Chapter 3
เป็นลมเพราะเห็นเลือดตัวเอง
“สวัสดีครับ” ปฐวีรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณวีคะ นี่น้องพะพิมเลขาคนใหม่ของท่านค่ะ” โชติรสแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ปฐวีพูดพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรายิ้มตอบ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
แล้วปฐวีก็หันไปพูดกับโชติรสว่า “คุณโรสครับวันนี้คุณพ่อไม่เข้าบริษัทนะครับ ถ้ามีอะไรด่วนก็ส่งมาให้ผมได้เลยนะครับ”
“ค่ะคุณวี” โชติรสรับคำ แล้วปฐวีก็ผลักประตูห้องท่านประธานเข้าไป โชติรสหันมาพูดกับพิมพิราว่า “น้องพะพิมคะ คุณวีเนี่ยเป็นลูกชายคนเดียวของท่านประธานเลยนะคะ เรียนก็เก๊ง…เก่งค่ะ เพิ่งจบโทบริหารจากอเมริกามาหมาดๆเลยนะคะ ช่วงนี้ก็เลยเข้ามาช่วยงานท่านเกือบทุกวันเลย แต่เดี๋ยวเดือนหน้าคุณวีก็จะกลับไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกาแล้วล่ะค่ะ เห็นท่านว่าพอคุณวีกลับมาท่านก็จะยกตำแหน่งรองประธานให้ค่ะ แล้วถ้าถึงวันนั้นพี่จะลองคุยกับท่านให้นะคะ ขอจองตำแหน่งเลขาของคุณวีไว้ให้น้องพะพิมนะคะ”
พิมพิราได้แต่ยิ้มฟังโชติรสพูด
พิมพิราฝึกงานกับโชติรสได้สามอาทิตย์โชติรสก็ลาคลอดบุตร พิมพิราจึงเริ่มทำงานเป็นเลขาให้ท่านประธานอย่างเต็มตัว
“คุณพะพิมวันนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะครับ”
“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำ รอจนท่านประธานตัดสายแล้วเธอก็วางโทรศัพท์ เธอนั่งทำงานง่วนจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น กริ้งๆๆๆ
เธอละมือจากแป้นคอมพิวเตอร์ไปรับสาย “สวัสดีค่ะบริษัทเดชารงค์ จำกัดค่ะ ดิฉันพิมพิรารับสายค่ะ”
“คุณพี่ณรงค์อยู่รึเปล่า” เสียงแหลมๆ ห้วนๆ ถามอย่างไร้หางเสียงดังออกมา ทำให้พิมพิราจำได้ทันทีว่าเป็นคุณจิตตรีโทรมา เธอจึงตอบไปด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ท่านประธานไม่อยู่ค่ะ วันนี้ท่านไม่เข้าบริษัทค่ะ”
“แล้วหล่อนรู้ไหมว่าท่านไปไหน?” จิตตรีจิกถามไร้หางเสียงเช่นเดิม พิมพิราจึงตอบไปตามความจริงว่า “ดิฉันไม่ทราบค่ะ ท่านไม่ได้บอกค่ะคุณจิตตรี”
“โอ้ย…อีโง่! แล้วทำไมหล่อนไม่ถามล่ะย่ะว่าท่านไปไหน ไปทำอะไร อยู่ที่ไหน หล่อนเป็นเลขาประสาอะไรถึงไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองไปไหนห๊า! โง่จริงๆเลยนังคนนี้นี่!” จิตตรีจิกด่าอารมณ์เสียสุดๆ แล้วก็วางสายไป พิมพิราได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง เฮ้อ…ซวยแต่เช้าเลยเรา
แล้วเธอก็หันไปทำงานของตัวเองต่อโดยไม่เก็บเอาคำพูดของจิตตรีมาใส่ใจให้รกสมอง
จนกระทั่งอินเตอร์คอมบนโต๊ะทำงานดังขึ้น “คุณพิมพิราครับผมขอรายงานงบการเงินของครึ่งเดือนแรกด้วยครับ”
“ค่ะคุณวี” พิมพิราตอบแล้วก็รีบหยิบแฟ้มงบการเงินที่เขาต้องการเข้าไปให้ในห้องท่านประธานทันที เธอเคาะประตู
“เชิญครับ”
พอปฐวีอนุญาต พิมพิราก็เปิดประตูห้องเข้าไปแล้วเอาแฟ้มงบการเงินส่งให้กับเขา “นี่ค่ะคุณวี แฟ้มที่คุณต้องการค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ปฐวีรับแฟ้มไปเปิดอ่านทันที พิมพิราก็ออกจากห้องกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
ปฐวีช่วยคุณพ่อทำงานอย่างขยันขันแข็งจนกระทั่งถึงวันที่เขาต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อที่อเมริกา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ไปส่งปฐวีที่สนามบิน หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วปฐวีก็หันไปรับกระเป๋าเป้ของตัวเองจากนพพร้อมกับพูดว่า “น้านพดูแลคุณพ่อดีๆ ล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณวี ผมจะดูแลคุณท่านให้ดีที่สุดเลยครับ” นพยกมือไหว้ ปฐวีรับไหว้ แล้วก็หันไปลาพ่อ “ผมไปล่ะครับคุณพ่อ”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์กอดลูกชายแน่นแล้วพูดว่า “รีบๆ เรียนให้จบไวๆ ล่ะเจ้าวี จะได้รีบกลับมาช่วยพ่อทำงาน แล้วก็แวะไปเยี่ยมแม่เขาบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“ครับพ่อ” ปฐวีพยักหน้ารับกอดตอบกลับแน่นเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็หันไปลาคุณน้า “ผมไปล่ะครับคุณน้า”
“จ้ะตาวี น้าขอให้ตาวีเดินทางปลอยภัยนะจ๊ะ” จิตตรีกอดหลานชายหอมแก้มซ้ายขวาข้างละทีแล้วเธอก็ปล่อยหลานชาย
หลังจากร่ำลาทุกคนแล้วปฐวีก็เดินเข้าไปภายในจุดตรวจผู้โดยสารขาออก พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปพูดกับจิตตรีและคนขับรถว่า “กลับกันเถอะ”
แล้วเขาก็เดินนำหน้าทั้งสองคนไปขึ้นรถ ทำให้จิตตรีบ่นอยู่ในใจ ฮึ! คุณพี่นะคุณพี่ เดินไม่รอกันบ้างเลย
พอขึ้นรถเรียบร้อยพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งนพว่า “นพเดี๋ยวไปส่งฉันที่กระทรวงก่อนนะ”
“ครับท่าน” นายนพรับคำแล้วก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ ท่านหาเรื่องชิ่งอีกแล้ว
เพราะรู้ดีว่าคุณจิตตรีไม่กล้าตามท่านเข้าไปในยุ่มย่ามในกระทรวงให้ท่านโกรธเอาหรอก ส่วนจิตตรีก็หน้างอทันที โอ้ย! จะขยันอะไรกันนักกันหนา!? เอาแต่ทำงานๆ อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลาว่างให้ฉันพาไปงาบได้ล่ะเนี่ย! โธ่โว้ย!
ณ บริษัทเดชารงค์ พิมพิราถือแฟ้มเอกสารตามท่านประธานเข้าไปในห้องทันทีเมื่อท่านประธานมาถึงบริษัท
“ท่านคะเช้านี้ท่านมีประชุมกับฝ่ายการตลาดนะคะ แล้วตอนบ่ายท่านก็ต้องไปเป็นประธานเปิดโครงการเดชาแลนด์ 10 ที่สยามพารากอน ส่วนตอนเย็นท่านมีนัดทานอาหารกับมิสเตอร์จอห์นสันที่โรงแรมพลาซ่าแอทธีนี่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์เอ่ยขอบใจพร้อมกับรับแฟ้มเอกสารจากพิมพิราไปเปิดดู พิมพิราเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ชงลาเต้ร้อนให้เจ้านาย พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงดัง เพล้ง!
พร้อมกับเสียงท่านประธานร้องลั่น “โอ้ย!”
พิมพิรารีบหันไปดู บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเศษแก้วกระจายเกลื่อน ส่วนท่านประธานนั่งกุมมือตัวเองเลือดโชกเต็มไปหมด
“ตายแล้วท่าน! เกิดอะไรคะ!?”
“ยังไม่ตายครับ พอดีหลอดไฟมันติดๆ ดับๆ ผมก็เลยจะหมุนหลอดให้มันแน่นน่ะครับ สงสัยผมคงจะหมุนแรงไปหน่อยหลอดมันก็เลยแตก อูย” พลเอกณรงค์ฤทธิ์บอกพร้อมกับยิ้มให้ พิมพิรารีบเข้าไปดูพร้อมกับจับมือข้างที่เจ็บแบออกดูบาดแผล
“ตายแล้ว เลือดไหลเยอะเลยค่ะ” เธอรีบดึงทิสชูบนโต๊ะมาซับเลือดให้ ครั้นพอเห็นบาดแผลกลางอุ้งมือเธอก็ร้องอุทานอีกว่า “ตายแล้ว แผลลึกมากเลยนะคะ”
พูดแล้วก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมากดปากแผลไว้
“คำก็ตาย สองคำก็ตาย ผมถามจริงๆ เถอะพวกผู้หญิงนี่เขาอุทานอย่างอื่นไม่เป็นกันรึไงครับ?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์แซวทั้งๆ ที่เจ็บ จนพิมพิราไม่รู้จะตอบท่านว่ายังไงดี เธอจึงเผลอค้อนไปทีนึง “ท่านล่ะก็…เจ็บขนาดนี้ยังปากดีอีกนะคะ”
“อ้าว ก็ปากผมไม่ได้เจ็บด้วยนี่ครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ต่อปากต่อคำ จนพิมพิราเผลอค้อนเข้าให้อีกที “แหมท่านนี่นะ…จริงๆเลย! รีบไปโรงพยาบาลทำแผลเถอะค่ะ เลือดออกเยอะขนาดนี้คงต้องไปให้หมอเย็บล่ะค่ะ”
เธอรีบดึงท่านประธานให้ลุกขึ้นแล้วประคองแขนเขาไว้
เมื่อประคองท่านประธานออกมาหน้าห้อง พิมพิราก็สั่งคนขับรถซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่แถวโต๊ะทำงานของเธอว่า “น้านพรีบพาท่านไปโรงพยาบาลเร็วเข้า ท่านถูกหลอดไฟบาดมือแผลลึกมากเลยค่ะ”
“ครับๆๆ” นายนพผุดลุกขึ้นทันทีรีบเข้าไปจะช่วยประคองเจ้านายด้วยอีกคน พลเอกณรงค์ฤทธิ์โบกมือห้าม “ไม่ต้องเลยนพ ฉันยังเดินเองได้ นายน่ะรีบไปกดลิฟท์เลยไป”
“ครับๆ” นายนพรีบวิ่งไปกดลิฟท์
เมื่อลิฟท์มาถึง ทั้ง 3 คนก็เข้าไปในลิฟท์ จากนั้นเมื่อลิฟท์ไปถึงชั้นล่าง นพก็รีบวิ่งไปขับรถมารับโดยเร็ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ไปถึงโรงพยาบาลทำแผลเรียบร้อย พิมพิราก็ตามจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งระหว่างที่ท่านประธานกำลังทำแผลอยู่นั้นพิมพิราก็ได้โทรไปบอกเลื่อนการประชุมออกไปก่อน ครั้นเมื่อกลับไปถึงบริษัทพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งให้เข้าประชุมทันที
หลังจากประชุมกับฝ่ายการตลาดเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็กลับไปห้องทำงานของตัวเองด้วยสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อยจนพิมพิราอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “ท่านคะ พักซักหน่อยเถอะค่ะ”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์มีท่าทีเหมือนจะปฏิเสธแต่พอเขาสบสายตากับดวงตาหวานซึ้งที่มีแววเป็นห่วง เขาก็ยิ้มให้แล้วไม่พูดอะไรนอกจากทำตามคำบอกของเลขาวัยกระเตาะแต่โดยดี เขานั่งลงที่โซฟา พิมพิราเดินตามเข้าไปในห้องพร้อมกับยื่นกล่องนมยูเอชทีส่งให้เจ้านาย “ท่านคะ ดื่มซักหน่อยเถอะค่ะ”
“ของใครครับเนี่ย?” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ถามเพราะเขาจำได้ว่าในห้องทำงานของเขาไม่มีนมเลยซักกล่อง
“ของพะพิมเองค่ะ”
พอเลขาบอกแบบนั้น พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รับไปพร้อมกับยิ้มให้ “ขอบคุณครับ”
แล้วเขาก็ดื่มนมจนหมดกล่อง จากนั้นพิมพิราก็ถือแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะ พลัน! เธอก็เห็นเศษแก้วชิ้นหนึ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน ตายแล้ว! แม่บ้านเก็บไปไม่หมดเหรอเนี่ย
เธอเอื้อมมือไปหยิบทิ้ง
“อุ๊ย!” เธอสะดุ้ง! เมื่อถูกเศษแก้วชิ้นนั้นบาดนิ้วเข้าให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้ยินเสียงเลขาร้องเขาจึงหันไปมอง “เป็นอะไรครับคุณพะพิม?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะท่าน แค่แก้วบาดนิดหน่อยค่ะ” พิมพิราหันไปตอบพร้อมกับรีบดึงทิสชูบนโต๊ะมาซับเลือด พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลุกขึ้นเดินไปดูใกล้ๆ “ขอผมดูแผลหน่อยครับ”
แล้วเขาก็ดึงมือเธอไปดู แม้ว่าแผลจะเล็กนิดเดียวแต่เลือดก็ไหลโชกพอสมควร
“ไปล้างแผลก่อนเถอะครับ” เขาบอกพร้อมกับจูงมือเธอให้เดินตามเขาเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ภายในห้องทำงาน โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเลขาสาวมีสีหน้าซีดเผือด เขาเปิดก๊อกน้ำแล้วดึงมือเธอไปล้างแผลจนเลือดหยุดไหลแล้ว
พลัน! พิมพิราก็ค่อยๆ หมดสติจนพลเอกณรงค์ฤทธิ์เกือบจะรับร่างอรชรอ้อนแอ้นแทบไม่ทัน “คุณพะพิม! คุณพะพิม! ตายละหว่า!”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบช้อนร่างพิมพิราไว้ในอ้อมแขนแล้วอุ้มออกจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเล เขาวางเธอลงบนโซฟาแล้วรีบปฐมพยาบาลเธอทันที
“คุณพะพิมครับ คุณพะพิม คุณพะพิมครับ” เขาปฐมพยาบาลอยู่ครู่ใหญ่พิมพิราก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติลืมตาขึ้น เธอลุกพรวด พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบกดบ่าบอบบางไว้ “อย่าเพิ่งลุกครับเดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก”
“พะพิมไม่เป็นอะไรแล้วค่ะท่าน” พิมพิราบอกพร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นนั่ง พลเอกณรงค์ฤทธิ์เห็นสีหน้าของเลขาไม่ค่อยซีดเซียวแล้วและเธอก็มีท่าทีเขินอาย เขาจึงช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่งพิงโซฟาพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณมีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นลมได้? ดีนะว่าผมรับไว้ทันไม่งั้นหัวคุณฟาดพื้นแน่ๆ”
พิมพิรายิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ โอ้ย…จะตอบท่านได้ยังไงล่ะว่าที่หน้ามืดก็เพราะเห็นเลือดตัวเอง ขืนท่านรู้เข้าท่านต้องหัวเราะเยาะแน่ๆเลย โธ่…
เธอก้มหน้างุดๆไม่ยอมมองหน้าท่านประธาน ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ่งสงสัยอยากรู้ “คุณพะพิมครับ ทำไมเอาแต่หลบหน้าหลบตาไม่ยอมตอบล่ะครับ?”
พิมพิราก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบ เธอก้มหน้างุดๆ แก้มแดงจนถึงใบหู ทำให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ่งอยากรู้นักว่าเลขาของเขาเป็นลมเพราะเหตุใด เขาจึงแกล้งขู่ว่า “คุณพะพิมครับ คุณมีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า? ถ้าคุณยังไม่ยอมตอบล่ะก็…ผมจะไล่คุณออกนะครับ”
คำว่า ‘ไล่ออก’ จากปากท่านประธานทำให้พิมพิราตกใจรีบเงยหน้าพูดว่า “ท่านอย่าไล่พะพิมออกนะคะ พะพิมไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอกค่ะ คือว่า…เอ่อ…คือว่า…”
เธอหน้าแดงอ้ำๆอึ้งๆ “คือว่า…เอ่อ…”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงแกล้งขู่อีกครั้งว่า “คือว่า…คือว่า…อยู่นั่นแหละ ถ้าคุณไม่พูดซักทีผมไล่คุณออกจริงๆ ด้วย”
พิมพิรากลัวว่าท่านประธานจะไล่หล่อนออกตามที่ท่านพูดจริงๆ เธอจึงมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนพร้อมกับรีบบอกอย่างเขินๆ ว่า “คือว่าพะพิมเห็นเลือดตัวเองก็เลยหน้ามืดน่ะค่ะ ท่านอย่าไล่พะพิมออกนะคะ”
“อะไรนะ ที่คุณเป็นลมก็เพราะเห็นเลือดตัวเองงั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์หัวเราะใหญ่ โอ้ยขำ ทีเห็นเลือดเราไหลโจ๊กๆ ไม่ยักจะกลัวแฮะ แต่ทีเห็นเลือดตัวเองไหลจิ๊ดเดียวดันกลัวจนเป็นลมซะนี่
พิมพิราอายจนหน้าแดงเถือกยิ่งกว่าเดิมจนไม่อาจจะสู้หน้าท่านประธานต่อไปได้ เธอจึงรีบผุดลุกขึ้น แต่เพราะเธอรีบร้อนลุกขึ้นเร็วเกินไปขาจึงไปสะดุดกับโต๊ะกระจกจนล้มลง “ว้าย!”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบรับไว้ทันที “อุ๊บ!”
เรือนร่างอรชรทาบทับอยู่กับอกกว้าง ใบหน้ารูปไข่สวยหวานห่างจากใบหน้าของเขาเพียงคืบเดียว ดวงตากลมโตคมขำกะพริบปริบๆ ด้วยความตกใจ เขาจ้องมองใบหน้าเลขาสาวอย่างตกตะลึง ขนตายาวจัง ดูทำตาโตเข้าซิ…น่ารักดี ถึงว่าซิหนุ่มๆถึงได้รุมจีบกันจัง
เขาจ้องหน้าเลขาสาวอยู่นาน อืม…
จนกระทั่งพิมพิราได้สติ เธอรีบกล่าวคำขอโทษอย่างร้อนรนอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี “อุ้ย! ขอโทษค่ะท่าน”
เธอรีบลุกขึ้นแล้วผละออกห่าง จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยังนอนพังพาบอยู่กับโซฟาด้วยความเสียดายนิดๆ ตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา เขาก็เพิ่งจะมีโอกาสมองหน้าเลขาสาววัยกระเตาะใกล้ๆ ก็วันนี้แหละ ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งโก่งเป็นคันศร ขนตายาวเป็นแพ ดวงตากลมโตคมขำหวานซึ้ง จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากบางอวบอิ่ม ผิวแก้มขาวเนียนใสแดงระเรื่อจนถึงใบหูยังติดตาเขาอยู่เลย
พิมพิราวิ่งออกจากห้องท่านประธาน เธออายขายหน้าสุดขีด ตายแล้วยัยพะพิมเอ้ย…น่าขายหน้าจริงๆ เล้ย กลัวเลือดจนเป็นลมแล้วยังซุ่มซ่ามหกล้มทับท่านอีก แล้วทีนี้จะมองหน้าท่านได้ยังไงล่ะเนี่ย โอ้ย…ตาย…ตาย…ตาย…ยัยพะพิมงี่เง่า!
เธอวิ่งเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์อยู่นานจ้องมองแผลที่นิ้วซึ่งปากแผลปิดสนิทไม่มีเลือดไหลแล้วอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ไอ้แผลงี่เง่าเอ้ย!
ครั้นพอหายเขินอายลงบ้างแล้วเธอก็กลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง นพซึ่งนั่งอยู่แถวๆ นั้นได้แต่มองพิมพิราด้วยสีหน้างงๆ คุณเลขาเป็นอะไรไปหว่า…
พลัน! ประตูห้องท่านประธานก็เปิดออกแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินออกมาเรียกพิมพิราด้วยตัวเอง “คุณพะพิมครับ เดี๋ยวผมจะออกไปงานเปิดตัวโครงการตอนบ่ายเลยนะครับ”
เขาสั่งแล้วก็กลับเข้าไปในห้องทันที นพได้ยินเจ้านายบอกกับเลขาเช่นนั้นเขาก็รีบไปเตรียมรถรอโดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง พิมพิรารีบเตรียมสคริปที่ท่านประธานจะต้องกล่าวเปิดงานใส่แฟ้มอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบกระเป๋าถือของตัวเองอย่างว่องไว
เมื่อพลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินออกมาอีกครั้งพิมพิราก็พร้อมจะติดตามเขาไปทันที
“เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วนะครับ”
“ค่ะท่าน” พิมพิราก้มหน้าตอบแบบไม่ยอมมองหน้าท่านประธานเลยซักนิด แก้มเนียนใสแดงระเรื่อน้อยๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์แอบยิ้มขำไม่ให้เธอเห็น ท่าจะยังอายอยู่แน่ๆ
เขาวางสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติแล้วเดินนำหน้าเลขาเหมือนเช่นเคย พิมพิราก็รีบเดินตามไป
จิตตรีนั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ในห้องรับแขกหลังจากที่โทรหาพลเอกณรงค์ฤทธิ์ตั้งแต่เช้าแต่ก็ไม่เจอตัว “คุณพี่นะคุณพี่วันหยุดแท้ๆโทรไปก็ไม่อยู่ที่บ้าน ที่กระทรวงก็ไม่ได้ไป ที่บริษัทก็ไม่อยู่ แล้วไปไหนของเขานะ โธ่โว้ย! เซ็งจริงๆ เลยโว้ย!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูบ้านเข้ามา ทันได้ยินจิตตรีตะโกนลั่นห้อง เขาเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ จิตตรีแล้วก็เชยคางเธอขึ้นมา
“คนสวยของผมเซ็งอะไรล่ะครับ ดูทำหน้าเข้าซิ เดี๋ยวไม่สวยนะครับ” แล้วเขาก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มซึ่งพอกเมคอัพหนาดั่งฉาบปูน จิตตรีมองชายหนุ่มคราวลูกที่เข้ามานั่งข้างๆ ด้วยสายตาเขินอาย “แหม มิตรล่ะก็…มาถึงก็ปากหวานเชียวนะ”
“ผมไม่ได้ปากหวานนะครับ ผมพูดจริงๆ นะครับ ก็คุณจิตตรีของผมทั้งสวยทั้งน่ารักน่าหม่ำขนาดนี้”
อีแก่โง่…ถ้าไม่ใช่เพราะมึงมีเงินให้กูถลุงล่ะก็…กูคงไม่มาหร้อก
มิตรไม่พูดเปล่า เขาเขยิบเข้าไปจนชิดแล้วกอดรัดจิตตรีไว้พร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้าแก่ๆ ของเธอ จิตตรีแสร้งผลักออกทั้งๆ ที่ใจของเธอนั้นอยากให้มิตรหนุ่มรุ่นลูกที่เพิ่งรู้จักกันในบ่อนได้ไม่นานพาเธอขึ้นสวรรค์จะแย่ “อย่ามาพูดเลยค่ะ พี่ทั้งแก่ทั้งเหี่ยวจะไปสู้พวกสาวๆ ที่รุมล้อมมิตรได้ยังไงล่ะคะ? มิตรอย่ามาหลอกให้พี่ดีใจเลยค่ะ”
เออ…รู้ตัวก็ดีแล้วว่ามึงทั้งแก่ทั้งเหี่ยว อย่างมึงน่ะสู้อีพวกนั้นไม่ได้หรอกอีแก่!
มิตรรีบยิ้มประจบ “โถๆๆๆ ใครบอกว่าคุณจิตตรีของผมทั้งแก่ทั้งเหี่ยวกันล่ะครับ ดูซิครับออกจะเต่งตึงขนาดนี้ ยังส่งเข้าประกวดได้สบายเลยนะครับเนี่ย”
ส่งประกวดตำแหน่งอีแก่แร้งทึ้งประจำปีน่ะซิ!
เขายื่นมือไปขย้ำหน้าอกหย่อนยานใต้เสื้อลายดอกรัดรูปพร้อมกับระดมจูบไปทั่วใบหน้าเหี่ยวย่น จิตตรียิ้มหน้าบานงึมงำอ่อนระทวย “จริงๆ นะคะ มิตรไม่ได้หลอกพี่นะ”
“จริงซิครับคนสวยของผม”
สวยเหมือนผีซิอีแก่โง่!
มิตรรีบรุกหนักจนจิตตรีไม่อาจจะทนชั้นเชิงหนุ่มน้อยคราวลูกได้ เธอครวญครางดังลั่นผ้าผ่อนหลุดลุ่ยเนื้อตัวล่อนจ้อนอย่างไม่อายผีสางเทวดา
เดือนสาวรับใช้ในบ้านซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมแก้วน้ำที่จะมาเสิร์ฟให้แขกต้องรีบระเห็ดกลับไปทางเดิมแทบไม่ทัน อุ้ยตายแล้ว! พ่อแก้วแม่แก้วช่วยอีเดือนด้วยจ้า! โอ้ย…จะเล่นผีผ้าห่มกันก็ไม่บอก แถมมาเล่นกันกลางห้องรับแขกไม่อายผีอายคนกันเล้ย!
เธอเผ่นแนบกลับไปนั่งอยู่ในครัวเอามือปิดหูตัวเองไว้แน่นเมื่อได้ยินเสียงเจ้านายครางกระเส่าลั่นบ้าน
พลเอกณรงค์ฤทธิ์ขึ้นนั่งในรถคู่กับคนขับรถหลังจากเสร็จงานเปิดตัวโครงการเดชาแลนด์ 10 แล้วโดยมีเลขาสาวนั่งอยู่ด้านหลัง พลัน! เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าถือของพิมพิราก็ดังขึ้น เธอรีบเปิดกระเป๋ารับสายทันทีเพราะเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้ติดต่อเรื่องงานของบริษัท “สวัสดีค่ะบริษัทเดชารงค์ จำกัดค่ะ ดิฉันพิมพิรารับสายค่ะ”
“ซาหวัดดีค้า ดีช้านเอรีนเลขาของมิสเตอร์จอห์นสันนะค้า เนื้องจ๊ากว่ามิสเตอร์จอห์นสันบอสของดีช้านค้าวไม่ซาบายกาทานหา ก่อเลยไปดินเนอร์กับมิสเตอร์เดชารงค์บอสของคุณม้ายด้าย ดีช้านจึงอยากจะพูดกับบอสของคุณเพื่อขอโต๊ดแทนบอสของดีช้านด้วยค้า”
เสียงปลายสายพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดแบบสำเนียงฝรั่งพูดภาษาไทย พิมพิราจึงตอบกลับไปว่า “ค่ะคุณเอรีน กรุณารอซักครู่นะคะ”
แล้วเธอก็ชะโงกหน้าไปบอกเจ้านายว่า “ท่านคะ คุณเอรีนเลขาของมิสเตอร์จอห์นสันโทรมาบอกว่ามิสเตอร์จอห์นสันป่วยกระทันหันไม่สามารถมาร่วมรับประทานอาหารค่ำกับท่านได้ค่ะ คุณเอรีนจึงอยากจะคุยกับท่านเพื่อขอโทษแทนมิสเตอร์จอห์นสันน่ะค่ะ”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็หันไปบอกว่า “เหรอครับ งั้นก็ส่งโทรศัพท์มาเลยครับ”
พิมพิรารีบยื่นโทรศัพท์ส่งให้เจ้านาย หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงท่านประธานพูดภาษาอังกฤษกับเลขาของมิสเตอร์จอห์นสันอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็หันมาส่งโทรศัพท์คืนให้ “ขอบคุณครับคุณพะพิม มิสเตอร์จอห์นสันไม่สบายเข้าโรงพยาบาลด่วน เดี๋ยวคุณช่วยจัดการส่ง…”
“ส่งดอกไม้ไปเยี่ยมมิสเตอร์จอห์นสันที่โรงพยาบาล แล้วก็แคนเซินโต๊ะที่โรงแรม แล้วก็นัดกับมิสเตอร์จอห์นสันใหม่อีกครั้งหลังจากที่เขาหายป่วยแล้วใช่ไหมคะท่าน” พิมพิราพูดแทรกพร้อมกับจดลงบนสมุดพกเล่มเล็กๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มกว้างที่เลขารู้งานจนไม่ต้องสั่งให้มากความ “ถูกต้องแล้วครับ แต่เรื่องแคนเซินโต๊ะไม่ต้องครับ ไหนๆ ก็จองโต๊ะไว้แล้วผมก็จะไปกินข้าวเย็นที่นั่นซะเลย”