บทที่ 902 : หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นกฎเกณฑ์!
เขาจะถูกสวรรค์และปฐพีเนรเทศ!
เยี่ยฉวนแลจะสับสนเล็กน้อย “ศิษย์พี่ นั่นกระบี่อะไรกันแน่ เหตุใดจึงพิเศษอะไรเช่นนี้”
ชายชั้นหกตอบ “ไม่รู้เหมือนกันน่า แต่ไม่ใช่กระบี่ธรรมดาแน่แหละ เจ้านี่ร้ายถึงตาย ถึงตายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงฤทธิ์เดชอย่างเดียวด้วย แต่หมายถึงสามารถตรึงกฎเกณฑ์และแก่นแท้แห่งสวรรค์และโลก เมื่อกระบี่นี้ออกจากฝัก มันย่อมโดนสวรรค์กับปฐพีขับไล่ หรือแม้แต่เพ่งเล็ง”
เยี่ยฉวนลังเลเล็กน้อยก่อนถาม “จะเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับหากโดนสวรรค์และปฐพีเพ่งเล็ง”
ชายในชั้นหกตอบ “ก็ไม่อะไรมาก แค่อาจโดนฟ้าผ่าใส่บ้างไรบ้างเท่านั้นเอง”
เยี่ยฉวนถึงกับอับจนคำพูด
ไม่ทันไร กระบี่ในฝักพลันปรากฏตรงหน้าเยี่ยฉวน ชายชั้นหกเอ่ยต่อ “เจ้ากระบี่นี่แกร่งเกินไป ความกระหายเลือดสูงมาก เจ้าในตอนนี้คุมไม่อยู่หรอก”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “แสดงว่าตอนนี้ยังใช้ไม่ได้สินะขอรับ”
ชายชั้นหกกล่าว “อีกอย่าง เจ้ามีของวิเศษเยอะแยะ ควรจะระวังตัวไว้บ้าง แล้วอย่าติดนิสัยแย่ๆ อย่างการพึ่งพามันเสียเล่า ถ้าพึ่งพาเยอะไปแล้วเจ้าจะไม่แยแสในการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ถึงตอนนั้นจะพบว่าตัวเองเป็นแค่ไอ้กากถ้าไม่มีมัน”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “แบบนี้นี่เอง!”
พึ่งของนอกกาย!
แม้จะย้ำตัวเองซ้ำไปมาอยู่ตลอดว่าไม่ควรพึ่งพาของวิเศษ ทว่ามีหลายครั้งนักที่นิสัยเสียฝังรากเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นเรื่องแย่ยิ่งนัก
หลังเยี่ยฉวนเก็บกระบี่กลับไป ชายหนุ่มดูจะคิดสิ่งใดบางอย่างจึงเอ่ยถามออกมา “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าข้าขาดตกสิ่งใดไปบ้าง”
ชายชั้นหกตอบ “เวลา!”
ชายหนุ่มยิ้มแห้ง “รู้ดีว่าเวลาที่มีนั้นน้อยนัก ข้าหมายถึงเวลาในการฝึกวิชาต่างหาก”
ชายชั้นหกบางอ้อแล้วจึงตอบ “รากฐานและการสั่งสม”
เยี่ยฉวนขมวดคิ้วเล็กน้อย “รากฐาน? สั่งสม?”
ชายชั้นหกอธิบาย “บัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ในโลกโลกีย์นี่ไม่ควรมีแค่ความรู้ แต่ต้องเจอความผันผวนของชีวิตและความไม่แน่นอนของธาตุแท้มนุษย์ มีแค่ทางนี้เท่านั้นที่บัณฑิตจะก่อตั้งสายธารความคิดได้! รากฐานที่พูดถึงคือเต๋าแห่งกระบี่ที่ได้เรียนรู้มา ส่วนประสบการณ์ เจ้าอายุแค่ยี่สิบ……จะมีประสบการณ์กับบทเรียนชีวิตมากแค่ไหนกันเชียว”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบ
ชายในชั้นหกกล่าวต่อ “คำว่า ‘กระบี่’ นั้นอยู่ในความเข้าใจ และความเข้าใจนั้นคือเต๋า เต๋ารวมทุกสิ่งอย่างเอาไว้……เข้าใจหรือยัง”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแหย “ไม่ค่อยเท่าไร!”
ชายชั้นหกถามบ้าง “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมตาแก่นั่นถึงแข็งแกร่งกว่า”
เยี่ยฉวนตอบ “ข้าไม่ทราบ”
ชายในชั้นหกตอบให้ “รากฐานและสั่งสมดีกว่าน่ะสิ ทุกกระบวนท่า รวมไปถึงวงกระบี่ของเขามีกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลกอยู่ ส่วนกระบวนท่าเจ้ามีแค่ความเร็ว ความแรง แล้วก็เคล็ดวิชาวิทยายุทธ์นิดหน่อย ซึ่งนั่นไม่พอ”
เยี่ยฉวนพยักหน้าหงึกหงัก “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ชายชั้นหกบอก “เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาล่ะนะ”
เยี่ยฉวนถาม “แล้วข้าควรพัฒนาอย่างไรดี”
ชายในชั้นหกตอบ “เน้นการฝึกไปที่ความเร็วและความรุนแรงซะ!”
เยี่ยฉวนชะงัก “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้…”
“หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นกฎเกณฑ์!”
ชายในชั้นหกพลันเอ่ยขึ้นมา “เจ้าเคยได้ยินคำนี้บ้างไหม”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “เคยขอรับ!”
คนในชั้นหกอธิบาย “ผู้ฝึกกระบี่แข็งแกร่งได้เพราะกระบี่ในมือทลายกฎเกณฑ์ ระเบียบ ไปจนถึงกฎแห่งเต๋า ตอนนี้มุ่งเน้นฝึกพลัง ความเร็ว กับเคล็ดวิชายุทธ์ต่อไป เมื่อความเร็วก้าวข้ามขีดจำกัดของสวรรค์และโลกไปแล้ว ถึงตอนนั้นจะรู้เองว่ากฎเกณฑ์ไปจนถึงกฎแห่งเต๋าก็แค่เรื่องสิวๆ”
เยี่ยฉวนพยักหน้าเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ข้าได้เรียนรู้จากคำแนะนำของท่านมามากมายนัก!”
ชายชั้นหกกล่าวขึ้นมา “รู้ไหมว่าอาชีพแรกของข้าคืออะไร”
เยี่ยฉวนถาม “คืออะไรหรือ”
ชายชั้นหกตอบ “ตอนอายุเท่าเจ้า ข้าน่ะเป็นอาจารย์ โชคร้ายที่โลกอันไม่แน่นอนนี้ทำให้เดินเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกปราณ แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก…สุดท้ายกลับทำให้รำคาญใจสุดติ่ง!”
มุมปากเยี่ยฉวนกระตุกกึกๆ คำพูดอีกฝ่ายฟังแล้วระคายหูยิ่ง!
ชายในชั้นหกกระซิบ “ความจริงข้าอิจฉาเจ้าด้วยซ้ำ!”
เยี่ยฉวนงงไปเล็กน้อย “เพราะเหตุใดหรือ”
ชายชั้นหกตอบ “เจ้าเด็กที่ชื่อเล่นว่าอันน่ะชอบเจ้าใช่ไหมล่ะ”
เยี่ยฉวนถึงกับเงียบกริบ
ชายในชั้นหกเล่าต่อ “ครั้งเมื่อยังเป็นอาจารย์ ข้าตกหลุมรักสาวเหมือนกัน ในตอนนั้นแค่อยู่ด้วยกัน……ทุกอย่างช่างสวยงามนัก โชคร้าย วันหนึ่งนางกลับบอกว่าไม่อยากชีวิตแบบคนทั่วไป อยากจะได้รับความเคารพบูชาจากคนนับพัน……เลยไปแต่งงานกับท่านอาจารย์ใหญ่ในสถาบัน ชีวิตข้าตอนนั้นเหมือนตกในโคลนตม หลังจากนั้นได้รับสมบัติกับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอยู่เหนือกว่าอาจารย์ใหญ่คนนั้นในทุกด้าน สุดท้ายแล้วหญิงสาวที่ชอบกลับมาขอขมา… แล้วข้าก็ถึงจุดสูงสุดของชีวิต…”
ยิ่งเยี่ยฉวนฟังมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกแปลกมากเท่านั้น…
ชายในชั้นหกเอ่ยสรุป “ในหลายครั้ง ชีวิตยิ่งกว่าละครเสียอีก หากมนุษย์ไร้ซึ่งพลัง……จะต่ำตมยิ่งกว่าหมาข้างถนน!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ที่สุด!
แม้ความจริงจะโหดร้าย……ทว่ายังมีความรักจากครอบครัว คนรัก และผองเพื่อน
……เชื่อว่าต่อให้ปราณถูกทำลายลงตอนนี้ เยี่ยหลิงยังเป็นน้องสาว โม่อวิ๋นฉี อันหลานซิ่วและคนอื่นยังคงเป็นสหาย ความสัมพันธ์นี้ย่อมไม่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!
เยี่ยฉวนหยุดคุยกับชายในชั้นหกแล้วมองยังกระบี่สามเล่มตรงหน้าแทน!
สามกระบี่ขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิต!
ทว่ากระบี่สามเล่มนี้ดูอ่อนกว่ากระบี่เจิ้นหุนกับกระบี่เทพราชันนัก ชายหนุ่มไม่คิดจะเก็บไว้ใช้หรอก!
กลืนกิน!
หากกลืนกินกระบี่เหล่านี้ ขั้นพลังต้องดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็นแน่!
ทว่าในยามนี้เขาทำไม่ได้ หากทำแล้วจะเกิดเสียงดังขึ้นมา
ในตอนนี้ไร้ซึ่งคนคอยปกป้อง……คงได้ตายแน่นอน!
ทันใดนั้น พื้นที่เบื้องหน้าพลันสั่นไหวเล็กน้อย ไม่นานนักเสียงของไป๋จื่อพลันดังขึ้นตรงหน้า “ชายหกคนในขั้นไขว่คว้าเต๋าได้เข้าไปสถาบันฝึกยุทธ์แล้ว ท่านควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้!”
สถาบันฝึกยุทธ์!
เยี่ยฉวนลุกขึ้นพรวด
แน่นอนว่าคนพวกนั้นหาชายหนุ่มไม่เจอ เลยเริ่มหันมากดดันสถาบันฝึกยุทธ์แทน พวกมันต้องการใช้เยี่ยหลิงและเพื่อนบีบให้เขาโผล่หน้าออกมา!
เยี่ยฉวนเอ่ยเสียงเข้ม “นายหญิงไป๋ ช่วยแจ้งข่าวสารให้ข้าเรื่อยๆ ได้หรือไม่”
ไป๋จื่อตอบ “แผนของสำนักกระบี่เจ้าค่ะ ซึ่งไม่เพียงเล็งเป้าไปทางท่าน แต่เล็งไปทางสถาบันฝึกยุทธ์เช่นกัน อีกทั้งยังตามหาท่านอย่างลับๆ เพราะฉะนั้นควรระวังตัวไว้ให้ดี แล้วอย่าก้าวขาเข้าไปในสถาบันฝึกยุทธ์อีก เท่าที่ทราบมาทางสถาบันไม่คิดจะทอดทิ้งอันและสหายท่านในตอนนี้เจ้าค่ะ”
สีหน้าเยี่ยฉวนมืดครึ้มนัก เป็นเรื่องปกติที่ไม่ควรไปตั้งความหวังกับสถาบันฝึกยุทธ์นั่น!
เขาควรแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง!
ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เยี่ยฉวนพลันถามขึ้นมา “เจ้าสำนักกระบี่ หลีเสวียนเฟิงอยู่ในสถาบันฝึกยุทธ์หรือไม่”
ไป๋จื่อตอบ “อยู่เจ้าค่ะ!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวจากไป
เป้าหมายของเขาคือสำนักกระบี่!
สำนักกระบี่คิดแผนนี้ และไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังเพ่งเล็งเขาอยู่ ดังนั้นต้องก่อไฟให้เรื่องนี้ลามใหญ่เข้าไปอีก!
ชายหนุ่มไม่มีทางปล่อยให้สำนักกระบี่อยู่เฉยหลังทำเช่นนี้หรอก!
ณ สถาบันฝึกยุทธ์
ในตำหนักยุทธ์ เหอเหลียนเทียนนั่งอยู่หัวแถว พร้อมกับคนเจ็ดคนนั่งอยู่ทั้งขนาบข้างและบนพื้น
พวกเขาคือชายแก่หกคน และหลีเสวียนเฟิง……เจ้าสำนักกระบี่
เหอเหลียนเทียนยิ้มให้ “พวกเจ้ามาเยือนสถาบันฝึกยุทธ์เพียงต้องการให้ข้ามอบตัวน้องสาวเยี่ยฉวนให้หรือ”
หลีเสวียนเฟิงทำเพียงจิบชาเท่านั้น
ตรงข้ามหลีเสวียนเฟิง ชายแก่ในผ้าคลุมดำมองไปทางเหอเหลียนเทียน “ท่านจ้าวเหอเหลียน พวกเราเคารพสถาบันฝึกยุทธ์เสมอมา……มาในครั้งนี้เพื่อเยี่ยหลิงเพียงเท่านั้น”
เหอเหลียนเทียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยี่ยหลิงเป็นศิษย์สถาบันฝึกยุทธ์?”
ชายเฒ่าชุดคลุมดำมองเหอเหลียนเทียนแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านจ้าวเหอเหลียน ขอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ท่านต้องมอบตัวเยี่ยหลิงและสหายของเยี่ยฉวนแก่พวกเรา”
เหอเหลียนเทียนมองตรงไปยังผู้พูด “นั่นเจ้าขู่ข้าหรือ?”
ชายแก่คนนั้นหรี่ตาลง บรรยากาศรอบด้านมาคุขึ้นมาฉับพลัน
ทันใดนั้น ชายอาวุโสอีกคนพลันปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูตำหนัก สวมผ้าคลุมขาว ผมสีขาวถูกมัดรวบเป็นหางม้า แม้จะมีริ้วรอยแห่งวัยประดับมากมายบนใบหน้า……ทว่าให้ความรู้สึกน่ายำเกรงยิ่ง!
ยามเห็นชายเฒ่าในชุดคลุมขาว หลีเสวียนเฟิงพลันฉายแววประหลาดใจออกมา
เขาคืออู่เวิ่น ท่านจ้าวคนก่อนของสถาบันฝึกยุทธ์!
อู่เวิ่นชายตามองไปยังชายแก่ในผ้าคลุมดำพร้อมก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ส่งให้สีหน้าอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนไปแทบจะทันที มิทันไร ชายแก่ในผ้าคลุมดำหายไปจากบริเวณนั้นทันที!
ผ่านไปหลายอึดใจ ชายในผ้าคลุมดำกลับมายืนที่เดิม ทว่าคราวนี้มีร่องรอยของเลือดอยู่มุมปาก อีกทั้งแขนทั้งสองข้างกำลังสั่นระริก
เห็นดังนั้น คนอื่นในบริเวณพลันเผยสีหน้าอับจนหนทางออกมา
นัยน์ตาของชายแก่ในผ้าคลุมดำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!
อู่เวิ่นเหลือบมองหลีเสวียนเฟิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “สำนักกระบี่ก้มหัวให้คนอื่นตั้งแต่เมื่อใด? หัดเล่นเล่ห์ตั้งแต่เมื่อใด? น้ำหน้าอย่างเจ้าทำลายความภาคภูมิและชื่อเสียงของสำนักที่อยู่มาหลายพันปีจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว รู้ตัวเอาไว้เสีย!”
หลีเสวียนเฟิงดูไร้อารมณ์นัก เมื่อกำลังจะโต้ตอบ อู่เวิ่นกลับโบกมือ “ผู้ฝึกกระบี่แบบเจ้าไม่มีค่าพอจะคุยกับข้า”
ว่าจบพลางกวาดตามองทุกคนโดยรอบ “สถาบันฝึกยุทธ์ไม่คิดจะลงไปเข้าร่วมขบวนการดิ้นรนใดๆ หรือทะเยอทะยานไปถึงขั้นฮุบนครอานุภาพแต่อย่างใด ทว่านั่นไม่ได้แปลว่าจะยอมให้ใครมารังแกหรอกนะ เด็กพวกนั้นเข้าสถาบันฝึกยุทธ์มาแล้วและกลายเป็นศิษยานุศิษย์ของพวกเรา หากเจ้าทำร้ายพวกเขา แสดงว่าตั้งตนเป็นศัตรูกับสถาบันฝึกยุทธ์!!”
เอ่ยจบ รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ไต่เต้าจนฝีมืออยู่ในขั้นไขว่คว้าเต๋ามาได้แท้ๆ แต่กลับเอาครอบครัวกับเพื่อนเขามาข่มขู่เสียนี่ หน้าด้านทนทำได้อย่างไรกัน? อับอายไม่เป็นกันเลยสินะ”
คนอื่นถึงกับหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ช่างน่าขายหน้ายิ่ง!
หากแต่ไร้ซึ่งผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยออกมา
แน่นอนว่าอู่เวิ่นแข็งแกร่งกว่า อีกทั้งในยามนี้ ที่นี่คือสถาบันฝึกยุทธ์ สถาบันสามารถใช้พลังทั้งหมดเพื่อกักขังพวกเขาได้
ตอนนั้นเอง อู่เวิ่นพลันตะคอกเสียงดัง “ออกไปเสีย! จะรอให้ข้ามอบมื้อเย็นให้หรือไง”
ชายแก่ในชุดคลุมดำมิเอ่ยสิ่งใดต่อ หมุนตัวจากไปทั้งอย่างนั้น
เขาไม่เอ่ยคำขู่หรือตักเตือนสถาบันฝึกยุทธ์แม้สักคำ!
พวกเขาไม่ได้โง่ เป็นที่ประจักษ์แน่แท้ว่าอ่อนแอกว่าคนของสถาบันฝึกยุทธ์นัก หากเอ่ยออกไปคงมีแต่โดนเชือดเป็นแน่แท้!
หลีเสวียนเฟิงกำลังจะจากไปเช่นกัน ตอนนั้นเอง อู่เวิ่นมองมาอีกครา “หากเจ้ากับนายของเจ้าอยากครองนครอานุภาพ ก็จงมาที่แห่งนี้แล้วสู้กับสถาบันฝึกยุทธ์เราอย่างตรงไปตรงมา หากชนะ……สถาบันเราย่อมยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี ทว่าในตอนนี้กลับงัดเล่ห์กลมาใช้ ข้าละอายเสียจริง……เจ้ามันตัวนำพาความอัปยศมาสู่ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่โดยแท้!”
หลังจากนั้น เขากลับหลังหันแล้วเดินออกไป
ในที่นั้น หลีเสวียนเฟิงดูไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
ด้านข้าง เหอเหลียนเทียนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่หลี อย่าโมโหไปเลย ท่านปู่อู่เป็นเพียงคนจริงใจและชมชอบอะไรตรงไปตรงมาเท่านั้น ได้โปรดอย่าถือสา!”
หลีเสวียนเฟิงแทบจะบันดาลโทสะตรงนั้น



