บทที่ 370 กว่าจะถึงเมืองหลวง เยี่ยฉวนต้องฆ่าคนไปตลอดทาง!
……
“ข้าจะอ่อนกำลังอย่างนั้นหรือ?” ……
……
เยี่ยฉวนเหยียดมุมปาก……
..
ความจริงเยี่ยฉวนรู้ดีแก่ใจว่าทางที่ดีที่สุดคือสงบศึกกับฉางมู่และดินแดนอันธการ เพียงแต่เขาต้องเป็นคนเริ่มที่จะปรองดองกัน จึงจะเป็นไปได้ว่าความสงบสุขจะบังเกิด
อย่างไรก็ตามเยี่ยฉวนไม่เคยคิดเรื่องการจบด้วยสันติวิธี!
เขายอมตายดีกว่าจะใช้สันติวิธี!
คนอย่างเขาไม่เป็นผู้ริเริ่มสันติวิธี แม้ด้วยสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการจะเป็นฝ่ายริเริ่มก่อนก็ตาม!
เพราะสาเหตุการตายของอาจารย์ใหญ่จี้!
อาจารย์ใหญ่จี้!
เยี่ยฉวนไม่เคยลืมอาจารย์ใหญ่ผู้ชราคนนั้น เมื่อครั้งแรกสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการร่วมมือกันสังหารอาจารย์ใหญ่จี้ ชายชราผู้ยืนหยัดด้วยตนเอง แต่ก่อนจะตาย เขาก็ไม่เคยแม้แต่ความพยายามจะหลบหนีเพื่อปกป้องจี้อันซื่อ ตัวของเขาเองและคนอื่น! เพราะเหตุนี้เยี่ยฉวนจึงให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะแก้แค้นให้เขา!
ถ้าเขาเพิกเฉยนั่นสิ จึงไม่สมควรเป็นคนอีกต่อไป!
นอกจากนั้น เยี่ยฉวนรู้แน่แก่ใจว่าอย่างไรเสียระหว่างเขาและสองมหาอำนาจ เป็นไปไม่ได้ที่จะยุติด้วยการปรองดอง
เขาไม่เชื่อถือสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายก็ย่อมไม่เชื่อถือเขาเช่นกัน ถ้าเมื่อใดที่มีโอกาส พวกนั้นคงจะไม่ลังเลที่จะซัดเขาจนกระทั่งจมธรณี! คนเหล่านั้นไม่เพียงพุ่งเป้ามาที่ตัวเขา ทว่ายังพุ่งเป้าไปยังคนรอบข้างของเขาด้วย
“ข้าจะอ่อนกำลังงั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนส่ายหน้าพลางแสยะยิ้ม “ต่อให้อ่อนแรงแค่ไหน ก่อนตายข้าก็จะตามไปฆ่าเจ้าให้ได้!”
จากนั้นเขาจึงยกกระบี่หลิงซิ่วชี้หน้ามู่ซ่วนชิงซึ่งยืนห่างออกไปจนไกล “เมื่อกี้เจ้าว่าบอกว่าฉางมู่มีคนแยะ ข้าจะฆ่าทั้งหมดได้ยังไง ใช่ไหม? อย่างนั้นก็ดี ใครขวางข้าจะฆ่าให้หมดทุกคน!”
เมื่อพูดจบเยี่ยฉวนหันหลังกลับและเดินไปที่ม้าเพลิงโลกันตร์ซึ่งรออยู่ไม่ไกลนัก
ไม่นานต่อมา ชายหนุ่มบนหลังอาชาเพลิงโลกันตร์ก็พากันควบหายลับไปจากสายตาของมู่ซ่วนชิง
ชายวัยกลางคนยืนนิ่งขึงอยู่ที่เดิมเช่นนั้นอีกนาน
มู่ซ่วนชิงได้ประจักษ์ชัดแล้ว ว่าบัดนี้สถานศึกษาฉางมู่กำลังเผชิญหน้ากับคนที่ไม่เคยกลัวความตายและปัญหา!
อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าการปล่อยให้เยี่ยฉวนเดินทางไปถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นก่อนที่กองกำลังสนับสนุนจะไปถึงนั้น สถานศึกษาฉางมู่จะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง……
หายนะ!
เมื่อใดที่เยี่ยฉวนไปถึงเมืองหลวงอาณาจักรต้าอวิ๋น เมื่อนั้นจะกลายเป็นวันหายนะของฉางมู่ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเยี่ยฉวนได้อีกแล้ว!
เป็นครู่ใหญ่กว่าที่มู่ซ่วนชิงจะออกไปจากบริเวณนั้น
หากคล้อยหลังมู่ซ่วนชิงไปเพียงไม่นาน สตรีสวมเสื้อเกราะพร้อมกระบี่ยาวเหน็บไว้ที่เอวได้มาถึงบริเวณนอกกำแพงเมือง ท่าทีกวาดตาแลไปตามร่างไร้วิญญาณซึ่งกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นดิน “ทุกคนล้วนตายด้วยกระบี่เดียว……”
จากนั้นคนยังอยู่ในที่เดิมทั้งสีหน้าครุ่นคิดเป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะหันกลับเดินตรงเข้าประตูเมือง หญิงสาวมุ่งตรงไปยังจวนเจ้าเมืองซึ่งเมื่อไปถึงชายชรารีบกุลีกุจอออกมาคารวะต้อนรับผู้มาเยือนทันที “ข้าน้อยยินดีต้อนรับใต้เท้าขอรับ!”
สตรีสวมเกราะชำเลืองหางมองชายชรา “ทหารม้าหนึ่งพันและทหารอีกหลายพัน ใครใช้ให้เจ้าส่งพวกมันออกไปต่อสู้กับเยี่ยฉวน?”
เพียงได้ยินคำถามดังว่า ชายชราถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
เสียงของสตรีสวมเกราะยังดังต่อไปอีก “เจ้ารับเบี้ยหวัดจากอาณาจักรต้าอวิ๋น แต่กลับยอมเป็นลูกสมุนของสถานศึกษาฉางมู่……”
คนพูดหันขวับและเดินออกจากไปสถานที่โดยไม่เหลียวหลัง
หากทางเบื้องหลังที่นางเพิ่งเดินจากมาศีรษะของชายชราคนเมื่อครู่ปรากฏว่าหล่นอยู่บนพื้น โดยไม่ทันสังเกตว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
ภายในจวนเจ้าเมือง สตรีสวมเกราะดึงสมุดเล่มเล็กออกมาและลูบไปบนปกอย่างเบามือ “ข้าต้องกำจัดพวกเนื้อร้ายให้สิ้นซาก”
จากนั้นนางจึงหันกลับออกจากจวนแห่งนั้นไป
ราวครึ่งชั่วยามถัดมา มีกลุ่มคนนับสิบผ่านเข้ามาทางประตูเมือง ก่อนที่เมืองผิงหยางจะถูกควบคุมไว้อีกครั้ง……
.
เยี่ยฉวนทรุดนั่งลงข้างแม่น้ำ ขณะที่ม้าเพลิงโลกันตร์กำลังเลียน้ำกินอยู่ข้างกัน
ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออกจากตัว จึงเผยให้เห็นร่องรอยคราบโลหิตบนร่างกายหลายแห่ง
ล้วนเป็นบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ!
ตอนนี้ไร้ซึ่งกฎแห่งเต๋า ย่อมหมายความว่าเยี่ยฉวนไม่สามารถดึงพลังปฐพีมาใช้ได้ ดังนั้นจึงเกือบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรอดชีวิตโดยไม่เป็นอะไรเลยหลังจากปะทะกับทหารม้าจำนวนมากกว่าหนึ่งกองพัน
เยี่ยฉวนหยิบโอสถเทพประสานออกมาโยนเข้าปาก และเริ่มวักน้ำในแม่น้ำมาล้างชำระคราบโลหิตบนร่างกาย เพียงครู่เดียว น้ำในบริเวณนั้นก็ย้อมไปด้วยสีแดงโลหิตของเขา
ราวครึ่งก้านธูปต่อมา เยี่ยฉวนผุดลุกขึ้นเตรียมจะออกเดินทางต่อไป พลันนั้นเองเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบไม่ทันตั้งตัว ร่างของบุรุษกระโจนพรวดขึ้นจากในแม่น้ำตรงเบื้องหน้าเยี่ยฉวน ขณะนั้นเองแสงสว่างวาบพุ่งตรงเข้าที่ลำคอของเขาอย่างถนัดถนี่
กระนั้นสีหน้าของชายหนุ่มกลับสงบราบเรียบ เมื่อลำแสงประหลาดที่พุ่งตรงมาช่วยระยะห่างจากคอหอยไปเพียงครึ่งนิ้ว ลำแสงพลันหยุดอยู่แค่นั้น!
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะกระบี่เล่มหนึ่งปักเข้าที่กึ่งกลางหว่างคิ้วของคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเยี่ยฉวนนั้นเอง จากนั้นต่อมาปรากฏมีโลหิตพรั่งพรูขึ้นสู่ผิวน้ำจากคนเมื่อครู่
กระบี่หลิงซิ่วทะยานกลับคืนมายังเยี่ยฉวนซึ่งขยับลุกขึ้นยืนยืดตัวตรง
ชายหนุ่มหันหลังกลับออกไปจากบริเวณทันที ทิ้งภาพแม่น้ำทางเบื้องหลังซึ่งขณะนั้นสีแดงฉานของโลหิตหลั่งไหลปะปนไปกับกระแสน้ำ
มีคนพยายามกระทำการลอบสังหารเยี่ยฉวน
นับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนต้าอวิ๋น เยี่ยฉวนแทบจะไม่อาจข่มตาหลับสนิทลงได้! อีกอย่างขณะที่เขากำลังล้างหน้าล้างตาอยู่นั้น เขานึกไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ใครบางคนจู่โจมมาจากใต้แม่น้ำ
ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะไปที่ใด ชายหนุ่มจะต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาทุกขณะ!
หากใครบางคนต้องการที่จะลอบทำร้ายเขาให้สำเร็จ คนผู้นั้นต้องมีความว่องไวเหนือกว่ากระบี่ของเยี่ยฉวน!
หลังจากที่เยี่ยฉวนคล้อยหลังไปเพียงครู่เดียว
ภายหลังจากที่เยี่ยฉวนออกไปจากบริเวณนั้น สตรีสวมเสื้อเกราะปรากฏกายขึ้นที่ชายฝั่งแม่น้ำ พลางจับตามองดูร่างที่กำลังลอยอยู่ในแม่น้ำไม่ไกลนัก
“เยี่ยฉวนสังหารคนเพียงกระบี่เดียว!”
“ทั้งรวดเร็วและแนบเนียน!”
หญิงสาวนิ่งไปด้วยกำลังครุ่นคิด ทอดสายตามองไปทางที่คนลับกายไปนานแล้ว “กว่าจะถึงเมืองหลวงเขาคงต้องฆ่าคนไปตลอดทางสินะ?”
.
หนึ่งชั่วยามต่อมา
กลางดึกคืนนั้น
ท้องฟ้ามืดสนิท ยังผลให้ทั่วผืนแผ่นดินพลอยมืดมิดไปด้วย
ด้วยใช้ม้าเป็นพาหนะเดินทาง เมื่อมาถึงบริเวณที่พื้นดินค่อนข้างราบเรียบ เยี่ยฉวนจึงเอนกายลงนอนเหยียดยาวบนหลังม้าตัวนั้นนั่นเอง
เขากำลังพักผ่อน!
แน่ละเขาต้องพักสักชั่วครู่ ถ้าไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว เยี่ยฉวนอาจไม่สามารถควบคุมจิตใจให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดได้ ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
หากทว่าจะเห็นได้ว่ามีคนที่ไม่ต้องการให้เยี่ยฉวนมีเวลาพัก
ท่ามกลางความมืดของยามราตรีกาล เสียงฝีเท้าสั้นๆ ดังแทรกผ่านเข้ามาในความเงียบ เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามจงใจทำให้เกิดเสียงดังที่ว่า
ในขณะนั้นเยี่ยฉวนยังไม่ขยับเคลื่อนไหว
ราวครึ่งชั่วยาม เสียงฝีเท้านั่นพลันสั้นรัวเร็วดังใกล้ที่เยี่ยฉวนเข้ามาทุกที ทว่าคนก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง
ดังนั้นกลุ่มคนต้นเสียงฝีเท้ารัวจึงได้ประชิดเข้าใกล้
ทันใดนั้นแสงกระบี่สว่างแวบวาบเป็นสายทะยานฝ่าความมืดประดุจสายฟ้าแลบ
ฟิ้ว!
ถัดออกไปจากที่เยี่ยฉวนราวสี่จั้งเศษ หนึ่งศีรษะขาดกระเด็นตกลงกระแทกพื้นดิน
กระบี่เล่มนั้นเหินกลับคืนมาหยุดข้างเยี่ยฉวน ทว่าคนที่กำลังหลับใหลได้ปล่อยเสียงกรนสนั่น
อีกด้านหนึ่งชายสองคนลอบมองแน่แน่วมาทางเยี่ยฉวน ซึ่งกำลังนอนกรนอยู่บนหลังม้าห่างออกไปพอสมควร
ชายสองคนที่ว่าคือจ้าวทมิฬและมู่ซ่วนชิง
ฝ่ายแรกมองดูแล้วก็ส่ายหน้า “มือสังหารจากดินแดนอันธการหรือแม้แต่กองกำลังขุนศึกเต๋าจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์……ยังทำอันตรายเขาไม่ได้!”
อีกฝ่ายได้แต่มองดูเงียบๆ
จ้าวทมิฬกล่าวเสริมอีกว่า “ถ้าพวกเราไม่รีบสกัดกั้นไว้ก่อน ข้าเกรงว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนเยี่ยฉวนต้องไปถึงเมืองหลวงอาณาจักรต้าอวิ๋นอย่างแน่นอน”
มู่ซ่วนชิงหันหน้ามามองจ้าวทมิฬ “จากที่นี่ไปเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดคือที่ไหน?”
อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ “เมืองหลงซื่อ!”
คนถามพยักหน้าขณะพูดว่า “ส่งข่าวให้เมืองหลงซื่อเตรียมพร้อม ถึงแม้พวกนั้นจะฆ่าเยี่ยฉวนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะถ่วงเวลาไว้ได้หลายชั่วยาม”
จ้าวทมิฬสั่นศีรษะทันที “แต่เมืองนั่นไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของเรา”
หากสิ่งที่ได้ยินทำให้มู่ซ่วนชิงหัวคิ้วขมวดมุ่น “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ส่งข่าวไปขอให้ฮ่องเต้เกาซานออกคำสั่งก็ได้นี่”
อีกฝ่ายจึงแย้งอย่างอารมณ์เย็น “กว่าคำสั่งของฮ่องเต้เกาซานจะมาถึง เยี่ยฉวนคงผ่านเมืองหลงซื่อไปไหนต่อไหนเสียนานแล้ว”
ครานี้หัวคิ้วของคนฟังกลับยิ่งกดเป็นร่องลึกกว่าเก่า
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาจึงถามออกมาว่า “เจ้าก็ตั้งรางวัลค่าหัวเยี่ยฉวนจะเป็นไร?”
จ้าวทมิฬหันขวับมามองมู่ซ่วนชิงอย่างไม่เชื่อสายตา “ทั่วทั้งแผ่นดินชิงในเวลานี้ เจ้าคิดว่าใครจะฆ่าเยี่ยฉวนได้? ใครจะกล้าฆ่ามัน? ใครกัน?”
พลันที่ได้ยิน สีหน้าของอีกฝ่ายเผือดชีดลง
ถึงเวลานี้เขาตระหนักแน่แก่ใจในความเป็นผู้ทรงอิทธิพลในแบบของเยี่ยฉวน
เขาเป็นจ้าวกระบี่ที่อายุน้อยที่สุดในแผ่นดินชิง!
ลำพังชื่อเสียงเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเกรงขามแก่ใครต่อใคร ถ้าเยี่ยฉวนมิใช่ศัตรูที่ค้ำคอสถานศึกษาฉางมู่อยู่ในขณะนี้ คนของฉางมู่คงไม่มีใครอยากยุ่งกับเยี่ยฉวนต่อให้มีรางวัลค่าหัวสูงเพียงใดก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่สถานศึกษาฉางมู่ยังไม่กล้าพุ่งเป้าไปที่เยี่ยฉวน ดังนั้นคนอื่นหรือจะกล้า?
มู่ซ่วนชิงเบนสายตาไปทางเยี่ยฉวนที่ห่างไปไม่มากนัก แววตาฉงนงงงันฉายวาบ “ไม่มีใครสักคนสามารถสกัดกั้นมันได้เชียวหรือ?”
เสียงรำพึงแผ่วจากนั้นแววตาฉงนพลันแปรเปลี่ยนแข็งกร้าว “ถ้าทำอะไรตัวเขาไม่ได้ เราก็สามารถทำกับคนที่อยู่รอบตัวของเขานั่นจะเป็นไร พวกเราสามารถพุ่งเป้าจู่โจมแคว้นเจียง สถานศึกษาฉางหลาน และน้องสาวของเขา ข้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนั้นจะเป็นผู้ไร้เทียมทานเหมือนกัน”
จากนั้นเขาจึงหันกลับมาที่จ้าวทมิฬ “ส่งมือสังหารของดินแดนอันธการและขุนศึกชั้นยอดของฉางมู่เดินทางโดยเรือเหาะไปแคว้นเจียงโดยด่วน ถ้าเยี่ยฉวนกล้าเคลื่อนไหวอีกเพียงก้าวเดียว พวกเราจะสังหารคนในแคว้นเจียงหรือไม่ก็สถานศึกษาฉางหลานเสีย! ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่รีบแจ้นกลับไป! อีกอย่างบอกคนจากสำนักใหญ่ให้ส่งคนไปสืบดูว่าน้องสาวของเยี่ยฉวนไปอยู่เสียที่ไหน เขารักน้องคนนี้มาก ไม่ใช่หรือ? ถ้ารู้ว่าฉางมู่จับตัวน้องสาวไว้ อยากรู้นักว่าเยี่ยฉวนยังจะสามหาวอีกหรือไม่?!



