บทที่ 239 ข้าจะจัดการทุกอย่าง! (ต้น)
“หยุดก่อน!” เยี่ยฉวนยกมือขวาขึ้นสกัดปัดป้อง ดังนั้นโม่อวิ๋นฉีจึงชะงักถอยอย่างระแรงระวัง หรือไม่ก็ตื่นตัวทันที ด้วยเขารู้ดีว่าเยี่ยฉวนอาจจู่โจมกระทันหันโดยไม่บอกไม่กล่าว!
แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะชายหนุ่มยื่นมือมาจับบ่าของโม่อวิ๋นฉีไว้จนแน่นปากก็พูดว่า “ที่พูดนั่นจริงหรือเปล่า?” อีกฝ่ายรีบพยักเพยิด “จะ จริงเซ่ แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าหงึก “งั้นก็ดี เจ้าพูดให้ข้าฟังใหม่นะ พูดให้เหมือนเดิมสักสองรอบ!”
โม่อวิ๋นฉี “……” ในที่สุดโม่อวิ๋นฉีก็จำต้องทำตามด้วยการพูดกรอกหูซ้ำๆ ซากๆ กว่าที่เยี่ยฉวนจะยอมกลับออกไป
โดยมีโม่อวิ๋นฉีมองตามหลังตาละห้อย ทันทีที่ชายหนุ่มลับกายไป โม่อวิ๋นฉีก็ทรุดฮวบลงไปกองที่พื้นและทำท่าเหมือนจะอาเจียน “เวรแท้ ทุเรศตัวเองนักไอ้บ้าเอ๊ย ทำไปได้ไง……”
สักพักใหญ่เขาจึงค่อยยันกายลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น สายตาฉายประกายกร้าว “วันนี้เจ้าทำให้ข้าได้รับความอดสู คอยดูทีข้าบ้างจะตอบแทนเป็นสิบเท่าเลย!” จากนั้นคนแหกปากตะโกนลั่น วิ่งเตลิดออกไปราวกับคนบ้า
ส่วนเยี่ยฉวนเดินกลับไปที่ป่าไผ่จากนั้นจึงเข้าไปในหอคอย เขายกมุมปากยิ้มเมื่อสัมผัสได้ว่ากระบี่ใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เมื่อสุดท้ายแล้วเยี่ยฉวนตัดสินใจว่าจะไม่ดูดกลืนกระบี่เล่มนี้!
ทั้งนี้เพราะเมื่อเขาผนึกพลังปฐพีเข้าด้วยกันก็สามารถใช้งานกระบี่ใหญ่ได้!
เมื่อใดที่ใช้กระบี่เล่มใหญ่ เมื่อนั้นพลังชนิดอื่นจะผนึกเข้ากับกระบี่ของเยี่ยฉวน!
ด้วยอำนาจควบคุมอย่างเต็มที่!
การใช้กระบี่ใหญ่และสำแดงเดชหนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ประสิทธิภาพของมันคงน่าอัศจรรย์ใจนักโดยเฉพาะภายหลังจากผสานพลังปฐพีเข้าด้วยแล้ว!
ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง “เจ้าเป็นกระบี่สีดำสนิทดุจความมืดและมีขนาดใหญ่โตแปลกตา ข้าจะเรียกว่ามหากาฬ! กระบี่มหากาฬ!”
หลังจากนั้นเยี่ยฉวนใช้เวลาพินิจพิจารณากระบี่พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดชายหนุ่มออกจะพอใจกับชื่อกระบี่ที่ตนเป็นตั้งอยู่ไม่น้อย ขณะนั้นเองเยี่ยฉวนคำนึงถึงความกล้าแกร่งของตน ถึงแม้เวลานี้เขาจะไม่ถึงขั้นสันโดษ แต่หากจะให้สำเร็จเขาสามารถทำได้ทุกเมื่อ และในตอนนี้เขามีเงินทองมากพอ!
อีกทั้งไม้ตายที่แอบซ่อนไว้คือหนึ่งกระบี่ชี้ชะตา กับทั้งทักษะดวงตากระบี่……
ทั้งสองยุทธ์ให้ผลที่สร้างความประหลาดใจได้ไม่น้อย ไหนจะยังกฎแห่งเต๋าอีกล่ะ!
พลังหนึ่งกระบี่ชี้ชะตาทับซ้อนไว้ด้วยกฎแห่งเต๋า!
แรงผลักดันแห่งกระบี่ ปณิธานกระบี่ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ พลังปฐพีและหนึ่งกระบี่ชี้ชะตา เมื่อทั้งห้าทักษะถูกนำมาผนึกรวมจึงเป็นไม้ตายของเยี่ยฉวน!
สำหรับหอคอยแห่งเรือนจำนั่นเหรอ เยี่ยฉวนคิดแล้วว่าเขายอมตายเสียดีกว่าจะเลือกใช้มัน!
ด้วยเพราะนำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่ง!
ชายหนุ่มย้อนกลับไปที่ป่าไผ่ เขาเงยหน้ามองไปที่สุดขอบฟ้าพลันภาพของสตรีนางหนึ่งผุดขึ้นจากห้วงคำนึง…
นางสวมชุดสีขาวสะอ้านไร้มลทิน!
เป็นอันหลานซิ่ว!
เวลานี้เยี่ยฉวนไม่รู้ว่านางบรรลุขั้นพลังระดับใดแล้ว!
เยี่ยฉวนยังอดยิ้มกับตนเองไม่ได้ “แม่นางน้อย… อันหลานซิ่ว คอยข้าก่อน!” ยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่นานเยี่ยฉวนก็หันหลังกลับออกไป
ตอนที่เขาเดินเข้าไปในครัว จึงพบว่าจี้อันซื่อยังนั่งสับท่อนไม้อยู่ที่เดิม ทันทีที่สายตาเหลือบเห็นคนที่เพิ่งเข้ามา หญิงสาวชะงักมือที่กำลังเงื้อดาบ ในปากคาบหมั่นโถวคาอยู่ครึ่งลูก!
เยี่ยฉวนยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “เจ้ามากับข้า ไปซื้อของด้วยกัน!” ฝ่ายหญิงไม่ตอบปฏิเสธ นางจัดการเก็บดาบลงฝัก และเดินตามเยี่ยฉวนลงเขาไปเงียบๆ
ฟ้าเริ่มสาง แสงทองแห่งพระอาทิตย์เริ่มทอประกาย เหลือเวลาอีกไม่เกินสองชั่วยาม ก่อนเวลาคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสถานศึกษาฉางหลานจะเริ่มอย่างเป็นทางการ ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งคู่เดินเคียงกันมาช้าๆ
ครู่ใหญ่ต่อมาเยี่ยฉวนและจี้อันซื่อมาถึงด้านหน้าอาคารหอสำนักอัปสรเมรัย คนทั้งสองได้รับการต้อนรับจากบริกรสตรีผู้มีนามว่าเสี่ยวกู หญิงสาวผู้นี้หน้าตาหมดจด สายตาที่มองตรงมาสามารถแยกแยะได้ทันทีที่เห็นหน้าผู้ที่กำลังเดินเข้ามา จึงให้การต้อนรับด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
เยี่ยฉวนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องการซื้อเสื้อผ้าสักสองสามชุด!” เสี่ยวกูหันมาทางจี้อันซื่อและคลี่ยิ้มกว้าง “นายท่านเยี่ย แม่นางจี้ เชิญทางนี้เจ้าค่ะ!” นางหันหลังกลับและเดินนำเยี่ยฉวนและจี้อันซื่อไป……
ชายหนุ่มนั่งรออยู่ภายในห้องรับรองแขก หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวกูเดินนำหน้าโดยมีหญิงสาวแต่งกายสวยงามเดินตามมาข้างหลัง จี้อันซื่อซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
หญิงสาวเปลี่ยนมาสวมเสื้อสีดำน้ำหมึกและกระโปรงสีเขียวเข้มใบไม้ ซึ่งมีขนาดพอดีกับรูปร่างสมส่วนกลมกลึง ไม่เล็กหรือใหญ่ ทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ตรึงตาไม่น้อยทีเดียว แม้ว่าใบหน้าปราศจากรอยยิ้มแต่ก็ไร้วี่แววเยือกเย็นเฉยชา ในทางตรงกันข้ามกลับมีประกายอ่อนหวานละมุนละไม จนดึงดูดคนรอบข้างให้หันมองและอยากเข้าใกล้
เยี่ยฉวนเองเมื่อได้เห็นยังอดยิ้มไม่ได้ “ชอบไหม?”
จี้อันซื่อพยักหน้า “ชอบ!”
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง “ดี งั้นเอาชุดนี้แหละ!” จากนั้นเขาหันไปพูดกับเสี่ยวกู หญิงสาวที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง “จัดเสื้อผ้าบุรุษขนาดเท่ากับข้าสักสองชุด และขนาดใหญ่พิเศษอีกชุดนะ!”
เยี่ยฉวนสั่งเสื้อผ้าบุรุษสำหรับตัวเอง โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ ด้วยเขาคิดว่าสมควรที่ทุกคนจะต้องสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เนื่องในโอกาสวันสำคัญที่กำลังจะมาถึง
สำหรับพวกผู้ชายเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ควรเรียบง่ายสบายๆ แต่หญิงสาวจี้อันซื่อนั้นแตกต่างเพราะเป็นสตรี ดังนั้นการทดลองสวมด้วยตัวเองจะเหมาะกว่า!
บริกรหญิงค้อมตัวรับคำสั่ง “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นนางทำท่าหันกลับเตรียมออกไปจัดการตามคำสั่ง ทว่าเสียงของจี้อันซื่อกลับดังขึ้นไล่หลังมาว่า “เอาชุดอื่นมาให้ข้าอีก!” เสี่ยวกูหันมามองหน้าคนพูดเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายจึงพูดรัวเร็ว “เอามาทุกชุดนั่นแหละ!”
บริกรเสี่ยวกูงงงันเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบทันที “ได้เจ้าค่ะ!” จากนั้นจึงกระวีกระวาดกลับออกไป
จี้อันซื่อทรุดตัวลงบนม้านั่งที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าผลไม้บนโต๊ะใส่ปากเคี้ยวเป็นการฆ่าเวลา ครู่หนึ่งจึงหันไปถามเยี่ยฉวน “ทำไม?”
แม้คำถามอาจฟังดูว่าห้วนสั้น ทว่าเยี่ยฉวนเข้าใจในความหมายของนางดี เขาทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าทำทุกอย่างเพื่อจะนำร่างของศิษย์ฉางหลานที่ถูกแขวนตามทางเดินขึ้นเทือกเขาฉางซานกลับคืนมา ที่ผ่านมาเจ้าต้องทนรับภาระหนักมาโดยตลอด……ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้แค้นให้อาจารย์ใหญ่จี้ การทำความประสงค์ของเขาก่อนตาย รวมทั้งฟื้นฟูฉางหลาน……ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องลำบากแล้ว ข้าจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง” หญิงสาวนั่งฟังนิ่ง หากไม่มีคำพูดใดได้แต่มองหน้าเยี่ยฉวนอยู่เช่นนั้น
— จบตอน —



