิลา

วงหน้าสวยงอง้ำทันตา ถึงเป็นจ้าวพ่อพี่รินก็เหอะ มาทำแบบนี้ก็ต้องเจอนี่เล้ย!… หล่อนยกสองแขนโอบรอบคอเขา ยิ้มหวานหยดย้อย

“คุณน้าขา” หล่อนเรียกเขาหวานจ๋า แล้วหล่อนก็โน้มคอเขาลงมาพร้อมกับงอเข่าขึ้นกระแทกใส่ท้องเขาเต็มแรง “ตุ๊บ!”

“อุ๊บ!” นาคินทร์เจ็บจนจุกตัวงอทันควัน

แพรวพราวรีบสะบัดตัวให้หลุดจากเขาทันที

“เป็นไงคะคุณน้า จุกสะใจดีมั๊ยคะ ถ้ายังไม่พอเดี๋ยวแพรวจัดชุดใหญ่ให้ได้นะค่ะ เกลียดนักเชียวพวกชอบแต๊ะอั๋งเนี่ย!” หล่อนเข่นเขี้ยวใส่เขา แต่พอมองไปรอบตัวก็ต้องตะลึงอึ้งเหมือนถูกสาป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!