บทที่ 933 : ขอโทษเถอะนะ! พอดีท้องไส้ข้าเกิดปั่นป่วนขึ้นมา! (ปลาย)
หมู่เฟิงเฉินทำท่าราวกับต้องการจะพูดบางอย่าง ในขณะนั้น เยี่ยฉวนปรากฏตัวขึ้นที่หนึ่งเยื้องไปทางขวามือกึ่งกลางระหว่างคนทั้งสอง
ทำให้คนอื่นที่อยู่แถวนั้นพากันมองไปที่ชายหนุ่ม
“เยี่ยฉวน!”
หมู่เฟิงเฉินหันไปมองและพูดกับเยี่ยฉวนว่า “เพราะเจ้าทำให้สำนักกระบี่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พอใจหรือยัง?”
ชายหนุ่มเหยียดมุมปากยิ้ม “ท่านจ้าวตำนานเทพกระบี่ อย่าพูดให้ดูราวกับว่าตนเองตกเป็นเหยื่อเลย! ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเจ้ากับหลานชายตัวดีหรือ สำนักกระบี่ถึงมีสภาพเช่นนี้?”
มือข้างขวาของหมู่เฟิงเฉินขยับยึดกระบี่ไว้แน่น
ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางคุณหนูใหญ่ “แม่นางถัง ถ้าเคยไถ่ถามข้า ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว แม้ข้าจะไม่แข็งแกร่งมากมายอะไร แต่ไม่เคยหักหลังมิตรสหาย แล้วสำนักกระบี่เล่า? ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ได้เข้าร่วมสำนักกระบี่ ทว่าสำนักพยายามที่จะกำจัดข้าเพื่อแย่งชิงสมบัติล้ำค่า ซ้ำยังใส่ความหาว่าข้าขโมยสมบัติของพวกเขาไป……”
คนพูด พูดพลางหันหน้าไปทางศิษย์สำนักกระบี่ที่อยู่รอบบริเวณ “สำนักกระบี่ของเจ้าออกไล่ล่าข้า อีกทั้งยังมากล่าวหาว่าขโมยสมบัติล้ำค่าของสำนัก แน่จริงลองพูดสิว่าสมบัติล้ำค่านั่นไม่ใช่ของพวกเจ้า?”
ขณะสายตาของคุณหนูใหญ่จับจ้องหมู่เฟิงเฉิน นางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าสำนักหมู่ ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าสมบัติล้ำค่าเป็นของสำนักกระบี่หรือไม่”
ใบหน้าของหมู่เฟิงเฉินดำคล้ำแววตาหม่นมัว ขณะขยับปากเตรียมที่จะตอบโต้ เสียงเยี่ยฉวนเอ่ยขึ้นก่อนว่า “เรื่องที่กล่าวหามา ข้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย! แต่เพื่อสังหารข้า……พวกเจ้าสำนักกระบี่พากันบุกไปชิงตัวน้องสาวกับสหายของข้าถึงในสถาบันฝึกยุทธ์ พูดสิว่าตอนนั้นสำนักกระบี่ทำอะไรกับสถาบันฝึกยุทธ์? พยายามจะจับตัวเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง! ทำไมสำนักกระบี่ถึงทำสิ่งที่น่าละอายเช่นนั้น? ทำไม?”
“เยี่ยฉวน!”
สายตาของหมู่เฟิงเฉินจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ข้า……”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดเสียงคำรามผ่านลำคอ “จะพูดอะไร? เฒ่าสถุลแซ่หมู่ ความโลภของเจ้ากับหลานชาย ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ล้มตายตั้งเท่าไร ยังไม่รู้สำนึกงั้นหรือ? วันใดที่สำนักกระบี่ล่มสลายพวกเจ้าจะมีหน้าไปเจอบรรพบุรุษของสำนักกระบี่ได้อย่างไร?”
ดวงตาของหมู่เฟิงเฉินเขียวปั้ดจ้องเขม็งไปที่คนพูด “เยี่ยฉวน อย่าพูดไร้สาระให้คนอื่นไขว้เขว สมบัติล้ำค่ายังอยู่กับเจ้านั่นแหละ……”
เสียงชายหนุ่มเย้ยหยันมาว่า “อยู่ที่ข้างั้นหรือ? วันนั้นข้ามอบสมบัติล้ำค่าไปแล้ว สำนักกระบี่ยังข่มขู่เหยี่ยหลานและคนของเขา บังคับให้ถอนกำลังออกไปจากนครอานุภาพ……”
พูดด้านหลังคุณหนูใหญ่ “ผู้อาวุโสเหยี่ยหลาน เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ได้เห็นพลางสายตาแลเลยไปทางเหยี่ยหลาน ซึ่งขณะนั้นอยู่เยื้องไปทางความยโสโอหังของสำนักกระบี่กับตาตนเองดีอยู่แล้ว ใช่ไหม? วันนั้นพวกเขาโกหกหน้าตาเฉย……หาว่าสมบัติล้ำค่าเป็นของสำนักกระบี่ ไม่หนำซ้ำข่มขู่ด้วย ยังจำได้ไหม?
เหยี่ยหลานหันไปทางหมู่เฟิงเฉินก่อนเอ่ยเสียงแข็ง “ทำไมข้าจะจำไม่ได้! วันนั้นสำนักกระบี่อวดเก่งถือดี ขู่ว่าถ้าไม่รีบถอนกำลังออกจากนครอานุภาพเสีย พวกเราจะไม่มีวันได้ออกไปอีกเลย!”
สีหน้าของหมู่เฟิงเฉินบูดบึ้งน่ากลัว
เยี่ยฉวนเสริมมาอีกว่า “เจ้าสำนักหมู่ เจ้าหาว่าสมบัติล้ำค่ายังอยู่ที่ข้าทั้งๆ ที่พวกเจ้าเอาไปแล้วตั้งแต่วันนั้น ข้าจะมีปัญญาฝ่าดงเหล่ายอดฝีมือของพวกเจ้าไปเอากลับคืนมาได้อย่างไร? สมบัติล้ำค่ามีขาเดินกลับมาหา……งั้นหรือ?”
ฝ่ายตรงข้ามตวาดตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “มันกลับไปเองจริงโว้ย!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาทุกคู่มองไปยังหมู่เฟิงเฉินเป็นตาเดียว
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ สีหน้าบ่งชัดว่าเอือมระอาเต็มทีพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่ “เจ้ากลายเป็นคนไร้ยางอายไปเสียแล้ว……ข้าจะพูดอะไรได้? ในเมื่อไม่ยอมรับว่าเก็บเอาไว้ เช่นนั้นข้าจะรับเองก็ได้! ขี้เกียจเถียงให้เปลืองน้ำลาย!”
“ไอ้……”
หมู่เฟิงเฉินจ้องหน้าคนพูด นัยน์ตาสองข้าแทบปะทุออกมานอกเบ้า อารมณ์โกรธจัดจนเกือบถึงขีดสุด!
ชายหนุ่มทำท่าไม่สนใจอีกฝ่ายต่อไป หมู่เฟิงเฉินไม่เออออด้วย จึงพูดขึ้นมาว่า “เยี่ยฉวน คนอย่างเจ้าทำได้แค่พูดจาเหลวไหลตลบตะแลงให้พ้นไปเท่านั้นสินะ?”
ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้าทันที “ถ้าเช่นนั้นมาสู้กันตัวต่อตัวไหมเล่า?”
คนตรงข้ามหรี่นัยน์ตาเล็กน้อย “งั้นก็ตามใจ!”
ว่าแล้วคนพูดทำท่าขยับจะออกปะทะทันที ฉับพลันเยี่ยฉวนแสดงท่าทีตกตะลึง “นี่เจ้าคิดจะต่อสู้กับข้าจริงหรือ? เจ้านี่……ถามจริง? ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยหรือ?”
หมู่เฟิงเฉินชะงักนิ่ง ได้แต่มองดูคนตรงหน้า หากไม่ได้เอ่ยออกมาสักคำ
ครู่ต่อมา สีหน้าท่าทีเดือดดาลของเขาจึงค่อยสงบลง
เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกเยี่ยฉวนยั่วยุให้โมโหอย่างเต็มที่ เพื่อให้ตนทำในสิ่งที่ผิดพลาด!
ในตอนนั้น เยว่อู่เฉินมองไปที่เยี่ยฉวนด้วยแววตาครุ่นคิดลึกล้ำ
ครั้งที่เยี่ยฉวนมาปรากฏตัวที่สำนักกระบี่ ตนชอบใจในความเป็นยอดฝีมือและศักยภาพของชายหนุ่มคนนี้ไม่น้อย โชคไม่เข้าข้างสำนักกระบี่จึงผลักไสเขาไปเสีย!
ยิ่งกว่านั้น เขาไม่คาดคิดว่า……กลับกลายเป็นสำนักกระบี่ที่อยากจะกำจัดเยี่ยฉวน!
เวลานั้นทั้งสองฝ่ายสำนักกระบี่กับชายหนุ่มต่างฝ่ายต่างไม่ลงให้แก่กัน ด้วยสำนักกระบี่เป็นฝ่ายที่แสดงออกว่าไร้ความปรานีต่อชายหนุ่มตรงหน้าก่อนนั่นเอง!
เยว่อู่เฉินถอนใจหนักหน่วงก่อนกล่าวเสียงขรึม “เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเหตุการณ์กลับเป็นเช่นนี้……ก็พูดอะไรอีกไม่ได้ เวลานี้ เจ้ากับข้าต่างสถานะกัน ข้าไม่อาจแสดงความปรานีอีกต่อไป เพราะได้ชื่อว่าเป็นคนสำนักกระบี่คนหนึ่ง”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ข้าเข้าใจ!”
เยว่อู่เฉินหันไปพูดกับคุณหนูใหญ่ว่า “ถ้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าสำนักกระบี่ ข้าจะเป็นคนสาบานให้ด้วยความสัตย์จริงว่าสมบัติล้ำค่าไม่ได้อยู่กับสำนักกระบี่จริงๆ”
คุณหนูใหญ่ยิ้มที่มุมปากพลางว่า “ถ้าเช่นนั้นก็อยู่กับคุณชายเยี่ย สินะ!”
คนอีกฝ่ายพูดทันที “สมบัตินั่นมีวิญญาณของมันเอง จึงไม่แปลกที่มันจะหนีไปได้ จริงไหม? อีกอย่างเชื่อว่าคนเฉลียวฉลาดอย่างคุณหนูใหญ่ย่อมมองเห็นหลายสิ่งได้อย่างกระจ่างชัด”
คุณหนูใหญ่เหลือบมองเยี่ยฉวน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มขณะพูดกับเขาว่า “คุณชายเยี่ย เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่มี!”
หมู่เฟิงเฉินแสยะปากแยกเขี้ยว หันมาตะคอกเยี่ยฉวนว่า “ไม่พูดเหลวไหลตลบตะแลงเสียแล้วงั้นหรือ? เอาเลยแสดงฝีปากออกมา!”
พลันนั้น คุณหนูใหญ่เป็นคนพูดขึ้นทันทีว่า “ไม่สิ เป็นเจ้าทั้งสองหรือสำนักกระบี่นั่นแหละที่มีสมบัติล้ำค่า”
หมู่เฟิงเฉินหันขวับมองหญิงสาวด้วยแววตาตกตะลึง ฝ่ายนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย นางเผยฝ่ามือออกไปเบื้องหน้าพลันเครื่องรางส่งสัญญาณทะยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะต่อมาท้องฟ้าเหนือบริเวณสำนักกระบี่บังเกิดรอยแตกร้าว ตรงรอยแยกปรากฏลมหายใจจำนวนมากพวยพุ่งออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้น เยว่อู่เฉินจ้องเขม็งไปยังสตรีตรงหน้า “ในเมื่อเจ้าแสดงเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับสำนักกระบี่ ย่อมหมายความว่าไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะทำลายสำนักกระบี่ ใช่ไหม?”
คุณหนูใหญ่บิดยกมุมปากอมยิ้มเล็กน้อย “สำนักกระบี่ก่อตั้งมานานหลายปี ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว……จะให้กลับมือเปล่าได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นนางเหลือบตาไปทางเยี่ยฉวน “คุณชายเยี่ย จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?”
หลังจากชะงักนิ่งคิดครู่หนึ่ง เยี่ยฉวนตอบกลับไปว่า “ขอโทษเถอะนะ พอดีท้องไส้ข้าปั่นป่วนขึ้นมาเสียแล้ว… ไปล่ะ!”
โดยไม่รอฟังอีกฝ่าย เขาหันกลับและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นมองตามอย่างตะลึงงัน
ชายหนุ่มวิ่งสุดฝีเท้า…
เขารู้แน่แก่ใจอย่างดียิ่งว่า ภายหลังจากทำลายสำนักกระบี่สำเร็จแล้ว คุณหนูใหญ่จะต้องตามมาจัดการตนเป็นคนต่อไปทันที!
หญิงสาวคนนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม!



