บทที่ 319 ยอมแพ้หรือยอมตาย! (ปลาย)
……
เยี่ยฉวนกล่าวยิ้ม “ผู้อาวุโสอย่าพูดอย่างนี้เลยขอรับ ที่ผ่านมาสำนักอัปสรเมรัยช่วยข้ามามากแล้ว” ……
……
จากนั้นจึงเอ่ยประโยคถัดมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ความช่วยเหลือของสำนักอัปสรเมรัยเกินกว่าคำว่ามิตรภาพด้วยซ้ำ ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือข้าด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง แต่สำนักอัปสรเมรัยก็ยังช่วยเหลือให้ข้ารอดพ้นจากวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง เรื่องนี้ข้าจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม ต่อไปถ้าสำนักอัปสรเมรัยต้องการความช่วยเหลือ ข้า เยี่ยฉวนจะช่วยท่านอย่างเต็มที่ขอรับ” ……
..
แววตาของจ้าวหอชั้นห้าทอประกายล้ำลึก ถ้าตอนแรกพวกเขาคิดช่วยเยี่ยฉวนเพียงเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเซียนกระบี่ผู้เป็นอาจารย์ของหนุ่มตรงหน้า ทว่าบัดนี้ เขากลับรู้สึกประทับคนคนนี้เข้าจริงเสียแล้ว เยี่ยฉวนเองบางครั้งอาจแสดงออกว่าหุนหันพลันแล่นบ้าง แต่เขานับว่าเป็นคนที่ควรค่าแก่การมีน้ำมิตรต่อกันยิ่งนัก
นับตั้งแต่สถานศึกษาฉางมู่เป็นฝ่ายปฏิเสธเยี่ยฉวน มันก็นับเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีของสถานศึกษาแห่งนี้!
ถ้าพวกเขายอมรับยอดฝีมือผู้นี้เสียตั้งแต่ตอนนั้น คนคนนี้คงจะต้องยอมพลีกายถวายชีวิตให้เป็นการตอบแทนโดยไม่ต้องสงสัย!
เหมือนเช่นที่ทำกับอาจารย์ใหญ่จี้และสถานศึกษาฉางหลาน……
เมื่อรำลึกได้ตรงนี้จ้าวหอชั้นห้าลอบถอนใจเบาๆ จากนั้น คนผายมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า ต่อมาปรากฏหีบทรงยาวบรรจุสิ่งของไว้ภายใน เขาจึงยื่นให้เยี่ยฉวน “สหายข้า ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้”
เยี่ยฉวนรับมา เมื่อขยับฝาหีบเปิดออกจึงเผยให้เห็นภายในมีกระบี่สองเล่มวางเรียงกัน ซึ่งทั้งสองกระบี่มีความเหมือนกันแทบไม่ผิดเพี้ยน
แต่ละกระบี่คะเนความยาวราวครึ่งจั้ง แต่คมกระบี่แคบกว่ากระบี่ทั่วไปมาก ด้วยมีความกว้างเพียงหนึ่งนิ้วมือเดียวเท่านั้น!
กระบี่เฉียบบาง!
เสียงของจ้าวหอชั้นห้าชี้แจงมาว่า “กระบี่สองเล่มนี้มีชื่อว่าลมกรดพิฆาต ทั้งคู่มิใช่กระบี่สามัญแต่เป็นกระบี่เหิน กระบี่ชนิดนี้สร้างขึ้นสำหรับมือกระบี่ผู้มีพลังควบคุมกระบี่ ถ้าเจ้าสามารถควบคุมกระบี่ชนิดนี้ได้ กระบี่จะทำให้ทักษะความกล้าแกร่งในการต่อสู้ของเจ้าเพิ่มขึ้นสองเท่าตัว สำนักอับปสรเมรัยจัดการลบร่องรอยของเจ้าของเดิมออกหมดแล้ว ฉะนั้น เจ้าจึงเอาไปใช้ได้ทันที”
ลมกรดพิฆาต!
ชายหนุ่มก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในหีบเบื้องหน้า และหยิบกระบี่ทั้งสองขึ้นมาพิจารณา เมื่อพ้นขึ้นจากหีบกระบี่ทั้งคู่พลันทะยานขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว
เยี่ยฉวนชี้นิ้วมือข้างขวาสองนิ้วออกไปเบื้องหน้า ในชั่ววิบตาเดียว กระบี่สองเล่มทะยานขึ้นสู่ยอดไม้สูงสุดกู่กว่า 45 จั้ง พลันต่อมา ทั้งคู่ก็ทะยานกลับคืนสู่เยี่ยฉวนอีกครา ทว่าปรากฏว่ามีใบไม้สองใบลอยละลิ่วจากยอดไม้สูงกว่า 45 จั้ง ตกลงมา
เมื่อเห็นสิ่งที่บังเกิดต่อหน้า จ้าวหอชั้นห้าถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ตัวของจ้าวหอเองเคยรับรู้มาว่าชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถควบคุมกระบี่ แต่ไม่คิดเลยว่ากระบี่ที่เยี่ยฉวนควบคุมจะมีความเร็วปานฉะนี้ ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นหวาดอยู่ลึกๆ ในใจ ด้วยความเร็วชนิดนี้ หาใช่ความสามารถของคนในขั้นพลังสุดยอดสันโดษอย่างที่คิด!
ขณะนั้น เยี่ยฉวนกำลังยืนลูบคลำกระบี่ทั้งสองอยู่ที่เบื้องหน้าของจ้าวหอ พลางกล่าวว่า “เจ้าลมกรดพิฆาต เป็นกระบี่ที่เยี่ยมยอดจริงๆ!”
และดูเหมือนกระบี่จะสื่อกันได้กับเยี่ยฉวน ด้วยมีสัญญาณตอบรับเสียงดังกริ่งจากกระบี่ทั้งสองอย่างแผ่วเบา
เยี่ยฉวนหัวเราะเบาๆ และจัดการเก็บกระบี่ทั้งสองลงในหีบ จากนั้นก็หันมาคารวะด้วยการกระแทกกำปั้นกับฝ่ามือต่อจ้าวหอชั้นห้าและว่า “ขอบคุณขอรับ ผู้อาวุโส!”
ว่าแล้วเขาดึงของสิ่งหนึ่งออกมาเป็นแผ่นป้ายทองคำชิ้นหนึ่ง เมื่อจ้าวหอชั้นห้าเห็นดังนั้น เขารีบสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ สำนักอัปสรเมรัยของเรายินดีมอบให้เจ้าโดยไม่รับเงิน”
เยี่ยฉวนจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มิตรถาพก็ส่วนมิตรภาพ ค้าขายก็ส่วนค้าขายขอรับ”
ว่าแล้ว เขาก็หยิบแผ่นป้ายทองคำส่งให้กับจ้าวหอชั้นห้า เมื่ออีกฝ่ายไม่ปรารถนาจะรับไว้ เยี่ยฉวนจึงหน้าเครียดเคร่ง “หากท่านไม่ยอมรับไว้ ต่อไปข้าจะไม่กล้าขอร้องสำนักอัปสรเมรัยอีกแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น จ้าวหอชั้นห้าจึงจำรับมาอย่างเสียไม่ได้และได้แต่ฝืนยิ้มก่อนจัดการเก็บแผ่นป้ายทองคำทั้งสองชิ้น
ซึ่งแผ่นป้ายทองคำนี้มีมูลค่าถึงแผ่นป้ายละสองร้อยเหรียญทอง!
เยี่ยฉวนกล่าวต่อไปอีกว่า “ผู้อาวุโส ต่อไปคงต้องรบกวนท่านช่วยแจ้งข่าวบอกกล่าวแก่ข้า และอาจต้องขอแรงพวกท่านช่วยขายของล้ำค่าด้วยขอรับ!”
จ้าวหอชั้นห้าสีหน้าเคร่งขรึงพลางว่า “เป็นความเห็นชอบจากบรรดาจ้าวหอ ให้ทางสำนักอัปสรเมรัยให้ความร่วมมือช่วยเหลือเจ้าอย่างดีที่สุด แต่การส่งยอดยุทธ์นั้น……”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ และพูดทันที “เท่านี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ ผู้อาวุโส งั้นข้าขอลา!”
จากนั้น คนก็หันหลังเดินลิ่วออกไปทันที
ทิ้งให้คนผู้ที่เป็นจ้าวหอยืนมองตามหลัง พลางมีเสียงรำพึงกับตนเอง “ถ้าเขาสามารถรอดชีวิตยืนยาว คนผู้นี้จะต้องเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างแน่นอน!”
ครู่ต่อมาเขาหันกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ
.
เยี่ยฉวนมุ่งหน้าย้อนกลับมาทางกำแพงเมืองไค่หยาง เมื่อเดินผ่านกองทหารจะมีบรรดาทหารต่างแสดงความเคารพกันมาตลอดทาง ทั้งในสายตาของพวกเขาแสดงความตื่นเต้นยินดีที่ได้พบเยี่ยฉวน!
ผู้ฝึกกระบี่!
เขาคือผู้ฝึกกระบี่แห่งแคว้นเจียง!
นับว่าเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีของแคว้น!
ชายหนุ่มตามไปพบกับเจียงจิ่ว ซึ่งขณะนั้นนางกำลังจับตามองไปในระยะไกล เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาจึงเอ่ยว่า “พวกมันไม่ยอมถอยกลับ!”
เยี่ยฉวนหันไปในทิศทางเดียวกัน และ ณ ที่สุดสายตานั่นเอง จึงได้พบว่ามีกลุ่มทหารมองเห็นเป็นก้อนสีดำทะมึน
ทหารม้าแห่งแคว้นชู!
ขณะนั้นเอง มีทหารม้าอีกกลุ่มเคลื่อนมาจากในระยะไกล เท่าที่เห็นพวกมันมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น
สังเกตจากเครื่องแต่งกาย แน่ชัดว่ามิใช่ทหารม้าแคว้นชู
คนที่ยืนด้านข้างขยับเคลื่อนไหว เจียงจิ่วบอกเสียงแห้ง “กองกำลังจากอาณาจักรต้าอวิ๋น!”
ในที่สุด อาณาจักรต้าอวิ๋นก็ยอมเผยตัวแล้วสินะ!
เยี่ยฉวนยืนจับตามองนิ่งลงมาจากบนกำแพงเมือง ซึ่งในเวลานั้น กลุ่มยี่สิบทหารม้าได้ควบมาถึงที่เชิงกำแพงแล้ว ชายวัยกลางคนท่าทางเป็นหัวหน้าเงยมองขึ้นมาทางเยี่ยฉวนและเจียงจิ่ว “พวกเจ้าจะยอมแพ้แต่โดยดีหรือยอมตาย!”
พลันเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อกระบี่เล่มหนึ่งชี้ปลายเข้าที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วของชายวัยกลางคนโดยไม่ทันตั้งตัว
คนที่ยืนนิ่งอยู่บนกำแพง เยี่ยฉวนนิ่วหน้าเล็กน้อย “ลมมันแรงไปหน่อยข้าได้ยินไม่ค่อยถนัด ช่วยพูดใหม่อีกทีสิ!”
คนอื่นๆ “……”



